แนวเกม ชูตติ้งอาร์พีจี
แพลตฟอร์ม PS5, Xbox Series, PC
เรตเกม ESRB: M เหมาะสำหรับผู้เล่นที่มีอายุ 17 ปีขึ้นไป
***มีให้เล่นแบบเดย์วันสำหรับสมาชิก Game Pass***
ภาคต่อเกมสวมบทบาทผจญภัยข้ามดวงดาว ที่ดูใส่ใจลงทุนลงแรงสร้างกว่าภาคแรกขึ้นมาหน่อยนึง
หากพูดชื่อทีมงาน Obsidian Entertainment เชื่อว่าหลายคนคงจดจำชื่อพวกเขาได้จาก Fallout: New Vegas ผลงานเกมอาร์พีจีมหันตภัยนิวเคลียร์ล้างโลกที่โด่งดังเป็นพลุแตกหรือผลงานเกมอาร์พีจีที่อยู่ในโลกสายลับจารกรรมอย่าง Alpha Protocol ซึ่งสำหรับ The Outer Worlds นี้มันก็ยังคงเดินตามรอยคอนเซปต์อาร์พีจีที่พวกเขาถนัด เพียงแค่เปลี่ยนฉากหลังบรรยากาศจากที่ต้องปกป้องโลกเล็กๆใบเดิมมาเป็นพิทักษ์ผู้คนบนดวงดาวในกาแล็กซี่อันไกลโพ้นแทน และล่าสุดเกมไอพีใหม่ของพวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงภาคหลักลำดับที่สองแล้ว
สำหรับเนื้อหาในภาคสองนี้จะแยกเดี่ยวออกมาไม่ได้ดำเนินเกี่ยวเนื่องอะไรกับตัวเกมภาคแรก เพราะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระบบสุริยะใหม่ Arcadia System ซึ่งกำลังเกิดสงครามความขัดแย้งระหว่าง 3 ฝ่าย โดยเรารับบทเป็นเจ้าหน้าที่ Earth Directorate Agent ผู้ถูกส่งตัวมาเพื่อปราบพวกทุจริตและสืบสวนเหตุการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้น ทว่าเมื่อทุกสิ่งผิดแผนจนเกินควบคุมเราจึงต้องอพยพเข้าตู้แช่แข็งหลบหนีเอาตัวรอดออกมา แน่นอนว่ามันต้องแลกกับเวลา 10 ปีที่สูญเสียไปกว่าจะมีคนมาช่วยเหลือเรา และทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งตัวเราก็พบว่าสิ่งต่างๆที่เคยรู้จักมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นั่นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของอดีตเจ้าหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้ไม่หวาดเกรงอิทธิพลของใครหน้าไหน
จุดแข็งของเกมอยู่ตรงการเลือกวิธีผ่านอุปสรรคได้หลากหลาย คุณสามารถใช้กำลังบีบบังคับเข้าปะทะกับศัตรูซึ่งๆหน้า, แอบย่องลอบเร้นแนบเนียนมิให้อีกฝ่ายรู้ตัว หรือจะใช้วาจาพูดคุยหว่านล้อมแบบสันติวิธีไม่ต้องมีใครเสียเลือดเนื้อ ทุกปัญหาที่เราเจอภายในเกมล้วนมีทางออกมากกว่าหนึ่งทางเสมอ โดยทางเลือกแต่ละช๊อยส์และบทสนทนาแต่ละประโยคที่ผุดเด้งขึ้นมาให้เลือกนั้น มันจะสัมพันธ์แปรเปลี่ยนไปตามค่าพลังความถนัด บุคลิก และอุปนิสัยที่เราเป็นคนกำหนดใส่ลงไปในตอนสร้างตัวละครนั่นเอง
ถึงแม้ในช่วงเริ่มแรกที่เปิดเกมขึ้นมานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกนำเสนอผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่งเฉกเช่นเดียวกับภาคแรก แต่เราเองสามารถกดเข้าไปที่หน้าเมนูการตั้งค่าเพื่อสลับเป็นบุคคลที่สามมองผ่านหลังตัวละครได้เช่นกัน ซึ่งการเปลี่ยนมุมมองจะช่วยลดอาการเวียนหัวเวลาก้มๆเงยๆหยิบไอเทมสิ่งของตามพื้นตามชั้นวางได้เยอะเลยทีเดียว แถมประโยชน์อีกข้อของมุมมองแบบนี้นั่นคือเราจะได้เห็นรูปลักษณ์ทรวดทรงองค์เอวของตัวละครและเสื้อผ้าชุดสวมใส่ที่อุตส่าห์ตั้งใจแต่งมาได้อย่างชัดเจน มิใช่เห็นเพียงแค่มือเหมือนอย่างคราวที่แล้ว
ทันทีที่เท้าแตะพื้นผิวดาวเคราะห์ดวงแรกคุณจะต้องทึ่งกับงานภาพกราฟิกของเกมพร้อมกับตั้งคำถามตัวโตๆว่า Unreal Engine 5 มันมาไกลได้แค่นี้เองหรอ? เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันไม่ได้ดูสวยงามโดดเด่นแตกต่างจากผลงานเกมภาคแรกเมื่อหกปีก่อนที่รันบน Unreal Engine 4 เลยแม้แต่น้อย ยังคงเป็นโลกเปิดกว้างแบบโล่งร้างว่างเปล่าอย่างน่าใจหาย ระบบว่ายน้ำดำผุดดำโผล่ก็ไม่มีขืนเดินลงไปในบ่อมีหวังตายสถานเดียว แอ็คชั่นการปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกับสิ่งแวดล้อมก็น้อยมาก แอนิเมชั่นสีหน้าแววตาการขยับปากของตัวละครตอนพูดคุยก็ดูแข็งเป็นหุ่นยนต์ ไปจนถึงหน้าจอรอโหลดที่คอยโผล่มากวนใจเราทุกครั้งทำเอาอารมณ์ขาดตอนไม่สมูทลื่นไหลเหมือนเกมโอเพ่นเวิลด์สมัยใหม่
อีกสิ่งที่ดูแปลกประหลาดนั่นคือ ทั้งที่แม็พภายในเกมค่อนข้างกว้างใหญ่มีหลายโซนพื้นที่ให้สำรวจ แต่กลับไร้เงายานพาหนะใดๆมาให้เราได้ขับขี่โดยสาร ไม่ว่าจะทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ ซึ่งพูดไปมันก็น่าน้อยใจแทนเหล่าแฟนคลับที่ซื้อเกมผจญภัยข้ามดวงดาวไปเล่น ทว่าไม่สามารถขับยานบินท่องสำรวจเที่ยวชมอะไรได้เลย ทำได้มากสุดเพียงแค่เลือกจุดที่ต้องการไปแล้วกดวาร์ป Fast Travel หลังจากนั้นก็ออกแรงเดินหรือวิ่งต่อไปด้วยกำลังขาของตัวเองเท่านั้น บ๊ะ! นี่มันโลกอนาคตไซไฟล้ำยุคตรงไหนไม่ทราบครับเนี่ย
ด้วยความที่มันเป็นเกมอาร์พีจีสไตล์โอลด์สคูลจ๋าแบบดั้งเดิมที่ดำเนินตามรอยซีรีส์ Fallout หรือ The Elder Scrolls ทักษะการอ่านและการแปลภาษาอังกฤษของคุณจึงถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง เรียกว่ายัดตัวหนังสือมาเป็นเล่มมีให้อ่านจนง่วงหนังตาตกกันไปข้างกันเลยละ ซึ่งคุณต้องพยายามอ่านมันให้ครบถ้วนทุกบรรทัดทุกประโยคถ้าอยากเล่นเกมนี้ให้ได้อรรถรส เนื่องจากพวกเควสต์กิจกรรมรวมถึงทักษะความสามารถต่างๆกว่าจะเคลียร์ปลดล็อคได้มานั้นทุกอย่างล้วนมีสเต็ปขั้นตอนของมัน อยากเปิดตู้เซฟก็ต้องเรียนรู้การ Lockpick อยากซ่อมแซมเครื่องจักรกลก็ต้องไปทางสาย Engineering แถมระดับเลเวลเองก็เป็นปัจจัยตัวแปรสำคัญที่บ่งบอกชี้วัดว่าสิ่งไหนคุณทำได้หรือไม่ได้ และมันก็ยังส่งผลไปถึงยามปะทะต่อสู้ด้วย หากพบเจอศัตรูเลเวลสูงๆขึ้นรูปกะโหลกต่อให้เราจ่อยิงเข้าขมับทุกนัดอย่างแม่นยำมันก็ยังยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านใดๆ ขนาดจะแอบย่องลอบสังหารมันจากทางด้านหลังก็ยังทำไม่ได้เพราะฟังก์ชันดังกล่าวถูกล็อคเอาไว้สำหรับศัตรูที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น คือถ้าคุณกำลังมองหาเกมอาร์พีจีที่มีความอิสระยืดหยุ่นแล้วมีระบบแอ็คชั่นที่มอบความบันเทิงตื่นตาตื่นใจ เราขอแนะนำว่าให้ไปมองหาที่อื่นเถอะ!
"ถ้าเกิดว่า The Outer Worlds 2 ถูกปล่อยออกมาเมื่อสัก 10 - 20 ปีก่อน มันก็คงมีชื่อติดอยู่ในลิสต์เกมอาร์พีจียอดเยี่ยมได้ไม่ยาก แต่พอมาเป็นยุคสมัยนี้ที่มีทั้งแฟรนไชส์ Borderlands และ Starfield เป็นมาตรฐานเปรียบเทียบจึงไม่แปลกที่แสงของมันจะหรี่จางหายไปในอากาศ ว่ากันตามตรงแล้วชะตาของทีมงาน Obsidian Entertainment นั้นแทบไม่ต่างจากตัวละครเอกของเกมผู้ถูกฟรีซแช่แข็งข้ามกาลเวลา มัวก้มมองสนใจแต่โปรเจกต์ตัวเองที่อยู่ตรงหน้า โดยหารู้ไม่ว่าเกมอาร์พีจีอื่นๆในท้องตลาดเขาพัฒนาไปไกลถึงไหนต่อไหนกันแล้ว"
| เกมเพลย์ | 6 |
| เนื้อเรื่อง | 7 |
| กราฟิก | 7 |
| เสียง | 7 |
| ความคิดสร้างสรรค์ | 7 |
| ภาพรวม | 6.8 |
สนับสนุนบทความรีวิวโดย เอ็กบ็อกซ์
*ทีมงานผู้จัดการเกม เรียนเชิญผู้อ่านทุกท่านร่วมเป็นแฟนเพจ ManagerGame ทางเฟซบุ๊กเพื่อเพิ่มช่องทางการรับรู้ข่าวสารวงการเกมครับ*


