xs
xsm
sm
md
lg

“โจอี้ บาซู” เตรียมฟ้องโจทก์กลับ ฐานทำเสียชื่อ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“โจอี้ บาซู” พ้อถูกตำรวจล้อมจับเป็นเหมือนอาชญากร ลั่นไม่ได้รับความเป็นธรรม บอกเรื่องคดีถูกหักเงินเล่นละครช่อง 7 ชำระให้ศาลไปแล้วแสนหก เผยข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเรื่องของการฉ้อโกง ควรจะจบตั้งแต่คดีแพ่ง คาดอาจถูกกลั่นแกล้งทำให้เสียชื่อเสียงและไม่สามารถอยู่ในวงการได้ ลั่นเตรียมยื่นฟ้องโจทก์ 30 พ.ค. นี้

ถึงกับงงงวยเมื่อนักร้องผิวหมึก "สุรเดช ทับทิมใส" หรือ "โจอี้ บาซู" ถูกตำรวจเข้าจับกุมหลังโชว์เสียงร้องในเวที 7 สี คอนเสิร์ต เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ในข้อหาฉ้อโกง โดยมีนาย "รัฐพล แจ้งพันธุ์" เจ้าของร้านประดับยนต์ที่ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี อ้างว่าได้ว่าจ้างให้ผลิตวีซีดีแดนซ์ขึ้นมา 1 ชุด ซึ่งต่อมามีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์และขอทวงเงินคืนจากนักร้องดังกล่าว แต่กลับไม่ได้รับเงินคืน จนเกิดการฟ้องร้องในข้อหาฉ้อโกง

ร้อนถึงนักร้องผิวหมึกจึงต้องขอออกมาเคลียร์ข่าวเมื่อช่วงเย็นวันนี้ (11 พ.ค.) ณ ร้านลายไม้ปลายฝัน ร.ศ.126 วังหิน ถึงที่มาที่ไปของเรื่องอย่างกระจ่างชัดว่า....

"เรื่องที่เกิดคือผมได้ไปช่วยงานการกุศลที่ จ.ลพบุรี เป็นการหารายได้เพื่อซื้ออุปกรณ์กีฬาให้กับนักเรียนก็ได้ไปรู้จักกับผู้ใหญ่หลายท่าน หนึ่งในนั้นเป็นบิดาของผู้ที่เสียหายที่แจ้งความผม เขาเป็นหัวคะแนนในการหาเสียงเกี่ยวกับนักการเมืองท้องถิ่น พอสนิทมากขึ้นก็คุยกันเรื่องทำธุรกิจ ช่วงปี 45-46 หนังวีซีดีกำลังดัง ผมบอกไม่มีความรู้เรื่องหนังเลย ถ้าเป็นเรื่องร้องเพลงเรื่องเต้นผมมีความรู้"

"นั้นมันมีวิธีไหนบ้างทำอะไรออกมาให้ขายได้ ผมก็บอกงั้นทำวีซีดีเต้นมั้ย เขาบอกมันก็ดี ให้น้องลงแรงเดี๋ยวพี่ลงตังค์ เราก็ร่วมกันทำ ผมก็เอาเอกสารไปให้จนงานสิ้นเสร็จ บอกงบประมาณ 3 แสนบาท ผมก็เริ่มดำเนินการ ตอนคุยกันก็ไม่ได้สัญญาอะไรเหมือนพี่เหมือนน้องกัน"

"ทีนี้พอวันที่จะถ่ายทำ วันที่ 27 พ.ย.46 ผมยังไมได้รับค่าจ้างเพื่อเอามาจ่ายให้กับทีมงานที่จะทำ ตัวบิดาก็ไม่ได้มาเองมอบให้ลูกชายเอาเงินมาให้ผม เวลา 11.00 น. ซึ่งกองถ่ายก็รออยู่แล้วเพราะเงินยังไม่มายังถ่ายไม่ได้ ผมบอกจะเอายังไง เขาบอกไม่มีปัญหาเขาถือสัญญามาด้วย ในสัญญาก็มีระบุชัดเจนว่า ว่าจ้างผมผลิตวีซีดี 1 ชุด เป็นวีซีดีเต้นฮิพฮอพ ก็จะมีการชำระเป็น 2 งวด"

"งวดที่ 1 ชำระ 130,000 บาท และมีการชำระกันอีกครั้งนึงในวันที่ 8 ของเดือนถัดไป เมื่อผมทำงานเสร็จสิ้นแล้วผมก็นำไปมอบให้ที่บ้านเขา ลพบุรี ให้บิดาเขาดูเป็นยังไงบ้าง ลูกชายเขาไม่อยู่ ก็รับมอบงานกันไป แต่หลังจากนั้นยังไม่ถึง 2 เดือน ด้วยปัจจัยไหนผมไม่ทราบ เขาบอกงานเขาไม่เอาแล้ว เขาเอาไปให้เพื่อนเขาดูบอกคงขายไม่ได้ ขอคืนงานและขอตังค์คืน ผมก็บอกผมคงเอาเงินตรงนี้มาให้พี่ไม่ได้ เราทำงานเราจ่ายให้ทีมงานหมดแล้ว ซึ่งผมมีหลักฐาน เอกสารต่างๆ"

"เขาบอกถ้ามั่นใจว่าขายได้งั้นคุณตีเช็คมา 3 ใบ ใบละแสน เดือนละใบ ผมบอกเอาอย่างนี้เอางานมาให้ผมแต่คุณต้องโอนสิทธิ์นั้นมาให้ผมนะ เพราะสัญญามันมีระบุว่าสิทธิในการจัดจำหน่ายเป็นของผู้เสียหายที่แจ้งความผม ผมไม่มีสิทธิที่จะทำต่อได้ ถ้าผมทำต่อแสดงว่าผมละเมิดลิขสิทธิอีกคดีนึง เขาก็เลยไปฟ้องร้อง ศาลเลยให้ไกล่เกลี่ย"

"ผมก็บอกเหมือนเดิมเจตนาผม ถ้าหากเอางานให้ผมแล้วคุณยินดีโอนลิขสิทธิให้ผม ผมยินดีที่จะไปทำต่อ แล้ว 3 แสนผมยินดีที่จะชำระให้ ศาลก็ชำระเป็นแพ่งเรียบร้อยจบ แต่ปรากฎว่าเขาไม่โอนสิทธิให้ผม แล้วผมจะไปทำต่อยังไงจะเอาเงินตรงไหนมาจ่ายเขาละครับ มันไม่ถูกต้อง แล้วการแจ้งคดีที่ตามมาคือ คดีอาญา ในเรื่องของการฉ้อโกงซึ่งเป็นปัญหาในปัจจุบัน เขาแจ้งความผมช่วงที่เป็นคดีแพ่ง"

ฉุน โดนตำรวจล้อมจับทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าหลังแสดง 7 สี คอนเสิร์ตเมื่อวันที่ 5 พ.ค. ที่ผ่านมา โวย ไม่ใช่อาชญากรและรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม

"ผมข้องใจอยู่แค่ 2 ข้อเองคือ ถ้าคิดจะจับจับเมื่อไรก็ได้ ผมคือคนสาธารณะ อีกข้อคือสัญญาที่มีอยู่กับข้อกล่าวหามันไม่ตรงกัน คุณกล่าวหาว่าผมเอาเงิน 3 แสนบาทของคุณไป มาหลอกลวงคุณทำซีดีแล้วเอาเงิน 3 แสนหลบหนีไปโดยไม่เอางานให้ อันนี้เป็นเรื่องเท็จนะครับ ผมก็ต้องเรียกร้องสิทธิของผม เล่นคอนเสิร์ตเสร็จยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยครับ ตำรวจมารอจับผม 5 คน ให้ผมอยู่ในบริเวณห้อง 1 ห้อง ผมคนเดียวตำรวจ 5 คน มาดักไม่ให้ผมไปไหน เปลี่ยนเสื้อผ้ายังไม่ได้เลยครับ ผมเป็นอาชญากรหรือครับ ผมไม่ได้ฆ่าคนตายนะครับ ไม่ได้ขายยาบ้านนะครับ อันนี้ผมรู้สึกว่าได้รับความไม่เป็นธรรม"

เผย จะดำเนินการตามกฎหมายสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อเรียกสิทธิความบริสุทธิ์กลับคืนมาให้ได้ บ่นอุบถูกตราหน้าเป็นคนขี้โกง คิดจะทำมาหากินก็ลำบาก

"ผมก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมายต้องต่อสู้กันไป ตัวผมเองคงต้องสู้ให้ถึงที่สุด สู้จนกว่าจะเรียกสิทธิได้คืนมา บางจุดที่ไม่มีหลักฐานเป็นเอกสารก็ยากเอามายืนยัน ผมโดนหนุ่มชายฉกรรจ์อุ้มผมเนี่ยผมก็โดนมาแล้ว ผมไม่มีหลักฐานก็พูดลำบาก ส่วนคดีที่เป็นฉ้อโกงคงให้ทนายต่อสู้ ผมคงต้องเรียกร้องสิทธิของผมคืนมา ใครไม่โดนไม่ทราบ การที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนฉ้อโกงเนี่ยมันเลวร้ายยขนาดไหน โดยเฉพาะผมเป็นคนสาธารณะด้วย ทั้งประเทศผมคงทำมาหากินอะไรลำบาก ทำธุรกิจคนก็ไม่จ้างผมขี้โกงอะ ผมว่ารุนแรงเพราะความเป็นจริงไม่เป็นอย่างนั้น ตรงนี้ผมเสียชื่อเสียง เสียทุกอย่างอีกหลายปีเลยครับ"

ในส่วนของคดีแพ่ง ศาลมีคำพิพากษาให้ชำระเงินจำนวน 3 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 โดยที่ศาลสามารถยึดทรัพย์หรืออายัดเงินส่วนที่ทางโจอี้จะได้รับจากที่ใดก็ได้ ซึ่งทางโจทย์ขอส่งคำบังคับขออายัดทางโจอี้ที่ได้รับค่าแสดงจากช่อง 7 และเวิร์คพอยท์ฯ ตอนนี้ทางช่อง 7 ส่งเงินไปทางกรมบังคับคดีเรียบร้อบแล้ว

"เขาไม่เซ็นโอนงานให้ผม ศาลบังคับให้ชำระและระงับการชำระเงินของผม เช่นผมไปเล่นละครที่เห็นอยู่นี้เขาบังคับไม่ให้จ่ายเงินผมเพราะเขาหักเข้าเงินศาลไปแล้ว 160,000 บาท การระงับไปถึงบริษัทเวิร์คพอยท์ฯ ช่อง 7 สี มีเอกสารจากศาลไปเรียบร้อยระงับผมไปแล้ว เขาก็จะหักไปครบ 3 แสนที่ผมไม่ได้จ่าย พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ไม่ได้หมายว่าผมไม่ได้มีระยะเวลา เรามีระยะเวลาในตัวกฎหมายจนถึง 10 ปี ถ้าหากผมไม่มีงานทำผมก็ผ่อนชำระได้ แต่คราวนี้เขาไม่เซ็นโอนคืนลิขสิทธิให้ผม อย่างนี้ผมจะเอางานไปสานต่อได้ยังไง สรุปก็คือ เงินเขาก็เอาด้วย สิทธิเขาก็เอาด้วย"

ทนายประจำตัวของนักร้องผิวหมึก อธิบายให้ฟังว่า อันที่จริงในเรื่องของการผิดสัญญาในทางแพ่ง การบังคับคดี การดำเนินการเอาเงิน 3 แสนคืนนั้นควรจะจบในทางแพ่ง แต่การมาใช้สิทธิในทางอาญา ทำให้ทางด้าน "โจอี้" กลับมองว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันหรือบีบให้ไม่สามารถอยู่ในวงการได้ ถ้าใช้สิทธิในทางแพ่งก็ไม่ได้ว่าอะไรกัน โดยความจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างในแจ้งความและข้อเท็จจริงก็ไม่ได้เป็นเรื่องฉ้อโกง

"ผมยินดีที่จะทำต่อให้แต่ต้องเอางานมาให้ผม คุณบอกไม่ได้รับงานแล้วสัญญามีอยู่แล้ว 130,000 บาท คุณจ่ายให้ผมครั้งแรก คุณจะจ่ายหมดต่อเมื่องานเสร็จอีกส่วนที่เหลือ ก็คุณจ่ายมาแล้ว 3 แสนบาท จะบอกว่าไม่ได้รับงานได้ไงฮะ (ยืนยันว่าเขากลั่นแกล้ง?) กลั่นแกล้งอยู่แล้วฮะ สัญญากับข้อกล่าวหาคนละอย่างกันครับ"

ต่อข้อถามว่า ได้ชี้แจงกับศาลหรือไม่เมื่อสัญญาเป็นแบบนี้ ทำไมศาลถึงพิพากษาเป็นแบบนี้ "โจอี้" แจงว่าไม่อยากอุทรณ์เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะ เปรยหากยอมไกล่เกลี่ยกันยิ่งทำให้เรื่องจบได้ง่าย

"เรามีสิทธิที่จะอุทรณ์ แต่ผมไม่ได้อุทรณ์เพราะต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงสองเท่าของการดำเนินตรงนี้ เราคุยกันไกล่เกลี่ยแล้ว คุยกันแล้วมีคำเบิกพยานเขารับงานให้เราแล้วจะคืนให้เรา ผมยินดีที่จะคืนเงินให้ 3 แสน แต่ผมคิดไม่ถึงตรงนี้ว่าเขาจะไม่คืนสิทธิให้ผม (ใจดีไป?) ใช่ ถ้าเราไปทำ ทำไม่ไม่เซ็น (โอน) ให้เรา ไม่เข้าใจ ยังไปแจ้งอาญาผมอีก สำหรับผมกรณี ถ้าหากว่ามีความคิดจริงๆ ที่จะไกล่เกลี่ยหรือมีความเมตตานิดนึงผมว่ามันจบลงได้ง่ายๆ"

บอกจะดำเนินการฟ้องกลับจนถึงที่สุดเหตุเพราะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ลั่น ฟ้องได้กี่ข้อกล่าวหาจะดำเนินการฟ้องหมด

"คงไม่ต้องรอให้ถึงคดีสิ้นสุดผมฟ้องกลับแน่นอน จับผมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทำให้ผมเสื่อมเสีย ไม่สามารถจะเอาอะไรมาลบล้างได้ ผมก็จะฟ้องในสิ่งที่ผมจะได้กลับมา ก็คงต้องฟ้องให้ถึงที่สุด ผมสามารถทำอะไรได้บ้างผมก็จะฟ้องให้ถึงที่สุดนะครับ ผมจะส่งฟ้องวันที่ 30 พ.ค.นี้ ที่ สน.สุทธิสาร"


กำลังโหลดความคิดเห็น