เอพี - รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยกล่าวว่าไทยและกัมพูชาจะกลับมาเจรจากันอีกครั้งในสัปดาห์นี้ เพื่อหาข้อตกลงหยุดยิงตามแนวชายแดนที่มีความมั่นคงและยั่งยืนมากขึ้น พร้อมกับย้ำว่าความคืบหน้าขึ้นอยู่กับการเจรจาทวิภาคีอย่างละเอียดมากกว่าถ้อยแถลงต่อสาธารณะที่ทำให้ข้อพิพาทกลายเป็นประเด็นระดับนานาชาติ
สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของไทย กล่าวในวันจันทร์ (22) หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ว่า ข้อตกลงหยุดยิงในเดือนต.ค. นั้นมีความเร่งรีบเพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ สามารถร่วมเป็นสักขีพยานได้ และขาดรายละเอียดที่เพียงพอจะรับประกันว่าข้อตกลงยุติความขัดแย้งทางอาวุธจะได้รับการยึดถือ
ขณะที่กัมพูชากล่าวต่อสาธารณะว่าพร้อมสำหรับการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข แต่กรุงเทพฯ ไม่เคยได้รับข้อเสนอโดยตรงใดๆ และไทยเชื่อว่าถ้อยแถลงดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มแรงกดดันจากนานาชาติมากกว่าการแก้ไขปัญหา สีหศักดิ์กล่าวหลังการประชุมที่จัดขึ้นเพื่อหาหนทางยุติวิกฤต
คณะกรรมการชายแดนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองประเทศจะประชุมกันในวันพุธ (24) เพื่อหารือมาตรการโดยละเอียดเพื่อการหยุดยิงอย่างยั่งยืน
“ครั้งนี้ ต้องหารือรายละเอียดอย่างรอบคอบ และทำให้แน่ใจว่าข้อตกลงหยุดยิงสะท้อนสถานการณ์ในพื้นที่ และทั้งสองฝ่ายเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างแท้จริง” สีหศักดิ์ กล่าวแถลงข่าว
ความขัดแย้งชายแดนทวีความรุนแรงขึ้นเป็นการสู้รบเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน และทำให้ข้อตกลงที่ทรัมป์ผลักดัน ซึ่งยุติการสู้รบ 5 วันในเดือนก.ค.ต้องล้มเหลว ข้อตกลงดังกล่าวมีมาเลเซียเป็นคนกลางและถูกผลักดันภายใต้แรงกดดันจากทรัมป์ ที่ขู่ว่าจะระงับสิทธิพิเศษทางการค้าหากไทยและกัมพูชาไม่เห็นพ้อง ข้อตกลงหยุดยิงลงนามอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอดระดับภูมิภาคในเดือนต.ค. ที่มาเลเซีย โดยทรัมป์ร่วมเป็นพยาน
การสู้รบดังกล่าวสร้างความกังวลในระดับนานาชาติ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำแถลงเมื่อวันอาทิตย์เรียกร้องให้ไทยและกัมพูชายุติการสู้รบ ถอนอาวุธหนัก ยุติการวางทุ่นระเบิด และดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์อย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงกลไกในการเร่งเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมและแก้ไขปัญหาชายแดน
การสู้รบครั้งล่าสุดเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. หนึ่งวันหลังจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย นับตั้งแต่นั้น การสู้รบได้ปะทุขึ้นในหลายแนวรบ โดยไทยได้ทำการโจมตีทางอากาศในกัมพูชาด้วยเครื่องบินขับไล่ F-16 และกัมพูชายิงจรวด BM-21 หลายพันลูกจากเครื่องยิงจรวดที่ติดตั้งบนรถบรรทุก
มีรายงานอย่างเป็นทางการว่ามีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 คนจากทั้งสองฝั่งชายแดนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาของการสู้รบ ขณะที่ผู้พลัดพลัดถิ่นมีจำนวนมากกว่าครึ่งล้าน ตามรายงานของเจ้าหน้าที่
การระเบิดของทุ่นระเบิดเป็นประเด็นอ่อนไหวสำหรับไทย ที่ได้ยื่นประท้วงหลายครั้งหลังจากกล่าวหาว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ที่ทำให้ทหารที่ลาดตระเวนตามแนวชายแดนได้รับบาดเจ็บ แต่กัมพูชายืนยันว่าทุ่นระเบิดเหล่านั้นเป็นเศษซากตกค้างจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อหลายทศวรรษ ที่สิ้นสุดลงในปี 1999
“เห็นได้ชัดว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ และเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนแล้ว” สีหศักดิ์กล่าว โดยระบุว่าสิ่งนี้เป็นการละเมิดข้อตกลงเดือนต.ค. อย่างชัดเจน
ด้านกองทัพเรือของไทยระบุเมื่อวันอาทิตย์ (21) ว่านาวิกโยธินที่แนวหน้าได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาขวาจากการเหยียบทุ่นระเบิด
กองทัพเรือยังอ้างว่าได้ค้นพบอาวุธและวัตถุระเบิดที่ถูกทิ้งไว้เป็นจำนวนมากขณะเข้าควบคุมพื้นที่ที่ระบุว่าเป็นฐานของกัมพูชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางแผนอย่างรอบคอบและการใช้ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคลโดยเจตนา
กระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าวว่าจะส่งหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชาและแซมเบีย ประธานปัจจุบันของอนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคล หรือที่รู้จักในชื่ออนุสัญญาออตตาวา เพื่อดำเนินการต่อต่อไปภายใต้กลไกลของอนุสัญญา
ทั้งนี้ กัมพูชายังไม่ได้ตอบสนองต่อคำกล่าวอ้างของไทยดังกล่าว.


