xs
xsm
sm
md
lg

โลกร้อน ฉุดไม่อยู่ !! ก๊าซ CO2 พุ่งแตะระดับสูงสุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก เปิดรายงานก่อนจัดประชุม COP30 เผยความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในชั้นบรรยากาศทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุด เพิ่มขึ้นถึง 3.5 เท่า สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบปีที่ผ่านมา ขณะที่ก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย เช่น มีเทน ไนตรัสออกไซด์ โดยมีสาเหตุสำคัญ คือ ไฟป่าและแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนที่อ่อนตัวลง

เครือข่ายสังเกตการณ์บรรยากาศโลก หรือ Global Atmosphere Watch (GAW) ขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) รายงานว่าระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ CO2 เพิ่มขึ้นในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่างปี ค.ศ. 2023 ถึง ค.ศ. 2024 และทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ WMO ระบุด้วยว่าความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึง 3.5 ส่วนต่อล้านส่วน (ppm) ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นผลมาจากการปล่อยมลพิษจากมนุษย์ ไฟป่าที่เพิ่มขึ้น และการดูดซับที่อ่อนแอลงของแหล่งดูดซับตามธรรมชาติ เช่น ป่าไม้และมหาสมุทร ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของ CO2 จะยิ่งทำให้ผลกระทบของอุณหภูมิที่สูงขึ้นรุนแรงขึ้น รวมถึงทำให้สภาพอากาศสุดขั้วเลวร้ายลง

“การวิเคราะห์ล่าสุดจาก GAW ของ WMO แสดงให้เห็นว่าความเข้มข้นเฉลี่ยของคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) และไนตรัสออกไซด์ (N2O) บนผิวโลกสูงถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี ค.ศ. 2024 CO2 อยู่ที่ 423.9 ± 0.2 ppm, CH4 อยู่ที่ 1942 ± 2 ppb และ N2O อยู่ที่ 338.0 ± 0.1 ppb” รายงานระบุ
.
“ค่าเหล่านี้เพิ่มขึ้น 52%, 166% และ 25% ตามลำดับเมื่อเทียบกับระดับยุคก่อนอุตสาหกรรม (ก่อนปี ค.ศ. 1750)” พูดให้ลึกลงไปยิ่งขึ้นก็คือ ในปี ค.ศ. 2011-2020 โลกมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 2.4 ส่วนในล้านส่วน แต่เมื่อเวลาดำเนินมาถึงปี 2023-2024 ปริมาณ CO2 ก็เพิ่มขึ้นเป็น 3.5 ส่วนในล้านส่วน


•ความเข้มข้นของ CO2 เฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3.5 เท่า
นายโค บาร์เร็ตต์ รองเลขาธิการ WMO กล่าวว่า “ความร้อนที่ถูกกักเก็บโดย CO2 และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ กำลังเร่งให้สภาพภูมิอากาศของเรารุนแรงขึ้น และนำไปสู่สภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การลดการปล่อยก๊าซจึงมีความสำคัญ ไม่เพียงแต่ต่อสภาพภูมิอากาศของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนด้วย”

ระดับ CO2 เพิ่มขึ้นสามเท่านับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 โดยเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยรายปีที่ 0.8 ppm ต่อปี เป็น 2.4 ppm ต่อปีในช่วงทศวรรษ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011-2020 ตามรายงานใน Greenhouse Gas Bulletin ของ WMO

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2023-2024 ความเข้มข้นของ CO2 เฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้น 3.5 ppm ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการวัดค่าแบบสมัยใหม่ในปี 1957

เมื่อเผยแพร่ครั้งแรกในปี ค.ศ. 2004 ระดับ CO2 เฉลี่ยรายปีที่วัดโดยเครือข่ายสถานีตรวจวัดของ WMO อยู่ที่ 377.1 ppm และในปี ค.ศ. 2024 อยู่ที่ 423.9 ppm

รายงานยังเผยให้เห็นว่าความเข้มข้นของก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกอายุยืนอันดับสองและสามที่สำคัญจากกิจกรรมของมนุษย์ ได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

“การเฝ้าระวังและขยายขอบเขตการเฝ้าระวังก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสนับสนุนความพยายามดังกล่าว” นายออกซานา ทาราโซวา เจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์อาวุโสขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ในฐานะผู้ประสานงาน Greenhouse Gas Bulletin กล่าว

รายงานประจำปีนี้ให้ข้อมูลอัปเดตก่อนการประชุม COP30 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติประจำปีนี้ ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วโลกจะประชุมกันอีกครั้งเพื่อพยายามเพิ่มการสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ

ข้อมูลของ WMO ออกมาไม่กี่วันหลังจากรายงานพบว่าโลกกำลังก้าวข้ามขีดจำกัดของโลกที่หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตให้คงอยู่และมีสุขภาพดี

แนวปะการังน้ำอุ่นกำลังถูกโจมตีอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนจากภาวะโลกร้อน ป่าฝนแอมะซอนก็ใกล้ถึงจุดเปลี่ยนเช่นกัน เมื่อก้าวข้ามจุดเหล่านี้ไปแล้ว ความเสียหายจะยากต่อการควบคุมและอาจไม่สามารถย้อนกลับได้ ตามที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์และสถาบันวิจัยผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศพอทสดัม (PIK) ระบุ


• การปล่อย CO2 เพิ่มขึ้น แต่แหล่งดูดซับคาร์บอนลดลง
สาเหตุที่เป็นไปได้ของการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ระหว่างปี ค.ศ. 2023-2024 คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากไฟป่า และการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ทางบกและมหาสมุทรที่ลดลงในปี ค.ศ.2024 ซึ่งเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรง

แหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น ระบบนิเวศบนบกและมหาสมุทร มักจะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาประมาณครึ่งหนึ่ง เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น มหาสมุทรจะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงเนื่องจากความสามารถในการละลายลดลงที่อุณหภูมิสูงขึ้น แหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนบกยังได้รับผลกระทบในหลายด้าน รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดภัยแล้งที่ยืดเยื้อมากขึ้น

ในช่วงปีที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น เนื่องจากประสิทธิภาพของแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนบกลดลงจากพืชพรรณที่แห้งแล้งและไฟป่า ซึ่งเกิดขึ้นจากภัยแล้งและไฟป่าที่รุนแรงในแอมะซอนและแอฟริกาตอนใต้ในปี ค.ศ. 2024

“มีความกังวลว่าแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งบนบกและในมหาสมุทรกำลังมีประสิทธิภาพลดลง ซึ่งจะเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตกค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น การเฝ้าระวังก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจวงจรเหล่านี้” นายออกซานา ทาราโซวา กล่าว

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บางส่วนที่ปล่อยออกมาในปัจจุบันน่าจะคงอยู่ในชั้นบรรยากาศเป็นเวลาหลายร้อยปี และจะยังคงส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศโลกต่อไปอีกเป็นเวลานาน

• ความเข้มข้นของก๊าซอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ก๊าซมีเทนคิดเป็นประมาณ 16% ของผลกระทบจากภาวะโลกร้อนต่อสภาพภูมิอากาศของเรา และคงอยู่ในชั้นบรรยากาศนานประมาณเก้าปี ซึ่งทำให้เป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ

ในปี ค.ศ. 2024 ความเข้มข้นของมีเทนเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 1,942 ส่วนในพันล้านส่วน (ppb) ซึ่งเพิ่มขึ้น 166% เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม (ก่อนปี ค.ศ. 1750)

มีเทนประมาณ 40% ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโดยแหล่งธรรมชาติ เช่น พื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศเช่นกัน อีก 60% มาจากแหล่งที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเลี้ยงปศุสัตว์ การทำนาข้าว เชื้อเพลิงฟอสซิล การฝังกลบ และการเผาชีวมวล

ก๊าซเรือนกระจกอายุยืนยาวอันดับสาม คือ ไนตรัสออกไซด์ ซึ่งคงอยู่ในชั้นบรรยากาศนานประมาณหนึ่งศตวรรษ สูงถึง 338.0 ppb ในปี ค.ศ. 2024 เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ก๊าซนี้มาจากทั้งแหล่งธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเผาชีวมวล การใช้ปุ๋ย และกระบวนการทางอุตสาหกรรมต่างๆ

WMO ระบุว่าประเทศต่างๆ จำเป็นต้องเสริมสร้างการติดตามระดับคาร์บอนไดออกไซด์อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินนโยบาย นอกจากนี้ WMO ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการรักษาแหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติที่มีอยู่


กำลังโหลดความคิดเห็น