xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ "ไตรภพ"...ผมจะทำตัวให้ดีขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้ภายในจอทีวีจะดูเป็นคนที่มีบุคลิกที่พูดเก่ง เป็นมิตรและมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับแขกรับเชิญ ทว่าหลังกล้องนั้น คนทีวีอย่าง "ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์" กลับดูเหมือนจะมีภาพลักษณ์ที่แตกต่างออกไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ของเขากับบรรดาผู้สื่อข่าวทั้งหลาย

อย่างไรก็ตาม หลังจากในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีแต่ข่าวคราวที่ไม่ค่อยจะดีออกมามากมาย ทั้งเป็นโรคร้าย มีเมียน้อย ไม่กินเกาเหลากับเพื่อนร่วมอาชีพ “เสี่ยตา ปัญญา” การถูกลดชั้นจากผู้บริหารไปเป็นผู้จัดฯ แถมยังโดนฟันธงจากหมอดูว่ากำลังอยู่ในช่วงขาลงสุดๆ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองจะหันมาให้ความสนใจกับนักข่าวมากยิ่งขึ้น

ซึ่งเมื่อถามเจ้าตัว "ต๋อย" ก็ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ พร้อมกับยืนยันจะขอปรับปรุงปัญหาตรงนี้ให้ดีขึ้น

“ที่เขาบอกว่าเปลี่ยนไปอาจเป็นเพราะผมไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าเราห่างหายจากสื่อมวลชนไปนานเด็กรุ่นใหม่ๆ เขารู้จักแค่เราเป็นไตรภพ ลิมปพัทธ์ เป็นพิธีกร แต่ไม่รู้จักตัวตน ไม่เคยได้สัมผัสพูดคุยกัน ที่มาวันนี้มาขอโทษจริงๆ ไม่มีเจตนา หยิ่งยโสหรือโอหังมาจากไหน วันนี้อยากมาพูดกับพี่น้องว่า ยังเหมือนเดิม ผมแก่แล้วคงอยู่ไม่ได้นานนัก แต่ไม่อยากออกไปทั้งที่ยังรู้สึกอย่างนั้นกับพี่ๆ น้องๆ แล้วกับใครก็ตามอยากอยู่ในวงการนี้ดีๆ อยากทำงานดีๆ รู้สึกดีๆกับทุกคน”

“ได้มาบอกว่าผมคิดอะไรอยู่ว่าผมรู้สึกยังไงอยู่ ใครจะมองว่าเพราะมันตกแล้วมันถึงเข้ามาหาสื่อแล้วแต่คนจะมองให้มองได้เต็มที่ ชี้แนะมาเลย ถ้าท่านสังเกตมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ผมไม่เคยตอบโต้สื่อเลยไม่ว่าใครจะอะไรกับผม ผมฟัง เพียงแต่ว่าถ้าบางครั้งพูดพาดพิงถึงคนอื่น ผู้ร่วมรายการผม ผมก็จะออกไปแก้ไขให้เขาเพราะผมเชิญเขามา แล้วเขาเสียหายผมรู้สึกไม่ดี แต่มีน้อยครั้งมากในชีวิต 20 กว่าปีผมเคารพในความเป็นสื่อ”

“วันนี้เปิดเผยตัวเองแล้วว่าเป็นอย่างนี้ คนไหนอยากได้ข่าว มีข้อข้องใจอะไรมาได้ทุกเมื่อ ที่ผมทำผิดทำพลาดไปผมขอโทษ ผมพูดได้ไม่มีปัญหา ผมไม่ได้ยึดติดว่าไตรภพว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น ผมไม่เป็นผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งแต่คนสร้างภาพให้ผมเป็นต่างหากให้ผมเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองอย่างมหาศาลให้เป็นนั่นเป็นนี่”

หลายคนจะมอง “ต๋อย ไตรภพ”เป็นคนสองบุคลิกในจอกับนอกจอค่อนข้างแตกต่างกัน?
“ดู๋ สัญญาเป็นอย่างนั้นหรือปเล่า ลองฟังดีๆ ก่อนนะ ปัญญา นิรันดร์กุลเป็นมั้ยครับ วิสทวัส สุทรวิเนตรเป็นมั้ยครับ คนไหนไม่เป็นบ้าง เด๋อ ดอกสะเดา เฮซะฮาระเบิดบนเวทีพอลงมาเป็นไงเป็นทั้งนั้นครับ(เสียงสูง) วงการนี้เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เขาเฟกนะครับ แล้วคุณก็เป็น ใครก็เป็นแต่บางทีคุณไม่ได้มีความชัดในการมองตัวมีหลายบุคลิกไม่ใช่ด้วย”

ชี้แจงที่ผ่านมาตนเองไม่เคยเลยที่จะไม่ให้ความสำคัญกับสื่อมวลชน เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็โง่เต็มที
“โทษนะครับใครจะโง่พอที่จะมองข้ามความสำคัญของสื่อ ถ้าไม่งั้นผมคงไม่ให้ข่าวมาตลอดหรอกแต่มันไม่ได้ทำไอ้แบบเรามาพูดคุยกันเท่านั้นเอง คนเก่ารู้ว่าถ้าเดินมาหาข่าวต้องได้ และผมเป็นคนที่พูดชัดนะ อันนี้ไม่โกหกนะ อันนี้ไม่ตอบเพราะตอบเดี๋ยวเป็นเรื่องก็พูดอย่างนี้ตลอด ถึงทุกวันนี้ก็ยังจะพูด วันนี้เลยมากราบขอโทษถ้าสื่อคิดว่าไตรภพไม่เห็นความสำคัญของสื่อ”

“วันนี้ก็ไม่ได้มาพีอาร์ แต่วันนี้มาเพื่อบอกว่าบริษัทมีรายการอะไรบ้าง แต่ว่าด้วยความเป็นส่วนตัวแล้วซึ่งระยะหลังผมเจอมาเยอะเป็นเอดส์ เลื่อนเป็นมะเร็งแล้วไปเป็นเกย์แล้วก็เลื่อนไปเป็นมีเมียน้อยก็โดนขนาดนี้ เลยคิดว่าทำไมเราเป็นแค่คนๆ หนึ่ง การเมืองก็ไม่ได้เล่นบริษัทก็เล็กไม่ได้ใหญ่โตเหมือนใครเขา ทำไมโดนอยู่คนเดียวเลย สงสัยเพราะเป็นข่าวที่เราไม่ได้ออกมาให้ข้อเท็จจริง”

คิดว่าสื่อมีอคติกับตัวเองหรือเปล่า?
“ไม่ ผมผิดเองผมไม่ทำตัวเปิดพอที่สื่อจะเข้ามาในชีวิตผมได้เองต่างหาก สื่อไม่ได้อคติกับผม ผมเปิดตลอด แต่สื่อไม่ได้เข้ามา ถ้าสื่อถามไม่มีเรื่องไหนผมไม่ตอบมีครับ ไปดูได้เลย ถ้าบอกว่าไม่ตอบคือไม่ตอบ ไม่มีทาง ผมบอกให้ปิดเครื่องคุณปิด ผมเล่าให้ฟังแต่เขียนไม่ได้นะเพราะคนอื่นเสียหาย ที่ไม่ให้เขียนเพราะคนอื่นเสียหายเท่านั้นจริงไม่จริงลองถามทุกคนดูผมไม่มีทางทำคนอื่น”

กรณีที่ว่ากันว่าถึงตอนนี้เจ้าตัวกำลังมีอาการเกาเหลากับพิธีกรชื่อดัง “เสี่ยตา ปัญญา” ผู้บริหารของเวิร์คพ้อยท์ฯ นั้น เรื่องนี้ต๋อยยืนยันว่าไม่จริงอย่างแน่นอน ส่วนประเด็นที่โดนฟันธงจากหมอดูชื่อดัง อ.ลักษณ์ เรขานิเทศน์" ว่าเป็นช่วงขาลงสุดๆ เจ้าตัวบอกว่าไม่เชื่อเรื่องแบบนี้
"ไม่จริงครับผมพูดเดี๋ยวนี้ได้เลย ผมเคารพในความคิดของเขาแล้วผมจะไม่ถูกกับเขาเรื่องอะไร ไปถามปัญญาก็ได้ว่าไม่ถูกกับไตรภพเหรอ ปัญญาจะตอบเหมือนผมทุกอย่าง แล้วจะไม่ถูกกันเรื่องอะไรไปโกรธกันตอนไหน ผมไม่เคยแข่งมีแต่คนจับเต้าขึ้นมาให้เหมือนผมสองคนแข่งกันกรณีเรื่องไอทีวีก็เหมือนกัน วันแรกที่บริหารผมก็ไปเชิญปัญญาแต่เขามาไม่ได้จริงๆ เขาทำงานอยู่ตั้งกี่ที่ แต่ผมจะไปเกลียดอะไรเวิร์คพอยด์ ต่างคนก็มีวิธีดำเนินธุรกิจของตัวเอง”

“เรื่องหมอดูผมไม่เชื่อ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องไม่เชื่อตามผม ผมไม่เชื่อก็เรื่องส่วนตัวของผมแต่ผมไม่ได้ไประรานใคร...การันตีๆ ได้พิธีกรที่เป็นอยู่ตอนนี้เกินครึ่งเป็นลูกศิษย์ผม ผมไม่เคยให้ร้ายใครผมไม่ได้แสดงอะไร แต่แสดงว่าเขาไม่ควรทำอย่างนั้น วิจารณ์งานผมวิจารณ์ไปเลย วิจารณ์งานใครก็ได้ แต่อย่าวิจารณ์ซี้ซั้ว เรื่องดวงทำให้ประเทศชาติเชื่อกันอย่างนี้ไปหมดแล้วนะ คุณไปบอกให้เขาระวังเรื่องอุบัติเหตุนี่ได้ แต่คุณไปบอกให้คนรักมาเกลียดชังกันไม่ได้นะ เราต้องให้โอกาส คุณได้โอกาสแล้วอย่าทำลายคนอื่น”

ดูเหมือนเป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่าตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงกับข้ามกับหมอดูคนนี้?
“ผมไม่ได้ตั้งตัว ผมพูดสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเขามีสิ่งถูกต้องกว่านี้มาคุยกัน ผมคิดอย่างนั้น มันต้องมีสติหน่อยซิอยู่กันแบบนี้ได้ไง กลัวเขาได้แต่นิ่งเฉย เห็นเป็นถูกต้อง เห็นเป็นสนุกเฮไปด้วย พอเขาบอกข่าวคุณเสนอ ถึงไม่ใช่ทั้งหมดส่วนหนึ่งนี่ก็สำคัญ แค่หนึ่งเดียวก็สำคัญถ้าเสนอสิ่งผิด ผมไม่ได้ว่าชี้หน้าใครคนหนึ่ง แต่ผมกำลังพูดเรื่องที่ถูกต้องและไม่ไดว่าเขาด้วย เพียงแต่บอกตรงนี้อย่าทำ”

“แต่ผมไม่ได้เกลียดคนไม่ได้เกลียดเขาเลย ผมเกลียดแต่สิ่งที่เขาทำคนมันเปลี่ยนได้ การกระทำอันนี้เท่านั้นที่ไม่ชอบ อย่างอื่นที่ดีๆ ที่บอกให้คนไปหาหมอต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ดีจะตายแต่ส่วนนี้ไม่ดีเลิกซะ ถ้าเจอกันจะสอน นี่สอนไปแล้วเยอะแยะ ทำความดีซิ ไม่เคยเกลียดเขา สาบานได้ว่าไม่เกลียด”

ถ้าไม่มีกระแสข่าวมากมายซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นด้านลบ วันนี้พิธีกรชื่อดังอย่าง “ไตรภพ ลิมปพัทธ” คงไม่ยอมออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงใดๆ?
“ก็คงอาจจะยังไม่สำนึกว่าเราคิดว่าทำดีแล้วถูกต้องแล้วพอ แล้วถ้าไม่มีข่าวต่างๆ เหล่านั้นเราคงยังไม่รู้ว่าเรารู้จักเขาเขาไม่รู้จักเรา มันมีเยอะมากที่เกิดขึ้น บางคนไม่เคยรู้จักผมเลย แต่เวลาไปพูดข้างนอกบอกว่าผมหยิ่งยโสโอหัง หาว่าผมไม่ให้ข่าวทั้งๆ ที่ตัวคนพูดไม่เคยขอข่าวผมเลย มันก็เกิดขึ้นได้ เราเลยคิดว่าไม่ได้แล้วละ มันผิดมันต้องพูดแล้วละ”

ตัดสินใจออกมาพูดเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้คิดว่าคนจะเข้าใจความเป็นตัวตนมากขึ้นมั้ย?
“ผมต้องการให้พวกเราเข้าใจ(สื่อมวลชน) ไม่ทราบว่าจะไปเป็นข่าวแค่ไหนยังไงแล้วแต่ ผมแค่อยากบอกว่าผมอยากมีชีวิตดีๆ อยากอยู่ด้วยความรัก ความเข้าใจอยากอยู่กับผู้คนแบบนั้นไม่เคยดูถูก ไม่เคยว่าใคร ไม่เคยได้ยินผมว่าใครแน่นอนในชีวิตแม้ออกไปว่าคู่แข่งคู่ต้องผมนับถือทุกคนในทางธุรกิจผมเพียงแต่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าผมเป็นอย่างนี้เท่านั้น”

หันไปทางธุรกิจกันบ้าง ในฐานะของผู้บริหารบริษัทบอร์น "ต๋อย" ย้ำเจตนาเดิมถึงวิธีการทำงานของตัวเองว่าเปรียบเสมือนลู่วิ่ง ไม่คิดจะชกกับใคร อีกทั้งยังเคารพและให้เกียรติคู่แข่งอยู่เสมอ
“ตัวผมไม่คิดแบบนั้นกับใคร ไม่ชกกับใคร เพราะ ผมพูดมาตลอดว่าวิธีทำงานของผมของบอร์นทำงานเหมือนลู่วิ่ง ไม่เหมือนชกมวย ต่างคนต่างมีลู่วิ่งของตัวเองรายการของเราดีมีคนดูอยู่แล้ว เราไม่ได้คิดว่าต้องล้มคู่ต่อสู้พังพินาศเราถึงจะอยู่รอด ไม่มีทาง เพราะคู้ต่อสู้คนหนึ่งออกไป ก็ต้องมีคนอื่นขึ้นมาอยู่ดี”

“ถ้ารายการคุณไม่ดีซะอย่างก็อยู่ไม่ได้มันเกี่ยวกับตัวคุณเองทำในสิ่งที่ถูกต้องว่าคนจะดูหรือสนใจหรือปเล่า เพราะฉะนั้นผมไม่คิดว่าคู้ต่อสู้แข็งคือเขาแข็งยังไงก็ตามเราต้องแข็งกว่าไม่ใช่เขาอ่อนแอแล้วเราจะอ่อนแอด้วยอยู่ไม่รอดหรอกครับ”

เลยเถิดไปถึงรายการที่มีมานานกว่า10 ปี อย่าง “ทไวไลท์โชว์” นอกเหนือจากกการย้ายเวลาใหม่ต่อท้ายละครหลังข่าว รูปแบบรายการก็มีการเปลี่ยนลุกส์ให้เข้ากับวัยคนทำงานมากขึ้น
“ทุกวันนี้ก็เปลี่ยนใหม่หมดแล้ว ช่วงที่เราทำท็อปไฟว์ตอนนี้ถ้าดูจะเห็นว่าของที่เราเอามาออกเป็นเรื่องที่คนอยากดู แล้วเราก็ยังมีช่วงตู้โชว์ที่จะออกไปทำข้างนอกคุณมีดีอะไรเอามาโชว์ แต่ห้ามลอกการบ้านเท่านั้นเอง”

“เราเพิ่งออกอากาศไป 3 ตอน แต่ฟีดแบ็กดีมากเรามั่นใจวันจันทร์คนพักผ่อนซะส่วนใหญ่ คนอยู่บ้าน 4ทุ่มยังดูไหว แต่เราจะขาดแคลนกลุ่มเด็กไปเพราะดูไม่ไหว เราเลยปรับให้มันเป็นผู้ใหญ่ดูจริงๆ"

ทิศทางของบริษัทบอร์นในปีนี้ ที่หลายฝ่ายต่างลงความเห็นว่าอยู่ในช่วงขาลง การรวมตัวเป็นกับหลายบริษัทเพื่อจุดแข็งในทางธุรกิจถือว่าเป็นความจำเป็นหรือเปล่า?
“ปีนี้ในทางธุรกิจเราถือว่าเป็นช่วงเฟิร์ม ฟักตัวอยู่ที่ดีมาก ถ้าเป็นรายการเขาเรียกว่าตกผลึกจริงๆ เพราะทุกรายการมันค่อนข้างดีมาก แผนการที่จะทำงานใหญ่มันก็ต้องอยู่ที่ว่าผู้ร่วมทุนหรือใครก็ตามมันคงต้องไล่ๆ กันไป"

“ผมจะเริ่มเมื่อเห็นว่าความตายมันอยู่ข้างหน้า นี่พูดตรงๆ แบบธุรกิจ นี่ตรงสุดแล้ว ถ้าอยู่อย่างนี้ ตัวเดียวดึงอยู่อย่างนี้ไปไม่รอด แต่ถ้าหลายตัวดึงร่วมกันถึงจะรอด เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นว่าความตายอยู่ข้างหน้าจริงๆ นั่นแหละเขาเชื่อ ตอนนี้เขาอาจจะไม่เชื่อบอกว่าสบายยังไม่ไปรอดหลายบริษัทครับ แต่เป็นการคุยหลวมๆ แต่ผมบอกไม่ได้เดี๋ยวจะไปกระทบเขา”

ถ้ามีการทาบทามให้กลับไปนั่งแท่นผู้บริหารไอทีวีอีกครั้งจะตัดสินใจอย่างไร?
“ผมเอาอยู่แล้วไม่มีทางไม่เอา ผมไม่โกหก แต่ต้องมีคอนเนกชั่นที่ดี คอนเนกชั่นที่ดีหมายความว่าเป็นสถานีในฝัน ความรู้สึกทำยังไง หรือวิธีการแค่ไหน วิธีทำธุรกิจมีตั้งหลายวิธีคุณว่าคอนเทนเดอร์กับเจ้าของช่องใครใหญ่กว่ากัน เห็นมั้ยมันมีวิธีคิดไม่รู้ตั้งกี่วิธี”

“ตอนนี้คงยังเรารักษาไอ้ 7 - 8 อันให้มันโอเคก่อน ณ ตอนนี้ แต่ว่าอนาคตไอ้ความเป็นปึกแผ่นของเรา วิธีการคิดอันนี้มันแตกต่าง หนึ่งงานลำบากมากนะในการขาย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น แล้วไม่ใช่เฉพาะบริษัทผม เจเอสแอลทำเอเจนซี่ก็ยังซื้อ แกรมมี่ทำเขาก็ซื้อเวลาเขาเชื่อเขาเชื่อกันอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นมันจะมีความเชื่อถือกันได้ไงในวงการนี้อันนี้เป็นธรรมดา แต่เขาก็ทำกันมาตลอดเหมือนกันหมดไปถามได้”

ฟรีทีวีดูเหมือนว่าจะอิ่มตัวและทำอะไรได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยสักเท่าไหร่ เลยมีข่าวว่า "ต๋อย ไตรภพ" จะหันเข้าสู่วงการเคเบิ้ลทีวีแทน เรื่องนี้เจ้าตัวยอมรับว่ากำลังดูๆ อยู่
“ตอนนี้มันยังโฆษณาไม่ได้ มันต้องหาทาง แต่ในอนาคตมันต้องเกิดแน่ ในอเมริกามีแต่เคเบิ้ล ทุกวันนี้ก็ดูในเน็ตกันแล้ว โลกมันเปลี่ยนไป ผมทำทีวีมันก็รู้ นี่เป็นอนาคตของโลก การดูทีวีผ่านเน็ตเขาดูกันแล้วทั้งนั้นแต่ไอ้คำว่าทั้งนั้นของผมมันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่เป็นกลุ่มที่ก้าวที่สุดในประเทศ”

“ดูเรียลิตี้ซิประสบความสำเร็จขนาดไหน ตรงไหนรู้มั้ย ที่เคเบิ้ลทีวี ฟรีทีวีจะเอาที่ไหนมาออกตลอด24ชั่วโมงแต่เคเบิ้ลประสบความสำเร็จมาก มันมีช่องทางอีกมากมายหลายหลากที่จะทำทีวี พูดถึงเรื่องมีให้ทำอีกเยอะเพราะโลกต่อไปจะเป็นสปอตเรียลิตี้เกม อยากดูใครดูคนนั้นไม่ต้องดูเกมเลยก็ได้ เกมอยู่จอเล็กคนอยู่จอใหญ่ ใช้กล้อง 20 กล้องจับทุกมุมทุกตัว โลกมันเปลี่ยน คอยดู ใครที่เกิดมาล้วดังมันจะมีค่าในทุกกิริยาบทเลยคุณคอยดู"

แม้จะมีปรเจ็กต์ใหม่ๆ ผุดขึ้มามากมายและผลประกอบการโดยรวมที่เจ้าตัวบอกว่าดีขึ้น แต่ทั้งนี้เรื่องการเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทมหาชนนั้นก็ยังไม่มีการพูดถึงอยู่ดี
“เวลาที่คิดตรงนี้ต้องคิดว่ามันจะเป็นเพื่ออะไร ถ้าผมเป็นบริษัทผลิตแล้วไม่มีสถานีของตัวเองบริษัทผมผมคิดว่าไม่มั่นคงถ้าไม่มีช่องสถานีของตัวเอง สมมติผมมีรายการ 20 รายการไปออกช่องนี้ๆ ช่องนี้มี 4 รายการแล้ววันหนึ่งกลับมาบอกผมว่า 4 รายการที่อยู่ตัดไปเหลือ 1 ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคุณภาพแต่เขามีความจำเป็นของเขา ถามว่าหุ้นผมราคา 25 บาทเหลือเท่าไหร่ ผมจะเป็นได้ยังไงผมเป็นคนมองแบบนี้ คุณไปถามคนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ดูก็ได้ว่าทุกวันนี้เขาสบายดีหรือเปล่า”

“พูดตรงๆ ผมมาซื้อหุ้นไอทีวีทำไมละ เพราะผมคิดว่าถ้าผมเป็นเจ้าของช่องจะมีความมั่นคง ถ้าผมมีความมั่นคงเมื่อไหรดีลกันผ่านผมเข้าตลาดได้มั้ย ได้ล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วเข้าอย่างมั่นคงด้วย ได้อย่างชนิดที่จะได้เห็นออริจินัลทางทีวีด้วย แต่นี้มันยังไม่ได้มันยังไม่ไปขั้นตอนนั้นก็ต้องทน แพ้ก็ต้องยอมจะให้ทำไง ผมเองอยากบริษัทบอร์นเป็นไปในทิศทางอย่างที่บอกมาแล้ว”
กำลังโหลดความคิดเห็น