xs
xsm
sm
md
lg

(รีวิว) Tempest ซีรีส์สายลับเกาหลีสุดเข้มข้น กับประเด็นดราม่าข้ามชาติ ‘จีนชอบสงคราม’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



ซีรีส์เกาหลีฟอร์มยักษ์จาก Disney+ เรื่อง Tempest ไม่ได้เป็นเพียงแค่การกลับมาของสองซูเปอร์สตาร์แห่งวงการอย่าง “จอนจีฮยอน” (Jun Ji-hyun) และ “คังดงวอน” (Gang Dong-won) เท่านั้น แต่คือการจุดชนวนความตื่นเต้นในมิติของเรื่องราวสายลับที่เข้มข้น มีชั้นเชิง และเต็มไปด้วยความเร่าร้อนทางอารมณ์

นี่คือผลงาน “จานเด็ด” ที่ผสานแอ็คชั่นระดับภาพยนตร์เข้ากับพลวัตของตัวละครที่ชวนติดตามอย่างยิ่ง คือความบันเทิงชั้นดีที่ซ่อนสาระทางสังคมที่ลุ่มลึกเอาไว้ภายใต้ฉากแอ็คชั่นและการเมืองระหว่างประเทศ

Tempest คือการยกระดับมาตรฐานของซีรีส์แนวสายลับ-ทริลเลอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านโปรดักชั่นและภาพลักษณ์ ที่สื่อบางรายถึงกับยกให้เป็นการเล่าเรื่องด้วยภาพ (Visual Storytelling) ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาและรวดเร็วฉับไว ฉากแอ็คชั่นขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ตั้งแต่การไล่ล่าด้วยรถยนต์ไปจนถึงฉากต่อสู้ระยะประชิด ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างประณีตราวกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ซึ่งทำให้รู้สึกถึงเดิมพันที่สูงลิ่วในแต่ละเหตุการณ์

แต่สิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ “อร่อยเหาะ” จนไม่อาจละสายตาได้ คือ “เคมี” อันเหลือเชื่อระหว่าง “จอนจีฮยอน” ในบท “ซอมุนจู” อดีตนักการทูตผู้ชาญฉลาดและเด็ดเดี่ยว กับ “คังดงวอน” ในบท “ซานโฮ” เจ้าหน้าที่พิเศษผู้ลึกลับและเปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณการปกป้อง บทวิจารณ์จากหลายสำนักต่างชื่นชมว่าคู่นี้มี เคมีที่ “กรุ่น” และ “ร้อนแรง” ที่หาได้ยาก เป็นเสน่ห์ที่ใช้ “ความนิ่ง” สื่อสารความรู้สึกที่ซับซ้อนออกมาได้อย่างน่าทึ่ง


เรื่องราวที่เริ่มต้นด้วยโครงสร้างที่ดูคุ้นตา ว่าด้วยชายผู้พิทักษ์หญิงผู้ทรงอิทธิพล แต่กลับพลิกผันให้ “มุนจู” ไม่ใช่เพียง “สตรีผู้ตกอยู่ในอันตราย” แต่เป็นตัวละครหญิงที่หลักแหลม มีหลักการ และเป็นผู้ริเริ่มในการไขปริศนาการลอบสังหารสามีของตัวเอง เธอคือศูนย์กลางทางอารมณ์และสติปัญญาที่ขับเคลื่อนพล็อตเรื่องทางการเมืองและการจารกรรมให้เดินหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง

ภายใต้ฉากหลังของการเมืองระหว่างประเทศที่มีการจารกรรมและสมคบคิดระดับทำเนียบขาว Tempest ได้สอดแทรกประเด็นทางสังคมและการเมืองที่น่าขบคิดหลายประเด็นอย่างแยบยล ซึ่งทำให้ซีรีส์นี้มีความ “เกี่ยวข้อง” และ “ร่วมสมัย” ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพูดสงครามที่ไม่ใช่แค่การสู้รบ

พล็อตหลักของเรื่องวนเวียนอยู่กับความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี และการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจโลก แม้ผู้สร้างจะยืนยันว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นใน โลกสมมติ หรือ “เกาหลี-1” แต่ก็เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าประเทศที่มีอำนาจจำกัดเช่นเกาหลีใต้ต้องเผชิญกับอิทธิพลและการชักใยจากภายนอกอย่างไร คำถามเรื่อง “การรวมชาติ” ไม่ได้ถูกนำเสนอในแง่ของอุดมคติที่สวยงาม แต่เป็นการรวมที่อยู่ภายใต้แรงกดดันและภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ Tempest ใช้ประเด็นรวมชาติเป็นอุปมาที่กว้างกว่านั้น คือการเรียกร้องหา “เอกภาพและการรวมเป็นหนึ่ง” ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างเพศ ระหว่างรุ่น หรือแม้แต่ความแตกแยกภายในตัวบุคคล


สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือการสำรวจ “พลวัตทางเพศ” (Gender Dynamics) ในสังคม ซอมุนจูเป็นนักการทูตที่เก่งกาจและก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นั่นแสดงถึงการที่ผู้หญิงสามารถกุมบังเหียนและเป็นผู้ “กำหนดเกม” ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ซีรีส์ก็ฉายภาพของตัวละครหญิงอีกตัวหนึ่งอย่าง “อกซอน” ที่สั่งสมอำนาจมืดอย่างลับ ๆ ภายใต้ “เงา” ของการเป็นภรรยาและแม่ ซึ่งผู้สร้างระบุว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าในสังคมเกาหลีใต้ อำนาจของผู้หญิงบางครั้งอาจถูกมองข้ามและตรวจสอบน้อยกว่าเมื่ออยู่ภายใต้ “เงา” ของสถานะทางเพศและบทบาททางครอบครัว ทำให้เธอสามารถกระทำการบางอย่างได้อย่างไร้การควบคุม เป็นการพลิกบทบาททางเพศแบบดั้งเดิม โดยให้ผู้หญิงเป็นทั้งผู้ล่าและเหยื่อในเกมอำนาจที่ซับซ้อน

ประเด็นที่ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงคือ การนำเสนอภาพประเทศต่าง ๆ เช่น การพาดพิงถึงจีนในลักษณะที่ว่า “จีนต้องการสงคราม” หรือการแสดงภาพบางฉากที่คล้ายจะเป็นการ “ลดทอน” ภาพลักษณ์ของเมืองและประเทศอื่น ๆ รวมถึงการกล่าวถึงสงครามในเวียดนามและอิรัก ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ชมบางกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ทีมผู้สร้างได้ออกมาชี้แจงว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นใน จักรวาลสมมติ ที่มีการสร้าง “เกาหลี-1” ขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการพาดพิงถึงความเป็นจริงอย่างตรงไปตรงมา แต่ยอมรับว่าการใช้ชื่อประเทศจริงอาจทำให้ผู้ชมตีความไปในทางลบได้ง่าย นี่เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของซีรีส์แนวการเมือง ที่พยายามสะท้อนความจริงด้วยการสร้างโลกสมมติ แต่กลับต้องเผชิญกับเส้นแบ่งที่บอบบางระหว่าง “สมมติ” และ “ความเป็นจริง” ที่อ่อนไหวในสายตาของผู้ชมทั่วโลก

Tempest คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความตื่นเต้นเร้าใจแบบสากลกับความละเอียดอ่อนทางอารมณ์แบบ K-Drama เป็นการพิสูจน์ว่าซีรีส์เกาหลีได้ก้าวข้ามขีดจำกัดด้านโปรดักชั่นและขอบเขตทางเนื้อหาไปอีกขั้น แม้จะมีจุดสะดุดในด้านจังหวะการเล่าเรื่องในช่วงแรกและการเผชิญกับเสียงวิจารณ์จากความอ่อนไหวทางการเมือง แต่ความสนุกของเรื่องราว, การแสดงอันทรงพลังของนักแสดงนำ, และการสำรวจประเด็นทางสังคมอย่างกล้าหาญ ก็ทำให้ Tempest กลายเป็นซีรีส์ที่คุ้มค่าแก่การรับชม















กำลังโหลดความคิดเห็น