“อุ้ม” ปัดตอบเลิก “ด้วง” หันมาอินเลิฟควงฝรั่งตาน้ำข้าว บอกขออนุโมทนาบุญถ้าจะไม่ถามเรื่องดังกล่าว สุดฉุน เห็นช่างภาพแชะภาพสวีทกับแฟนฝรั่งในงาน “น้ำจิตน้าใจ” ที่เจ้าตัวเป็นแม่งาน จวก ให้เลิกทำอาชีพนี้ซะ ทำไปก็ไม่เจริญ
เคยตกเป็นข่าวว่ากำลังจะเตรียมเข้าพิธีวิวาห์กับไฮโซสถาปนิก “ด้วง ดวงฤทธิ์ บุญนาค” แต่ล่าสุดก็มีภาพปาปารัสซี่สาว “อุ้ม สิริยากร พุกกะเวส” เดินจูงมือสวีทกับหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวที่หัวหิน ทำเอาหลายคนสงสัยว่าแล้วว่าที่เจ้าบ่าว หนุ่มด้วง หายไปไหนซะแล้ว แต่เมื่อได้มาเจอ สาวอุ้ม ที่งาน “น้ำจิตน้ำใจ” ที่จัดขึ้นที่หน้าลานเซ็นทรัลเวิลด์ ที่สาวอุ้มเป็นแม่งานในการจัดเตรียมงานนี้
ซึ่งตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน จะสังเกตเห็นว่าจะมีหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวที่ดูยังไง๊...ยังไงหน้าตาก็ละม้ายคล้ายหนุ่มฝรั่งที่สาว “อุ้ม” เธอจูงมือสวีทที่หัวหิน คอยตามช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมข้าวของให้แขกที่มาร่วมงาน เก็บขยะบริเวณรอบงาน และก่อนที่สาวอุ้ม เตรียมจะขึ้นเวทีก็ยังแอบเห็นทั้งคู่หลบฝูงชนมายืนคุยกันสองต่อสอง ซึ่งดูสนิทสนมจิ๊จ๊ะกันเป็นพิเศษ
สบโอกาสผู้สื่อข่าวจึงเข้าไปขอสัมภาษณ์ถึงภาพปาปารัสซี่ดังกล่าว รวมไปถึงความสัมพันธ์ทั้งคู่ เพราะปกติแล้วไม่ค่อยจะเห็นสาวอุ้มยอมควงหนุ่มคนไหนออกงานสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเจอคำถามเรื่องราวหัวใจเข้าไปเท่านั้นแหละ สาวอุ้มก็ออกอาการหน้าเหวี่ยงใส่นักข่าวทันที
“วันนี้เรามางานบุญขออนุญาตจริงๆ ขอพูดในสิ่งที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับบุญเท่านั้นเลย อนุโมทนาทุกท่านที่จะไม่ถาม”
และเมื่อผู้สื่อข่าวพยายามถามว่าใช้หลักธรรมะในการข่มใจอย่างไรเมื่อเจอข่าวร้ายๆ หรือมีภาพปาปารัสซี่เจ้าตัวก็ตอบว่า....
“คือถ้าเกิดเห็นข่าวแล้วมีใครพูดถึง ก็จะคิดเสมอว่ามันไม่ใช่อุ้ม คือเราไม่มี คือ สิริยากร พุกกะเวส ในโลกนี้ไม่มี คือมันก็ทะลุไปตลอดเวลา คือมันแล้วแต่เลย จริงๆ แต่ว่าเรามีจิตที่เป็นกุศลคิดดีทำดีเสมอ ใครที่คิดไม่ดีก็เกิดขึ้นกับตัวเองใช่ไหม เพราะฉะนั้นคิดดีเถอะคะ แล้วสนใจกายใจตัวเองเป็นหลัก คือเรื่องของคนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่น”
“อุ้มปฏิบัติธรรมนี่ก็เพิ่งกลับมาจากอินเดีย ไปมาเดือนกว่า รู้สึกว่าจริงๆ เราก็เป็นฆราวาสแบบนี้ เราก็มีธรรมะในชีวิตได้ แล้วจริงๆ เราเองควรจะมี มีคนบอกว่า ธรรมะคือธรรมชาติเพราะฉะนั้นให้มันเป็นธรรมชาติของเรา คือไม่จำเป็นต้องโกนศีรษะ นุ่งห่มในรูปแบบที่เห็น อุ้มว่าเราเป็นผู้ครองเรือนแบบนี้เราก็ปฏิบัติได้ เราเองก็ยังมีกิจในโลก เราก็ยังได้วิ่งที่สิ่งเหล่านี้ ก็รู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมาเรามีคอนเน็กชั่นต่างๆ แล้วได้เอามาใช้กับตรงนี้กับโครงการที่เป็นการกุศลมันก็เป็นประโยชน์มาก”
จากนั้น “สาวอุ้ม” ผละตัวจากสื่อมวลชน ขอตัวทักทายแขกเหรื่อภายในงานและเตรียมขึ้นเวที ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นงานดังกล่าว ทางด้าน สาวอุ้ม กับแฟนหนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวก็ยังคงช่วยกันเก็บข้าวของสัมภาระอยู่ภายในงาน โดยมีเพื่อนๆ ของเธอนั่งอยู่ด้วย ซึ่งก็ได้มีสื่อมวลชนคนนึง เดินเข้าไปเก็บภาพของทั้งคู่ ภายในระยะ 10 เมตร และเมื่อสาวอุ้ม เห็นว่าตนว่ากำลังถูกเก็บภาพอยู่นั้น ก็ถึงกับเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เดินตรงเข้ามาหาช่างภาพคนนั้น และพูดถากถางว่า “ทำไมจะถ่าย ไม่ขอกันดีๆ มา!เดี๋ยวจะพาไปหาเพื่อน”
ซึ่งระหว่างที่สาวอุ้ม กำลังจะพาช่างภาพคนดังกล่าวไปหากลุ่มเพื่อนร่วมอาชีพ ที่กำลังจ้องเก็บภาพของทั้งคู่อยู่อีกเป็นกลุ่มด้วยนั้น ทางด้านเพื่อนสาวคนนึงของสาวอุ้ม ก็พูดสวนขึ้นมาเสียงดังว่า “ทำไมสื่อไทยยังไม่เลิกนิสัยเลวๆ แบบนี้อีก” และเมื่อสาวอุ้ม พาช่างภาพคนดังกล่าวไปเจอกับกลุ่มสื่อมวลชนที่ยังอยู่ในงาน เธอก็พูดจวกไปด้วยสายตาจิกกัด แสดงถึงความไม่พอใจว่า “วันนี้เป็นงานบุญทำไมถึงมาทำแบบนี้...เลิกอาชีพนี้ซะเถอะ เพราะมันไม่ทำให้พวกคุณเจริญขึ้นมาหรอก”
จากนั้นเธอก็ผละตัวออกจากวงไป เล่นเอาบรรดาสื่อมวลชนยืนอึ้งมึนเป็นไก่ตาแตก และก่อนที่สาวอุ้ม จะออกงานบริเวณงาน ก็ยังเดินมาพูดทิ้งทวนกับเหล่าสื่อมวลชน ที่นั่งกันวงใหญ่อีกรอบว่า “ถ้าอยากจะเอาภาพไปใช้ ก็เชิญตามสบายเลยนะคะ รู้ไหมว่าเอาภาพคนอื่นไปใช้มันบาป เลิกถ่ายได้ก็ดีเพราะทำแบบนี้มันบาป” แล้วก็สะบัดก้นเดินไปกับกลุ่มเพื่อนและหนุ่มฝรั่งคนดังกล่าว
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวทางผู้สื่อข่าว “ASTVผู้จัดการออนไลน์” ได้สอบถามไปยังเหล่าบรรดาสื่อมวลชนที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นซึ่ง ก็ได้รับความเห็นจากพวกเขาว่า...
“รู้สึกงงกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ ไม่คิดว่าอุ้ม สิริยากรจะมีนิสัยอย่างนี้ ไม่คิดว่าเขาจะแอนตี้เรื่องแบบนี้อย่างเปิดเผยขนาดนี้ ซึ่งด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ดูว่าเขาน่าจะเป็นคนที่ระงับอารมณ์ได้มากกว่านี้ เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นแค่เรื่องนิดเดียวเอง แล้วในวันนั้นมันก็เป็นงานของคุณ แล้วตัวคุณเองก็เป็นแม่งาน”
“มันไม่ใช่การแอบถ่ายแบบสองต่อสองในที่ส่วนตัว แต่นี้มันอยู่ในที่สาธารณะ ที่มีคนพลุกพล่าน แล้วภาพมันก็ไม่ได้ดูแรง มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าเกลียด ถ้าพวกเราจะแอบถ่ายกันจริงๆ พวกคุณคงจะไม่รู้ แต่นี่ไม่ได้แอบถ่าย แล้วเราก็ถ่ายกันในบริเวณงานของคุณ ซึ่งคุณเองก็เป็นแม่งาน ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ในงานนั้น ก็มีฝรั่งที่เป็นข่าวกับคุณอยู่ด้วย มันก็เป็นสัญชาตญาณของเราที่จะต้องทำงาน มันไม่ใช่การแอบถ่ายแต่อย่างใดแต่นี่เราไปยืนถ่ายให้เห็นๆ เลย ถ่ายแบบcandid อิริยาบถสบายๆ ไม่ได้น่าเกลียด มันผิดด้วยเหรอ ไม่คิดเลยว่าเขาจะอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้ง่ายเกินไป เพราะเขาเองก็เป็นคนของสาธารณะก็ย่อมเข้าใจเรื่องราวตรงนี้อยู่แล้ว”
“ยอมรับเลยว่าภาพที่เคยมองอุ้มเปลี่ยนไป ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ด้วยสีหน้าอารมณ์น้ำเสียงที่เขาพูดกับพวกเรา คือจริงๆ แล้วเขาเข้ามาพูดดีๆ ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก โอเคคุณบอกว่ามันเป็นงานบุญแล้วทำไมตัวคุณเองยังระงับอารมณ์ไม่ได้ เพราะในเหตุการณ์นั้นก็มีนักข่าวนักกันเยอะ 10 คนขึ้นไปเห็นจะได้ นักข่าวรุ่นเก่าๆ เองก็มีนั่งอยู่ตรงนั้น เขาเหมือนไม่เห็นหัวเลย”
“ต่อไปนี้ถ้าเจอตามงานก็คงจะไม่ไปถ่ายรูปเขาอีกแล้วล่ะ นอกจากว่าเจ้านายจะสั่งจริงๆ งานที่มีเขา เลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง คือมันเสียความรู้สึก งานในวงการนี้เขาก็มีวัฒนธรรมพึ่งพาอาศัยน้ำพึ่งเรือเสื่อพึ่งป่า มันเป็นเรื่องที่ต้องพึ่งพากันอยู่แล้วระหว่างนักข่าวกับดาราแต่นี่มันคืออะไร นี่เราไปงานคุณนะ”
ส่วนช่างภาพอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เปิดใจกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่าตนไม่ได้คิดที่จะไปแอบถ่ายเลยแต่ตั้งใจถ่ายให้เห็นเนื่องจากอยู่ในบริเวณงาน หากไม่อยากให้ถ่ายก็ไม่ควรจะพาหนุ่มฝรั่งคนดังกล่าวมาที่งานด้วย
“เขาเข้ามาพูดกับผมด้วยสีหน้าที่จริงจังประมาณว่า ให้เลิกทำอาชีพนี้ซะเถอะ มันบาป คือก่อนหน้านี้ก็พอจะทราบว่าคุณอุ้มเขาเป็นคนประมาณไหน แล้วจริงๆ วันนั้นเราไม่แอบถ่าย เราตั้งใจยืนถ่ายกันหลายคน ถ้าเราแอบถ่ายกันจริงๆ เขาคงไม่เห็นอยู่แล้ว ยอมรับว่างานในวันนั้นเป็นงานบุญ คุณก็ทำงาน เราเองก็ทำตามหน้าที่ของเราเหมือนกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง จริงๆ แล้วถ้าคุณไม่อยากมีปัญหา ไม่อยากจะเป็นข่าวก็ไม่ควรจะพาฝรั่งคนนั้นมาด้วย หรือมาแสดงกิริยาอะไรต่างๆ ให้เราเห็นกันในงาน นี่เขาทำโจ่งแจ้งต่อหน้าที่สาธารณะเป็นช่างภาพคนไหนเขาก็ต้องเก็บภาพไว้กันทั้งนั้นแหละ”
“วันนั้นเราก็ได้ขอโทษเขาไปแล้ว ถ้ามีโอกาสได้ไปเจอเขากับแฟนฝรั่งของเขาอีกตามงานอื่นๆ ผมก็คงจะถ่ายเขาอีกนั้นแหละ เพราะมันเป็นเรื่องปกติมันเป็นงานของผม ผมทำงานตามหน้าที่ของผม ถ้าคุณไม่อยากเป็นข่าวคุณก็ไม่ต้องพาเขามาออกงานร่วมกับคุณ พวกผมก็จะไม่โร่เขาไปถ่ายหรอก การที่คุณพาเขามางานแล้วมาทำแบบนี้จริงๆ แล้วมันก็เหมือนการเปิดตัว ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่เราจะต้องทำตามหน้าที่ของเรา”
สุดท้ายผู้สื่อข่าวอีกท่านก็ได้เปิดในกับเราถึงเรื่องราวในวันนั้นว่าตนทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกเหมือนโดนดาราสาวหลอกด่าตลอดการให้สัมภาษณ์ในงานวันนั้น
“คือจู่ๆ เขาเดินเข้ามาพูดกับบรรดานักข่าวว่าถ่ายได้ แต่รู้ไหมว่าการเอาภาพคนอื่นไปใช้มันบาป เลิกแอบถ่ายได้ก็ดี อยากจะเอาภาพไปใช้ก็เชิญอะไรประมาณนี้ แล้วน้ำเสียงสีหน้าที่เขาพูดกับพวกเราเขาพูดด้วยสีหน้าท่าทางจิกกัดตลอด คือพี่ว่าเดี๋ยวนี้เขาติสต์เกินไปรึเปล่า คือจะบอกว่ามันไม่ใช่ว่าเราอยากจะไปยุ่งวุ่นวายกับคุณหรอกแต่มันเป็นอาชีพของเรา ถ้าเราไม่ได้งานไปเราก็ต้องโดนเจ้านายว่า โอเคเรารู้ว่าเราอาจจะผิดแต่ไม่ใช่ว่าคุณต้องเดินมาว่าเรา เรารู้สึกไม่ชอบคุณเลยที่คุณมาพูดแบบนี้กับเรา”
“คุณเองก็น่าจะเข้าใจว่าดารากับสื่อมันเป็นของคู่กัน เข้าใจว่าตรงนั้นคุณอาจจะคิดว่าเป็นช่วงเวลาส่วนตัวของคุณแล้ว แต่คือถ้าใครไปเจอภาพนั้นเขาก็ต้องถ่ายกันอยู่แล้วคุณอาจจะคิดว่าคุณกำลังโดนละเมิดความเป็นส่วนตัวแต่คุณต้องดูว่าตรงนั้นเรายังอยู่ในบริเวณงานของคุณอยู่”
“แต่สิ่งที่คุณทำมันเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติสื่อ จริงๆ แล้วพวกเราจะถ่ายเฉพาะคนที่ชอบปิดบังไม่ยอมเปิดเผย จริงๆ ถ้าวันนั้นคุณสัมภาษณ์กับเราดีๆ เราก็จะไม่ยุ่งกับคุณขนาดนี้ แต่นี่คุณดันมาให้สัมภาษณ์กับเราแบบนั้น แต่ภาพที่เราเห็นอยู่ในงานมันไม่ใช่ แล้วเรามีหน้าที่ต้องนำเสนอความจริง อย่างนี้เราผิดด้วยเหรอ”
“รู้สึกว่าเขากล้ามากที่ทำได้ถึงขนาดนี้ ต่อไปถ้าเจอเขาอีกก็คงไม่อยากจะไปสัมภาษณ์เขาแล้วล่ะถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะสัมภาษณ์ไปก็ไม่รู้ว่าเราจะโดนด่าเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าเขาจะแอบหลอกด่าเราอีกเมื่อไหร่ พวกเรารู้ตัวนะว่าตอนที่คุณให้สัมภาษณ์เราโดนคุณหลอกด่ามาตลอดไม่ใช่ว่าเราไม่รู้ จริงๆ แล้วคุณเป็นคนของสังคมคุณก็ต้องยอมรับในส่วนของตรงนี้ให้ได้ เพราะจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องแค่นิดเดียวเอง ดาราคนอื่นเขาเจอหนักกว่าคุณเยอะ”