โครงการ “คูโบต้า กล้า ท้า ปลูก ปี 2” เดินหน้าสู่ครึ่งทางของการแข่งขัน หลังเปิดตัวไป เมื่อปลายปีที่ผ่านมา จนได้ผู้เข้ารอบ 20 ทีมสุดท้ายที่จะต้องขับเคี่ยวกันในระดับภูมิภาค เพื่อค้นหาสุดยอดเกษตรกรนักปลูกข้าวโครงการ “คูโบต้า กล้า ท้า ปลูก ปี 2”ส่งเสริมการทำเกษตรแม่นยำด้วยนวัตกรรมปฏิทินเพาะปลูก “KAS Crop Calendar On LINE” ที่จัดโดย บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด และกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกันต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมา สู่การขยายผลในรูปแบบทีมเพื่อสร้างเครือข่าย Smart Farmer ทั่วประเทศ
สำหรับปีนี้ โครงการ “คูโบต้า กล้า ท้า ปลูก ปี 2” ขยายผลสู่ 4 ภูมิภาคของไทย ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ โดยแต่ละทีมจะประกอบด้วยสมาชิก 3 คน รับผิดชอบดูแลแปลงของตัวเองตามจริง แต่ทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ผ่านการใช้นวัตกรรมปฏิทินเพาะปลูก “KAS Crop Calendar On LINE” มาเป็นแนวทางหลักตลอดกระบวนการทำนา พร้อมกับดึงวิธีการทำนาแบบรักษ์โลกเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับภาคการเกษตร
โดยเกษตรกรสามารถบันทึกข้อมูลการเพาะปลูกในแต่ละช่วงเวลาได้ อาทิ วันที่เริ่มปลูก ชนิดของพืช ปริมาณที่ใช้ สามารถวาดแผนที่แปลงเกษตรของตนเอง เพื่อระบุตำแหน่งและขนาดของแปลงได้ ช่วยให้เห็นภาพรวมและจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบจะแนะนำขั้นตอนการทำงานที่เหมาะสมกับชนิดของพืชและช่วงเวลาที่ทำการเพาะปลูก เพื่อให้เกษตรกรปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังสามารถช่วยคำนวณสรุปรายรับรายจ่าย อีกทั้งสามารถแก้ไขขั้นตอนการทำงานได้ตามความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์จริง
ในช่วงนี้ ทีมผู้เข้าแข่งขันแต่ละภาคต่างเข้าสู่การเพาะปลูกตามฤดูกาลที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค ตั้งแต่ระยะปลูก ระยะแตกกอและตั้งท้อง ระยะออกรวง และรอเข้าสู่ระยะเก็บเกี่ยวซึ่งถือเป็นระยะสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพและปริมาณของผลผลิตในช่วงปลายฤดูกาล โดยในแต่ละภูมิภาค ทีมงานโครงการได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับเกษตรกรผู้เข้าแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
ตัวแทนทีมเกษตรกรจากภาคกลาง เล่าว่า “ภูมิใจที่ได้สืบทอดการทำนาจากพ่อแม่ เราอยากทำนาให้ได้คุณค่า ได้กำไรมากขึ้น ซึ่งข้อดีของปฏิทินเพาะปลูก “KAS Crop Calendar On LINE” จะเป็นไกด์ไลน์ให้กับการทำนาของเรา ซึ่งทีมเราเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่อาจจะประสบการณ์น้อย แต่พอมีเครื่องมือนี้จึงเปรียบเป็นครูที่ช่วยสอนเราได้อีกทางหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่าช่วงเวลานี้จะไถกลบตอซัง การปล่อยน้ำเข้านา การหว่านปุ๋ย รวมถึงเก็บเกี่ยว มีการบันทึกรายรับรายจ่ายทำให้เราเตรียมพร้อมทำนาในครั้งต่อไป"
"ทุกวันนี้อุตสาหกรรมการทำนามันไม่ได้ลำบากเหมือนแต่ก่อนเพราะเรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และองค์ความรู้มากมายให้เราศึกษาและลงมือทำ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่มีโอกาสเข้าถึงได้ง่าย แต่หลายคนอาจยังไม่เปิดใจจึงทำให้คนรู้สึกว่าการทำนามันยาก มันเหนื่อย ถ้าเราได้ลองเปิดใจใช้เทคโนโลยีเราจะรู้ว่ามันไม่ยากแต่ที่มันยากเพราะเราไม่รู้”
ขณะที่ทีมจากภาคอื่นๆ ต่างมีแนวทางการดูแลแปลงที่หลากหลายและเหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ บางทีมใช้การปรับสูตรปุ๋ยตามผลวิเคราะห์ดิน บางทีมทำนาแบบอินทรีย์ลดการใช้สารเคมี ผสมผสานการทำนาแบบรักษ์โลก
ตัวแทนทีมภาคเหนือเผยว่า “โครงการนี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้เกษตรกรรุ่นใหม่ได้พัฒนาทักษะการปลูกข้าว และการบริหารจัดการแปลงเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจและการแลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างเกษตรกรด้วยกันเอง รวมถึงการทำนาแบบรักษ์โลก ซึ่งเราได้ใช้วิธีการทำนาแบบเปียกสลับแห้งแกล้งข้าว โดยการใช้ตัวช่วยท่อ PVC วัดระดับน้ำและควบคุมปริมาณน้ำในนา ซึ่งเป็นเทคนิคการจัดการน้ำในนาข้าวที่ช่วยให้ต้นข้าวได้รับน้ำอย่างเหมาะสม ช่วยลดการใช้น้ำในการทำนาอีกด้วย และที่สำคัญยังช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนโดยการสลับช่วงเวลาที่นาข้าวมีน้ำขังกับช่วงที่ปล่อยให้น้ำแห้ง”
ทั้งนี้ การแข่งขันจะดำเนินไปจนถึงช่วงปลายปี โดยจะมีการคัดเลือกทีมที่สามารถใช้เทคนิคการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพ ภาคละ 1 ทีม รวมทั้งสิ้น 4 ทีม ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่า 1,000,000 บาท พร้อมถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แม้วันนี้การแข่งขันยังไม่สิ้นสุด เราอาจไม่รู้ว่าแปลงใดจะคว้ารางวัลไปครอง แต่สิ่งที่ทุกทีมลงมือทำไปแล้วกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้
สิ่งที่เห็นได้ชัด คือพลังของเกษตรกรรุ่นใหม่ที่พร้อมพัฒนา ต่อยอด และกล้าที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำนาโดยใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยให้การเพาะปลูกแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าที่ช่วยให้พวกเขารู้ว่า เวทีแห่งการปลูกความหวังลงบนผืนนานี้ ไม่ใช่เพียงปลูกข้าวให้งอกงาม แต่ยังหมายถึงการปลูกความรู้ ความใส่ใจ และจิตวิญญาณของเกษตรกรรุ่นใหม่ทั่วไทย อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ว่า นวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการทำเกษตรอย่างยั่งยืนให้เหล่าเกษตรกรทุกคนผู้เป็น Smart Farmer ของไทยสามารถนำความรู้นี้ไปพัฒนาต่อยอดการเพาะปลูกต่อไปในอนาคต