“อุ้ม ลักขณา” แจงไม่เสียบซีรีส์แทน “เป้ย” เพราะทุกอย่างเร่งรีบ เหมือนถูกบีบให้รับ ขอบคุณที่นึกถึง แต่ลูกโตแล้ว ไม่สบายใจจะเล่นเลิฟซีน ยอมรับคิดถึงงานละคร แต่ขอใช้เวลากับลูกก่อน ไม่กลัวลูกเห็นผลงานเก่าๆ เพราะอธิบายได้ ไม่ติดถ้าลูกอยากมาสายเซ็กซี่ เพราะเชื้อแม่แรง เริ่มฉายแววดาราแล้ว
หลังก่อนหน้านี้ “เป้ย ปาดวาด เหมมณี”ได้ถอนตัวจากซีรีส์เรื่อง “ตถตา (I AM WHAT I AM)” ของผู้จัดหน้าใหม่ “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ”ก็มีข่าวแว่วมาว่ามีการติดต่อให้ “อุ้ม ลักขณา วัธนวงส์ศิริ” มาเสียบแทน แต่สุดท้ายก็เป็น “แป้ง อรจิรา แหลมวิไล” ที่มารับไป งานนี้เลยทำเอาหลายคนแอบสงสัย ว่าทำไมอุ้มถึงไม่รับเล่น ล่าสุดวันนี้ (9 พ.ย.) ได้เจออุ้ม ในงาน Grand opening The Clinique Hair Center ณ Siam Square One ชั้น 3 เจ้าตัวก็ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ โดยยอมรับว่ามีการติดต่อมาจริง แต่ทุกอย่างมันเร่งรีบ เลยรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับ และอีกอย่างลูกสาวเริ่มโตแล้ว เลยไม่สบายใจที่จะเล่นบทเลิฟซีน
“ได้รับการทาบทามจริงค่ะ เขาติดต่อมาว่าจะมีหนังเรื่องนี้ เป็นบทที่เป้ยเล่น ตอนนั้นได้มีการพูดคุยถึงเรื่องบท แต่เป็นการพูดคุยแค่ปากเปล่าเฉยๆ แล้วอุ้มรู้สึกไม่สบายใจที่จะรับ เพราะเรายังไม่ได้ศึกษาบท ไม่ได้รู้เหตุที่มาที่ไป ว่าทำไมถึงต้องมีเลิฟซีน อยากรู้รายละเอียดของหนัง ก่อนที่เราจะทำงานซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้รับบทมา มีแค่การโทร.มาเล่าให้ฟัง ให้อุ้มให้คำตอบเดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งเราก็ไม่สามารถรับได้ทันทีทันใด เลยได้ปรึกษากับพี่ผู้จัดการ พอให้เขาเล่าถึงในส่วนของเลิฟซีนให้เราฟัง คือตัวอุ้มเอง คาแรกเตอร์เราค่อนข้างจะเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เรา 42 แล้ว มาทางสายมูแล้วด้วย เราเองก็ไม่ค่อยได้ถ่ายเซ็กซี่ ไม่ได้เล่นอะไรที่เซ็กซี่แล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณที่นึกถึงอุ้ม แต่ตัวเราเองด้วยวัยอาจจะไม่เหมาะแล้ว เรามีลูกสาวด้วย โอเคผลงานเก่าๆ เราเล่าให้เขาฟังได้ แต่ตอนนี้มันอยู่ในวัยที่เขารู้เรื่องหมดแล้ว เราก็คงไม่สบายใจ ที่จะไปรับฉากที่มีเลิฟซีนหวือหวามากๆ”
เข้าใจถ้าใครจะไม่พอใจที่ไม่รับ แต่ส่วนตัวรู้สึกไม่แฟร์ เพราะทุกอย่างเร่งรีบ เหมือนถูกบีบให้รับ
”อุ้มไม่ได้คุยส่วนตัวกับทีมงานเท่าไหร่นะคะ แค่คุยผ่านพี่ผู้จัดการไป เขาก็ไม่ได้มีฟีดแบ็กอะไรกลับมา เขาแค่โอเค ถ้าไม่สะดวกไม่เป็นไร ตัวอุ้มไม่มีปัญหานะคะ ไม่เคยมีปัญหากับใครอยู่แล้ว แต่ถ้าใครจะไม่โอเค ไม่พอใจที่เราไม่รับ มันก็เป็นสิทธิ์ที่เขาจะไม่พอใจก็ได้ เพราะทุกอย่างมันเป็นการเร่งรีบ แต่อุ้มรู้สึกว่ามันไม่แฟร์สำหรับตัวอุ้มเอง ที่เหมือนมาบีบบังคับให้เราต้องรับ เราไม่แฮปปี้ ก็คุยกันตั้งแต่เริ่มก่อนดีกว่า ก่อนที่จะทำงานไปแล้วมีปัญหาภายหลัง”
ขอบคุณที่นึกถึง แต่ไม่ได้เห็นบททั้งหมด เลยไม่สะดวกใจจะรับ
“คืออุ้มไม่ได้เห็นหมด ว่าบทมันเป็นยังไง มีแต่การเล่าให้ฟัง ซึ่งเราไม่รู้ว่าเล่าอีกแบบหนึ่ง ถึงเวลาถ่ายจะเป็นอีกแบบหนึ่งไหม เพราะเราไม่เคยร่วมงานกับทีมเขา ก็เลยรู้สึกว่ายังไม่สะดวกใจที่จะรับแต่ก็ขอบคุณจริงๆ ที่นึกถึงอุ้ม
ได้คุยกับ “เป้ย” หลังปฏิเสธ ไม่อยากรู้สึกว่าไปเสียบแทนเพื่อน
“ได้คุยกันค่ะ ก่อนหน้าไม่ได้ถาม มาถามตอนปฏิเสธไปแล้ว เลยได้มีการคุยกันว่าเรื่องมันเป็นยังไง (ถามว่าที่ไม่รับ เพราะสาเหตุเดียวกันไหม?) อุ้มว่าเราเป็นนักแสดงที่อยู่ในวงการมานาน มีความเป็นมืออาชีพ อะไรที่มีการพูดคุยตกลงกัน มันสามารถทำได้ ถ้าเราแฮปปี้ ถ้าเราตั้งใจอยากจะทำมันตั้งแต่แรก มันคุยได้ แต่อุ้มก็ไม่ได้อยากรู้สึกว่าไปเป็นตัวแทนโดนเสียบเพราะเราก็เป็นเพื่อนกันรู้จักกัน ก็คิดว่าให้เขาหาคนที่เหมาะสมที่จะเล่นบนนี้ดีกว่า”
เสียดายทุกโอกาสที่เข้ามา แต่อยากใช้เวลากับลูกก่อน
“เสียดายโอกาสทุกครั้งที่มีเข้ามานะคะ ตอนนี้ก็มีติดต่อเข้ามา ไม่ได้เรื่องมาก แต่ด้วยความที่อุ้มเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มันต้องใช้เวลาอยู่กับลูกเยอะ อุ้มขับรถไปรับส่งลูกที่โรงเรียนทุกวัน ต้องเข้าร้าน เราเปิดคาเฟ่ด้วย เราทำธุรกิจส่วนตัว ถ้าต้องไปทำงานในวงการที่เต็มตัว กลัวสร้างปัญหาให้เขา เรารู้ว่าเราไม่ได้มีเวลามากพอที่จะไปทำตรงนั้น แต่ถามว่าอยากเล่นไหม อยากเล่นค่ะ ยังคิดถึงงานละคร ถ้ามีบทที่เหมาะสม มีเวลาที่ปลีกตัวไปได้ก็ยังสนใจ ไม่อยากให้ลูกเสียใจ เพราะลูกติดเรามาก ตอนนี้เขาเพิ่ง 6 ขวบเอง ถ้าสัก 10 ขวบเริ่มโตแล้ว แต่ตอนนั้นเราอาจจะแก่มากแล้ว อาจจะไม่มีคนจ้าง (หัวเราะ) แต่เรายังมีงานพรีเซ็นเตอร์ แล้วก็มีเทวาลัยที่เราอยากจะทำด้วย”
ฉากเลิฟซีนสมัยนี้มันไปไกลแล้ว อยู่ที่ความไหวของแต่ละคน
“มันก็ต้องดูเรื่องด้วย ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในการมีฉากเลิฟซีน แต่การที่จะสื่อออกไปในโซเชียลสมัยนี้ มันต้องมีความหลากหลาย สมัยนี้มันไปไกลแล้ว เอาตามความไหวของแต่ละคนดีกว่า ใครไหวที่จุดไหน ก็ไปที่จุดนั้น”
ไม่กลัวลูกเห็นตอนเล่นฉากเลิฟซีน เพราะสามารถอธิบายได้
“น้องยังไม่เคยเห็นฉากเลิฟซีนที่เราเคยเล่น แต่จะเห็นเราใส่ชุดว่ายน้ำ ใส่ชุดเซ็กซี่ เขาจะชมว่าสวย แต่เขายังไม่ได้เห็นที่เราไปเล่นบทเซ็กซี่ ถ้าโตขึ้นเราก็จะคุยกับเขานะคะ ว่ามันเป็นเรื่องของการแสดง ของการทำงาน ปัจจุบันเราอยู่กับลูกก็มิดชิดด้วยซ้ำ (กลัวไหมหลังจากนี้น้องจะเห็น?) ไม่ได้กลัวนะคะ ตั้งแต่ทำงานวงการมาแรกๆ อยู่ในสายตาของพ่อแม่มาตลอด ก่อนที่จะรับงานตั้งแต่สมัยก่อน เราคิดอยู่แล้วว่าอนาคตจะมีลูก มีครอบครัว แล้วเราไม่เคยถอดจริง หรือเลิฟซีนดุเดือด เราสามารถอธิบายบอกลูกได้
วันหนึ่งโตขึ้นเขาอาจจะเป็นนักแสดงแบบเราก็ได้ ตอนนี้เขาฉายแววความเป็นดารามาก เราพร้อมสนับสนุน เพียงแต่เราต้องคุยกัน ไม่ให้เขาไปแอบทำ ตอนนี้เริ่มมีเดินแบบ ใส่เอวลอย เชื้อแม่แรงอยู่นะ ชอบไง เป็นดาราเป็นนักร้อง ถ้าลูกมาสายเซ็กซี่เราโอเคนะคะ แต่ต้องอยู่ในลิมิตที่น่ารักเหมาะสมกับวัย ค่อยๆ เป็นไปตามวัยดีกว่า”
ควบคุมสื่อโดยการนั่งดูกับลูก แอบน้ำตาตกเวลาลูกพูดถึงเรื่องครอบครัว
“นั่งดูกับเขาค่ะ ใช้เวลาดูกับเขา เพราะลูกเราไม่ดูการ์ตูน เขาดูอะไรที่เป็นยูทูบเบอร์แบบเด็กโต เราต้องคอยบอกเขาว่าอันนี้การแสดงนะ การมีลูกไม่ใช่แค่เลี้ยงไปวันๆ มันต้องเลี้ยงด้วยหัวใจจริงๆ ที่เราจะทำให้เด็กคนหนึ่งอบอุ่นและมีความสุข ไม่อยากให้เขารู้สึกขาด เพราะตอนนี้เขานอยด์บ้าง ว่าทำไมวันพ่อวันแม่ เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทำไมต่างประเทศไม่เคยไปเที่ยวแบบครอบครัวเลย เวลาลูกถามเราก็มีน้ำตาตกเหมือนกันนะ อุ้มถึงพยายามไม่ให้เขาขาด ถึงแม้ว่าเราจะพลาดโอกาสดีๆ ในการทำงานหลายอย่างในชีวิต แต่สิ่งที่ไม่อยากพลาดเลยก็คือลูก กลัวว่าถ้าเขาไม่แข็งแรงพอ วันหนึ่งเขาอาจจะไปเจออะไรที่กระทบจิตใจเขา แล้วเขาอาจจะไปจุดนั้นเลยก็ได้”
ลูกค่อยๆ รับรู้และเข้าใจ ไร้ปัญหาพ่อแม่แยกทาง
“เคยบอกเขาตั้งแต่เขาเริ่มรู้เรื่อง ว่าบ้านพัง แต่พอเขาโตขึ้น เขารู้แล้วว่าบ้านพังที่เราบอก คือพ่อกับแม่เลิกกัน ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม ซึ่งเขาก็ค่อยๆ รับได้เพราะเราก็ค่อยๆ ให้เขาซึมซับ แล้วก็ใช้ความรักจากทั้งสองฝ่าย ตอนนี้เราแบ่งกัน เปิดเทอมอยู่กับอุ้ม ปิดเทอมพ่อเอาไป แบ่งกันไปเลย หรือถ้าเราต้องไปทำงานต่างจังหวัด หรือมีทริปไปต่างประเทศ ก็ให้พ่อเขามาอยู่กับลูกที่กรุงเทพฯ ซึ่งลูกไม่มีปัญหา บอกดีจังที่มีบ้านสองที่ เป็นคนเชียงใหม่ด้วย เป็นคนกรุงเทพฯ ด้วย เราพยายามใส่ในสิ่งที่มีความเป็นจริงด้วย ต้องพูดความจริงกับลูก เด็กสมัยนี้ฉลาดมาก หลอกไม่ได้”
เปรย “อุ้ม” เวอร์ชั่นเซ็กซี่ คงโผล่มานานๆ ทีให้กระชุ่มกระชวย
“ก็น้อยลงค่ะ อาจจะมีนานๆ ที โผล่มาบ้างให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ เรารู้สึกว่าเราดูแลตัวเองมาดีขนาดนี้ บางทีก็ต้องมีโชว์กันบ้าง โอกาสกลับมาทวงบัลลังก์ ก็ไม่แน่นะ ถ้าถึงวันหนึ่งที่อายุเยอะกว่านี้ แล้วยังสวยได้จุดนี้ ก็รู้สึกว่ามันก็ไม่แปลก ถ้าเราจะลุกขึ้นมาเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น”


