"จา พนม" ปัดข่าวแตกคอ 2 ผกก. "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" พ่วง "ปรัชญา ฤทธิไกร" ไม่เป็นความจริง ย้ำไม่เคยทำตัวเรื่องมากจนทุกคนยี้อย่างที่เป็นข่าว ก่อนโต้แหลกกรณีถูกเม้าท์ว่าโดนปลดจาก "นเรศวร 3" กลางอากาศ
เจอมรสุมข่าวดังแล้วหยิ่งเล่นงาน ทำเอาพระเอกนักบู๊ "จา พนม ยีรัมย์" หรือ "โทนี่ จา" เซ็งปนงง แม้จะแก้ข่าวไปแล้วหลายรอบ แต่ข่าวลือเรื่องมากและแตกคอกับผู้กำกับรุ่นพี่ "ปรัชญา ปิ่นแก้ว" และ "ปรัชญา ฤทธิไกร" ก็ยังระอุอยู่ ล่าสุดยังโดนซัดอีกหนึ่งข้อหาว่าเรื่องมากจนโดนสั่งถอดออกจากหนัง "นเรศวร 3" งานนี้ทำเอาหนุ่มนักบู๊ต้องตามแก้ข่าวเป็นระวิงเลยทีเดียว
"ส่วนข่าวที่บอกว่าผมไม่กินเส้นกับผู้กำกับหลายคนนั้น ไม่จริงเลยนะครับ ผมอยู่แต่ในป่าตลอดเลย ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วย ไม่มีแน่นอน เพราะทุกๆ คนเราก็ยังรักกันดีเหมือนเดิม"
"กับที่ข่าวลงแล้วบอกว่าผมเป็นคนมีปัญหาเยอะนั้น อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันนะครับว่ามันมีข่าวแบบนี้ออกมาได้อย่างไร ผมไม่ทราบเหมือนกัน เพราะผมทำงานอย่างเดียวเลย
ถือโอกาสแก้ข่าวโดนปลดออกจาก "นเรศวร 3" ว่าไม่เป็นความจริง แม้จะยังไม่ถ่ายทำแต่เจ้าตัวย้ำว่ายังไงก็เล่นแน่นอน เพราะรับปากกับท่านมุ้ยไว้แล้ว
"กับหนังเรื่องนเรศวร ภาค 3 ผมก็ได้เล่นนะครับ แต่แค่ว่าตอนนี้มันยังถ่ายไม่เสร็จเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีปัญหาอะไรนะกับหนังเรื่องนี้ เพราะแค่เขาติดต่อมาผมก็รับเล่นแล้ว คือต้องบอกเลยว่าพระนเรศวรท่านพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติและก็มันเป็นหนังของแผ่นดินด้วย ดังนั้นเรามีความภูมิใจอยู่แล้วที่เราได้เกิดมาแล้วก็ได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้"
"แต่กับข่าวที่ออกมาอย่างนั้นอันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง เพราะผมก็ไม่ได้ติดตามข่าวสักเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกส่วนตัวของผมผมก็รู้อยู่แล้วก็คือผมเล่น ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี ผมก็ได้เข้าไปคุยกับท่านมุ้ยเรียบร้อยแล้วครับว่าเล่น รับรองเลยว่าผมจะมีอะไรใหม่ๆ มาให้ทุกคนได้ดูกันอย่างแน่นอน"
เปิดใจถึงการกำกับหนังเรื่องแรก "องค์บาก 2" ว่าทุ่มสุดตัว ทั้งยังทุ่มทุนสร้างเกือบ 200 ล้านบาท
"ตอนนี้ผมอยู่แต่บนเขาตลอดเลย 8 เดือน เพราะตอนนี้ผมทั้งเล่นแล้วก็กำกับหนังเรื่ององค์บาก 2 เองหมดเลยด้วย แต่ก็มีพี่พันนาเข้ามาช่วยด้วยเหมือนกัน คือผมต้องออกแบบฉากแอ็คชั่นต่างๆ ทุกอย่าง ทุกขั้นตอนอย่างพิถีพิถันมากที่สุด เพราะงานชิ้นดีมันเป็นสิ่งที่เราตั้งใจ"
"คือเรามีภาพอยู่ในหัวเราอยู่แล้วและเราก็อยากที่จะถ่ายทอดออกไปให้คนอื่นได้เห็น กับตอนนี้เราก็ถ่ายทำไปได้ประมาณ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้วและกับ 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั้นมันก็เป็นเรื่องของรายละเอียด พวกเรื่องของแอ็คชั่นที่ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ตอนนี้ผมถ่ายทำไปเรื่อยๆ ก็คาดว่าน่าจะเสร็จประมาณเดือนสิงหาคมปีหน้าแหละ"
"สำหรับทุนสร้างก็เยอะเหมือนกันมันใช่ทุนสร้างสูงพอสมควร ประมาณสัก 200 กว่าล้าน ตอนนี้งบก็ยังไม่ได้บานปลายนะครับก็ยังคงอยู่เท่าเดิม"
เจ้าตัวบอก แม้จะโชว์ฝีมือกำกับเรื่องแรกแต่ไม่ขอคาดหวังเรื่องรายได้ แจงเพียงแค่ได้ทำในสิ่งที่จนเองรักก็ภูมิใจแล้ว
"ในเรื่องของการคาดหวังนั้น ผมไม่ขอคาดหวังอะไรดีกว่า ผมทำในสิ่งที่ผมชอบผมยังไม่อยากที่จะคิดอะไรมาก ผมมองว่ามันเป็นความท้าทายมากกว่านะ ผมถือว่ามันเป็นโอกาสที่จะได้นำเสนอภาพแอ็คชั่นที่ผมอยากทำออกไปสู่สายตาคนอื่น คือถ้าเรามัวแต่ไปกลัวก็คงจะทำอะไรออกมาได้ไม่ดีนัก คือผมตัดปัญหาไปดีกว่า"
"คนเราเกิดมาชาติเดียว เราก็ทำให้ถึงที่สุด เพราะมันถือเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เราตั้งใจทำแบบว่าเต็มที่ ทำแบบว่าสุดๆ หลุดโลกไปเลย ที่จริงความคิดของผมก็คือผมอยากจะทำหนังให้จบแล้วก็เราได้เห็นภาพที่ออกมาตรงตามที่เราต้องการเท่านั้นเองผมก็มีความสุขมากแล้ว"
"ส่วนเรื่องของการตลาด ที่จริงแล้วคนไทยก็ดูได้ ต่างประเทศก็มีกลุ่มแฟนคลับที่เขารอดูอยู่แล้วว่า "โทนี่ จา" จะมีอะไรใหม่ๆ มาให้พวกเขาได้ดูกัน"
ส่วนประเด็นที่ว่าเจ้าตัวเตรียมจะโกอินเตอร์ เพิ่มเรตติ้งให้ตัวเองนั้น พระเอกนักบู๊บอกว่า....
"กับเรื่องที่บอกว่าผมจะโกอินเตอร์นั้น ผมว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขานะ มันเป็นเรื่องของทางผู้ใหญ่มากกว่าที่เขาจะคุยกัน ส่วนเรานั้นก็ได้แต่รอ เพราะตอนนี้ผมคิดอยู่อย่างเดียวคือทำหนังเรื่ององค์บาก ส่วนเรื่องโกอินเตอร์จะจริงหรือไม่นั้นก็ต้องรอดูกันเอาเอง"
"แต่กับเรื่องนี้ก็มีคนเข้ามาติดต่อเยอะเหมือนกันกับเรื่องที่จะให้ผมไปร่วมงาน แต่ว่ามันก็ต้องอยู่ในการเจรจามันเยอะครับ เรื่องมันเยอะไหนจะมีในเรื่องของสัญญา เรื่องของข้อตกลงและเรื่องของระยะเวลา เพราะว่าตอนนี้เราก็มีงานอยู่ตลอด แต่ถึงอย่างไรผมก็อยากจะวางรากฐานของผมไว้ที่เมืองไทย
"แต่ที่ทำแบบนี้ผมก็ไม่ได้เสียดายโอกาสนะ เพราะผมว่าโอกาสเราสร้างได้ตลอด ถ้าเราคิดที่จะสร้าง ผมว่ามันมีโอกาสอยู่แล้วและผมคิดว่าตรงนี้ก็เป็นโอกาสที่ผมได้รับสำหรับการทำหนังที่เมืองไทยก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุด"