“ตูมตาม ยุทธนา” เผยเคล็ดลับเลี้ยงลูกไม่ติดจอ ถึงขั้นปรึกษาหมอและอ่านงานวิจัยอย่างจริงจัง จนลูกไม่สนใจมือถือแม้เห็นเพื่อนเล่น พร้อมแย้มข่าวดีภรรยาไฟเขียว เตรียมมีทายาทคนที่สองในปี 70
เป็นอีกบ้านที่เลี้ยงลูกด้วยการไม่ให้ติดจอมือถือ ยังไม่ให้เล่นโทรศัพท์ สำหรับ “ตูมตาม ยุทธนา เปื้องกลาง” โดยในงานบวงสรวงภาพยนตร์สยองขวัญ “สังเวย” (THE RESIDENT) เจ้าตัวเผยว่าถึงขั้นโร่ปรึกษาหมอ และอ่านวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ผมไม่เคยให้เล่นเลยครับ ลูกบ้านผมตอนนี้ก็ถึงวัยดูจอได้ แต่ผมไม่ได้ให้ดูจอมือถือ จะให้ดูโทรทัศน์จอใหญ่ ดูการ์ตูนเป็นอีพีบ้าง โชคดีที่เราอาจจะดูแลเขาถูกช่วงเวลาเขาเลยเป็นเด็กไม่ติดอะไรเลย แม้กระทั่งตุ๊กตา ของเล่น เขาไม่ยึดติดอะไรเลย เขาชอบเรียนรู้แบบอันนี้ชอบ แต่ก็สามารถไปเล่นอย่างอื่นได้ จะไม่อยากหิ้วอะไรติดตัวไปด้วย ชอบความสบายตัว ไม่ชอบแบกอะไร”
โร่ปรึกษาหมอ อ่านวิจัย เด็กกับจอมือถือ
“ผมไปปรึกษาหมอ อ่านงานวิจัยต่างๆ ของเด็กกับจอ เราก็มาประเมินสถานการณ์วิเคราะห์ตามความเป็นจริงบวกเข้าไปด้วยในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่ เป็นคนหน้างาน เราจะรู้ว่าบางทีงานวิจัยมันอาจจะไม่ได้ถูกต้อง 100% แต่มันดีที่สุดในตอนนี้ ก็เลยใช้ความรักนำในการเลี้ยงลูก อย่างกรณีการเลี้ยงลูกให้มีระเบียบวินัย ผมรู้สึกว่าเด็กอายุแค่ 2 ขวบเองจะมีระเบียบสักแค่ไหน เขาทำได้ในแต่ละวันมันก็โคตรดีแล้ว เลยรู้สึกว่าปล่อยให้เขามีความสุขดีกว่า เดี๋ยวโตยังไงมันก็ต้องเรียนรู้อยู่แล้ว ถ้าเขาเป็นเด็กที่มีความสุข เขาก็น่าจะเป็นเด็กที่เปิดรับในการเรียนรู้ในวันที่มันเหมาะสมมากขึ้น”
ไม่กังวลการเลี้ยงของปู่ย่า เพราะห้ามไม่ได้ แต่พยายามเปลี่ยนความคิดด้วยการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน
“ไม่เลยครับ เพราะทะเลาะกันมาแล้ว ทะเลาะกันมาตั้งแต่แรกๆ แล้ว โชคดีที่ครอบครัวเรารักลูกและฟังลูกมากๆ เขาจะเอาเราเป็นหลัก เราก็จะบอกว่าเลี้ยงไปตามกฎเดียวกันนะครับ เราพยายามหาข้อมูลมาเสนอคุณพ่อคุณแม่ เราห้ามไม่ได้ครับ แต่เราก็พยายามเปลี่ยนความคิดเขาด้วยการเรียนรู้ไปด้วยกัน เราคือทีมเดียวกันที่จะสร้างเด็กคนนึงให้มีความสุข เราจะเรียนรู้ไปพร้อมกัน เรามีความรู้อะไรใหม่ๆ ก็จะแจกจ่ายสู่ปู่ย่าตายายต่ออีกที”
เด็กคนอื่นอยากดูจอ แต่ลูกตนไม่สนใจ
“มีเจอประจำ แต่ลูกผมไม่สนใจเลยครับ เขาชอบสนทนากับคน เขาจะยิ้มทักทายทุกคน ดูแลแฟนๆ ดีจังเลย เราไม่เคยป้อนข้อมูลว่าสังคมมันอันตราย มันน่ากลัว ยังไม่ได้ป้อนข้อระวังให้เขาเยอะมาก เขาก็จะรู้สึกเหมือนเปิดโลกเวลาได้เจอสิ่งต่างๆยังเรียนรู้อย่างอิสระอยู่ เพียงแค่ว่าเราจะประกบอยู่ใกล้ๆ เสมอ ความปลอดภัยเดียวที่มีให้ลูกคือเราจะอยู่ใกล้ๆ แต่จะยังไม่บอกอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี มีแต่บอกลองดูเดี๋ยวปะป๊าอยู่ด้วย ก็จะมีความเหนื่อยดูแล เหนื่อยอธิบายเยอะหน่อย แต่สนุก”
เผยลูกเคยเล่นละครด้วยกันมาแล้ว
“เขาเคยเล่นละครกับผมแล้ว เขาจะพูดทำนองทำไมปะป๊าล้ม ทำไมปะป๊าร้องไห้ ทำไมปะป๊าโดนทำร้าย เขาจะมีคำถาม ผมก็บอกไปว่ามันเป็นการแสดงปะป๊าเป็นนักแสดง เวลาทำงานก็จะมีร้องไห้บ้าง ก็จะร้องไห้ให้เขาดูแล้วให้เขาลองทำ ไหนร้องไห้ดิ ก็เป็นอะไรที่น่ารักดี”
เปลี่ยนใจอยากมีลูกเพิ่มอีกคนในปี 70
“อยากมีครับ ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากให้เขามีพี่น้อง การที่เรามีพี่น้องต่อให้วันนึงเรารู้เงื่อนไขดีว่าพ่อแม่จะไม่อยู่กับเราแล้ว แต่เรายังมีคำว่าครอบครัวเหลืออยู่ มันเป็นภูมิคุ้มกันให้คนๆ นึงมากๆ กับการที่เรารู้ว่าเรายังเหลือใครอยู่”
ก่อนหน้านี้อยากมีคนเดียว
“ภรรยาอยากมีแล้วครับตอนนี้ ช่วงนั้นภรรยาเหนื่อย อาหลีบอกว่าโอเคหนูอยากมีแล้วพี่ ผมก็บอกได้เลย ก็สักประมาณปี 70 ให้พี่สาวเขาโรงเรียนก่อน เราจะได้บาลานซ์ได้ เราอยากจะเต็มที่กับทุกเรื่อง”


