MGR ออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชาได้กล่าวยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชาและคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ของกัมพูชา ได้บริหารจัดการปัญหาชายแดนมาอย่างต่อเนื่องด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและความรับผิดชอบในระดับสูงสุด โดยให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชา
นายกฯ ฮุน มาเนต ได้กล่าวชี้แจงว่า วัตถุประสงค์ของกระบวนการสำรวจและกำหนดเขตแดนชั่วคราวในปัจจุบันไม่ใช่การคำนวณการได้หรือเสียที่ดิน แต่เป็นการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนและแม่น้ำระหว่างกัมพูชาและไทย
ผู้นำกัมพูชากล่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาและ JBC ได้ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการว่าด้วยธรรมชาติของพรมแดนที่ไม่เปลี่ยนแปลง และเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างกัมพูชา-ไทย ที่กำหนดโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยามอย่างเคร่งครัด
“ปัญหาชายแดนเป็นเรื่องซับซ้อนที่สืบทอดมาหลายร้อยปี ที่ทั้งสองประเทศต้องร่วมกันแก้ไขเพื่อให้ประชาชนตามแนวชายแดนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติในระยะยาว” ฮุน มาเนต กล่าว พร้อมย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลกัมพูชาในการหาทางออกที่ยุติธรรมและยั่งยืนสำหรับปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านโจกเจย และหมู่บ้านเปรยจัน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถกลับมามีสภาพความเป็นอยู่ตามปกติได้โดยปราศจากความไม่แน่นอนในระยะยาว
ผู้นำกัมพูชากล่าวว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สามารถทำได้ด้วยความรุนแรงหรือการใช้กองกำลังติดอาวุธ มีเพียงมาตรการสันติตามสนธิสัญญา อนุสัญญา และข้อตกลงทวิภาคีที่มีอยู่เท่านั้นที่จะสามารถบรรลุความก้าวหน้าสำคัญ
ตามข้อตกลงที่บรรลุโดยคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะส่งคณะสำรวจร่วมเพื่อดำเนินการสำรวจและปักหมุดเขตแดนชั่วคราว ระหว่างหลักเขตที่ 42-47 ในจ.บันเตียเมียนเจย และหลักเขตที่ 52-59 ในจ.พระตะบอง
ฮุน มาเนต ระบุว่าเขาสังเกตเห็นการถกเถียงของสาธารณชน การตั้งคำถามและข้อกังวลจำนวนมากบนโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับการสำรวจและการกำหนดเขตแดนชั่วคราวในพื้นที่เหล่านี้
“ผมขอย้ำว่าการสำรวจและการปักหมุดเขตแดนชั่วคราวไม่ใช่ภารกิจใหม่ แต่เป็นการสานต่องานที่คณะทำงานชายแดนของทั้งสองประเทศได้ดำเนินการร่วมกันมาเกือบ 20 ปีแล้ว” ฮุน มาเนต กล่าว
สำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนได้ยืนยันเมื่อเร็วๆ นี้ว่า นับตั้งแต่ปี 2006 คณะสำรวจร่วมได้ตรวจสอบตำแหน่งที่แน่นอนของหลักเขต 74 หลัก ที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยามได้กำหนดขึ้นระหว่างปี 1919 และ 1920
ขณะเดียวกัน ความพยายามก่อนหน้านี้มุ่งเน้นไปที่การระบุตำแหน่งที่แน่นอนของหลักเขตในช่วงหลักเขตที่ 42-47 และ 52-59 แต่ยังไม่มีการปักปันจริงบนพื้นดิน
ฮุน มาเนต ได้อธิบายว่าการสำรวจและการวางหมุดเขตแดนชั่วคราวในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการแบบเป็นขั้นตอนเพื่อปักปันเขตแดนอย่างสมบูรณ์ ตาม MoU 2000 TOR 2003 และรายงานการประชุม JBC ครั้งก่อนๆ และคำแนะนำเชิงเทคนิคที่สองฝ่ายเห็นพ้องร่วมกัน
ผู้นำกัมพูชากล่าวว่าการสำรวจหลักเขตเหล่านี้ รวมทั้งในช่วงหลักเขตที่ 42-47 และ 52-59 ดำเนินการด้วยความระมัดระวังและความรับผิดชอบสูงสุด โดยอาศัยเอกสารทางกฎหมายในยุคฝรั่งเศส โดยเฉพาะรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดเขตแดนปี 1908-1909 และ 1919-1920
“ผมขอชี้แจงว่าวัตถุประสงค์ของการสำรวจและการวางหมุดเขตแดนชั่วคราวนี้ไม่ใช่เพื่อกำหนดขอบเขตของการได้พื้นที่หรือเสียพื้นที่ วัตถุประสงค์หลักคือการกำหนดเส้นแบ่งเขตแดนจริงบนพื้นดินที่ถูกต้องและชัดเจนระหว่างกัมพูชาและไทย โดยอ้างอิงจากเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส และกฎหมายระหว่างประเทศ” ฮุน มาเนต กล่าวยืนยัน
เขายังย้ำถึงการยึดมั่นของกัมพูชาต่อหลักการไม่ละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันก็คงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ต่อการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาโดยไม่ประนีประนอม
ผู้นำกัมพูชากล่าวว่าหลังจากการสำรวจเสร็จสิ้น คณะทำงานร่วมจากทั้งสองประเทศจะประเมินสภาพการอยู่อาศัยจริงของผู้อยู่อาศัยทั้งสองฝ่ายตามหมุดเขตแดนชั่วคราว ที่มีเป้าหมายเพื่อหาทางออกที่สองฝ่ายยอมรับร่วมกันบนพื้นฐานของการเคารพต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนร่วมกัน.


