เจมส์ กันน์ ผู้กำกับ Superman และประธานร่วม DC Studios แสดงความเห็นถึงสาเหตุที่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวูดหลายเรื่องในช่วงหลังทำรายได้ต่างประเทศต่ำกว่าที่เคย ทั้งที่ตลาดอเมริกาเหนือยังคงไปได้ดี
แม้ช่วงซัมเมอร์นี้จะมีหนังฟอร์มใหญ่หลายเรื่องอย่าง F1, Jurassic World: Rebirth และ Superman ทำเงินแรงในอเมริกาเหนือ แต่ทิศทางรายได้จากต่างประเทศกลับสวนทาง โดย Superman เองทำรายได้ในตลาดสหรัฐและแคนาดาไปแล้ว 236 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 173 ล้านดอลลาร์ จากตลาดต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นสัดส่วน 60:40 ที่ “ผิดธรรมชาติ” สำหรับหนังระดับบล็อกบัสเตอร์
กันน์ให้สัมภาษณ์กับ The Rolling Stone ว่า “ซูเปอร์แมนไม่ใช่คาแรกเตอร์ที่รู้จักในทุกประเทศเหมือนอย่างแบทแมน และสิ่งที่เราต้องเผชิญคือกระแสต่อต้านอเมริกาที่กำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลก มันไม่ใช่สิ่งที่ช่วยให้หนังไปได้ดีนัก” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “แต่ถึงอย่างนั้น ทุกอย่างสำหรับเราถือว่าประสบความสำเร็จ หนังเปิดตัวอย่างสวยงาม ได้รับการตอบรับจากผู้ชมในหลายประเทศ และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของต้นไม้ที่ผมกับปีเตอร์ (ซาฟราน) รดน้ำมาตลอดสามปี”
ซูเปอร์แมน ‘woke’ เกินไปจริงหรือ?
อีกหนึ่งกระแสวิจารณ์คือคำกล่าวหาว่า Superman เวอร์ชันนี้มีเนื้อหาทางการเมืองมากเกินไป หรือ “woke” โดยเฉพาะในบางประเทศอย่างอิสราเอลที่มีการรณรงค์ไม่ดูหนังเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม แฟน ๆ จำนวนมากก็ออกมาชี้ว่า Superman เป็นตัวละครที่มีเนื้อหาทางการเมืองตั้งแต่ยุคสร้างแรกเมื่อ 80 ปีก่อนแล้ว
กันน์ตอบโต้ประเด็นนี้ผ่าน Entertainment Weekly ว่า “มีคนบอกว่ามัน woke แล้วก็มีอีกหลายคนบอกว่ามันไม่ใช่ ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าอะไรในหนังที่ถูกมองว่า woke” เขากล่าวต่อว่า “นักข่าวจากลอนดอนคนหนึ่งพูดถึงประเด็นที่ว่า เจอร์รี ซีเกล และ โจ ชูสเตอร์ ผู้สร้างซูเปอร์แมนเป็นลูกของผู้อพยพ และซูเปอร์แมนก็ถูกเขียนขึ้นให้เป็นเรื่องของผู้อพยพ ผมตอบไปว่าใช่ แต่มันคือเรื่องของ ‘ความเมตตา’ มากกว่า ซึ่งนั่นคือแก่นของหนังสำหรับผม”
แม้จะมีเสียงวิจารณ์หลากหลาย แต่ Superman ก็ยังคงเดินหน้าโกยรายได้ ล่าสุดทำเงินรวมทั่วโลกไปแล้ว 409 ล้านดอลลาร์ นับเป็นก้าวแรกของจักรวาล DC ฉบับรีบูตใหม่ของเจมส์ กันน์ โดยมี เดวิด โคเรนสเวต รับบทคลาร์ก เคนต์, ราเชล บรอสนาฮาน รับบทโลอิส เลน และ นิโคลัส โฮลต์ ในบทเล็กซ์ ลูเธอร์
