xs
xsm
sm
md
lg

"กิตติ" เชื่อ "เทมาเส็ก" ไม่มีผลกับ "ไอทีวี"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เทมาเส็กเข้าซื้อหุ้นชินคอร์ปเกือบเหยียบ 8 หมื่นล้านบาท โดยที่ผู้ถือหุ้นไม่ต้องเสียภาษีสักแดงตามข้อกฎหมายไปแบบเนียนๆ งานนี้ตระกูล “ชินวัตร” รับไปเต็มๆ ทั้งเม็ดเงินและกระแสวิจารณ์ กระแสวิพากษ์นี้แรงมากจนท่านนายกฯ ทักษิณ ในฐานะผู้นำครอบครัว “ชินวัตร” ถึงกับเดือดออกมาตอบโต้เหล่ามวลชนที่วิจารณ์ถึงจำนวนเงินมหาศาลนั้นว่าเป็น “พวกขี้อิจฉา” เลยทีเดียว

นั่นก็เป็นเรื่องของประเด็นการเมืองที่จะต้องว่ากันไป ซึ่งการขายหุ้นของตระกูล “ชินวัตร” ในครั้งนี้ผู้คนในแวดวงบันเทิงก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เนื่องจากในธุรกิจของชินคอร์ปนั้นมีสถานีโทรทัศน์ "ไอทีวี" รวมอยู่ด้วย

แม้ช่วงระยะ 4 - 5 ปีที่ผ่านมาการดำเนินงานของ "ไอทีวี" ดูจะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการกำเนิดในยุคหลังการหมดอำนาจของคณะรสช.ที่มุ่งหวังให้เป็นสถานีโทรทัศน์เสรีที่เป็นทางเลือก ทว่าการเข้ามาของบริษัทสิงคโปร์ในคราวนี้ดูจะทำให้ใครต่อใครยิ่งเป็นห่วงกันยิ่งขึ้นไปอีกว่าสื่อของประเทศเราได้ตกเป็นของชาวต่างชาติไปเสียแล้ว

บันเทิงออนไลน์มีโอกาสได้พูดคุยกับ “กิตติ สิงหาปัด” หนึ่งในขุนศึกคนข่าวของ “ไอทีวี” ที่ดูแลรับผิดชอบรายการข่าวทั้งหมด รวมถึงเป็นผู้ดำเนินรายการ ”Hot News” รายการที่สร้างรายได้ให้แก่สถานีเป็นจำนวนมากมาตลอดเกี่ยวกับการเข้ามาของบริษัทเทมาเส็ก โดยเจ้าตัวยังแสดงความมั่นใจว่า การเข้ามาของเทมาเส็กนั้นจะไม่กระทบกับผังรายการและความนิยมของตนเองแน่นอน

“เวลาเราทำรายการเราจะคิดอย่างนี้ดูว่าใครดูเรา อย่างนี่ดีเอสแอลเป็นบริษัทขนส่งพัสดุภัณฑ์ซึ่งเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มาซื้อฮ็อตนิวส์เราตรงนี้ ก็แปลว่าคนที่ดูเราอาจจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัทการค้าระหว่างประเทศ แล้วก็เวลาผมไปไหนผมจะดูว่าฟีดแบ็กเราเป็นยังไง เขาตามข่าวเรายังไง ผมเช็กฟีดแบ็กอยู่ตลอดเพราะฉะนั้นผมค่อนข้างสบายใจและพอใจกับความนิยมที่เรามีในตอนนี้” กิตติเกริ่นถึงความพอใจที่รายการของตนมีคะแนนนิยมดีก่อนแสดงทัศนะถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของไอทีวีในอนาคต

“เรื่องการเปลี่ยนแปลงในไอทีวีนี่ผมถามแล้วนะถามผู้บริหารคุณมนตรี คุณนิวัติผมเช็คแล้วและค่อนข้างยืนยันได้100% เลยอย่างน้อยก็ระยะสั้นๆ เนี่ยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยนะ เพราะถ้าคุณเอาตัวเลขผังการถือหุ้นของเทมาเส็ก เทมาเส็กร่วมกับกุหลาบแก้วหรือเอสซีบีมาถือหุ้นในซีด้า ซีด้ามาถือหุ้นในชินอีกทีหนึ่งชินมาถือหุ้นในไอทีวีเพราะฉะนั้นเวลาคุณคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาเนี่ย ไอทีวีมีหุ้นของไทมาเส็ก 19%กว่าๆ”

“ก็ดูสภาพสิธุรกิจสื่อ ต่างชาติจะไม่กล้าเข้ามายุ่งอยู่แล้วเพราะกลัวแรงต้าน เขากลัวสารพัดเพราะฉะนั้นเราค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่มีใครมาทำอะไรกับไอทีวีแน่นอน แต่ว่าในอนาคตจะมีไม่มีเป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะว่าต่อให้เทมาเส็กไม่เข้ามา เกิดตระกูลของคุณบรรณพจน์(ดามาพงศ์) กลุ่มชินวัตร เขาก็มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงอะไรได้เพราะเขาถือหุ้นใหญ่ เพราะฉะนั้นมันตราบใดที่มันไม่กระทบกับแนวทางของเรา เราก็ทำได้ในระดับที่เราทำผมก็พยายามถามตัวเองเหมือนกันว่าเอ๊ะจะมีอะไรมั้ย ก็ดูแล้วไม่มีนะ”

“ผมมองแล้วว่ารายการข่าวโดยธรรมชาติของมันจะโดนผลกระทบน้อยที่สุดอยู่แล้วนะในการเปลี่ยนแปลงผังรายการ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเพราะข่าวเป็นอะไรที่ต้องมีทุกสถานีอยู่แล้ว แต่จะมีลดเวลาเพิ่มเวลาตามสภาพแต่ฮ็อตนิวส์เนี่ยเมื่อมาประสบความสำเร็จในปีหนึ่งทางสถานีก็เพิ่มเวลาให้เสาร์อาทิตย์เป็น 7 วันอย่างนี้เป็นต้น"

"หรือว่าทำไป 4 - 5 ปีเสาร์อาทิตย์เขามองว่าไม่ต้องมีรายการนี้แล้วเพราะข่าวไม่มีอะไร เกิดการคืนเวลาให้ไปทำอย่างอื่นก็อาจเป็นได้ แต่ลองสังเกตนะเวลามีการเปลี่ยนแปลงอะไรในสถานีโทรทัศน์เนี่ย ผังบันเทิงจะถูกรื้อไปบ่อยครั้งก่อนคนอื่นไม่ว่าเป็นช่องไหนนะ จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ข่าวเขาจะยังคงอยู่ของมัน นี่คือผมถึงยังมั่นใจว่าไม่มีอะไรน่ากลัวนะในระยะนี้”

ถามถึงเนื้อหาของข่าวว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่เนื่องจากมีการเปลี่ยนมือผู้บริหารเกิดขึ้นแล้ว ผู้ดำเนินรายการหนุ่มเลือดนักข่าวเข้มรีบปฏิเสธทันควันว่าตนจะไม่เปลี่ยนจุดยืนการทำข่าวของตัวเองเด็ดขาด
“โอ้ !ไม่เปลี่ยน มันเปลี่ยนไม่ได้ จริงๆ แล้วเราอยู่ในชีวิตนักข่าวนะโดยเฉพาะผมนะไม่มีวันเอาอนาคตตัวเองมาทิ้งไว้กับการทำงานเพราะอาชีพนักข่าวมันต่างจากอย่างอื่น ยิ่งแก่ยิ่งทำงานได้ สำหรับคนทำข่าวคุณยิ่งมีอาวุโสยิ่งมีประสบการณ์คุณยิ่งทำงานได้มีคุณค่ามากขึ้น ผมไม่มีวันเอาชื่อเสียงที่ผมสะสมมาถึง 20 ปีมาเปลี่ยนแปลงแนวทางของผมเพื่อระยะสั้น ไม่มี”

“ผมเลิกทำที่ไอทีวีผมไปทำที่อื่นก็ได้ ผมไปทำข่าวช่องไหนผมก็ทำได้ คือไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแนวทางเพื่อให้เอาใจคนระยะสั้นไม่เอา เพราะถ้าผมทำผมทำไปนานแล้ว ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่มีคนมาชวนหรืออะไรนะ คนมาชวนไปทำรายการออกบันเทิงกว่านี้ก็ยังมีเลยแต่ว่าผมไม่ถนัดและผมไม่ชอบ และผมอยากจะทำที่ใดที่หนึ่ง”

“ผมก็มีหลักของผมเพราะว่าผมต้องทำช่องเดียว ทำที่เดียวและทำรายการที่ตัวเองชอบเท่านั้น ผมก็ยืนอยู่แนวนี้มาตลอดชีวิตนักข่าวผม ผมไม่มีเหตุผลอะไรมาเปลี่ยนแปลงอะไร คุณจะเห็นว่าไม่มี...เทมาเส็กมาก็ไม่มีเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด”

เรื่องกระแสวิจารณ์ที่ตอนนี้หลายคนมองว่า “ไอทีวี” เปลี่ยนมือมาเป็นของต่างชาติ กิตติยันไม่กระทบกับความรู้สึกและหลักการทำงานของตนเองแม้แต่น้อย
“คือมันต่างชาติเพราะบริษัทเทมาเส็กมันสัญชาติสิงคโปร์ แต่ว่าโดยหลักในแง่ของการทำงานจริงๆ แล้วบริษัทโดยผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนไทย เพราะฉะนั้นชินก็ยังเป็นบริษัทสัญชาติไทย แล้วก็ถ้าจะรู้เรื่องของการเข้ามาถือหุ้นของพวกอินเวสต์เมนท์ฟันแบบนี้เนี่ยมันจะต่างจากการเข้ามาถือหุ้นของกลุ่มบริษัทซึ่งเป็นบริษัทของการผลิตหรือเชิงของการบริหารจัดการ เช่น ถ้าเป็นบริษัทเหล็กต่างประเทษมาเทกโอเวอร์บริษัทเหล็กในประเทศไทย เขาจะเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหมดเลยเพราะว่าเขามีความเชี่ยวชาญกว่า เขาต้องเอาคนเขามาเอาเครื่องจักรของเขามา”

“แต่ว่ากองทุนแบบนี้เขามีแต่เงินใช่มั้ย เนี่ยเขามีเงินเป็นแสนๆ ล้านเขาก็เอาเงินไปซื้อบริษัทโน่นนี่ เขาไม่สนว่าใครจะบริหาร ใครที่คุณทำกำไรให้เขาได้บ.อินเวสต์เมนท์ฟันเนี่ยไปซื้อหุ้นไปซื้อบริษัททั่วโลกเต็มไปหมด มันจะไม่ค่อยแคร์...ตราบใดที่...เช่น ผมให้คุณบริหารเป็นซีอีโอผมไปซื้อหุ้นแล้วราคายังไม่ตก ยังมีกำไรต่อเนื่องเนี่ยเชิญคุณบริหารต่อไป"

"เช่นเดียวกับเทมาเส็ก ในเทมาเส็กมีคนแค่ 250 คนเท่านั้นเอง มันมีเงิน มันรวย แต่มันไม่มีคน....เพราะมันแค่บริหารพอร์ทลงทุน มันไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านทีวี ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านโทรศัพท์มือถือ เพราะฉะนั้นเขาส่งคนแค่กรรมการมาคนเดียวเท่านั้นแหละ ที่เหลือก็ในแง่นี้ไม่มีอะไรต้องน่ากลัวเพราะว่าทุกอย่างยังอยู่ในเมืองไทยนะ”

“สิงคโปร์นี่กลัวจะตาย กลัวพวกคนไทยบอกว่าถ้าเขาส่งคนสิงคโปร์มาทำงานมาทำธุรกิจในเมืองไทย อันนี้เป็นสิ่งที่เซียนการบริหารการจัดการเขายอมรับว่าการทำธุรกิจในเมืองไทยถ้าไม่ใช่คนไทยเนี่ยยากที่จะไปรอด ไม่ใช่ว่าจะทำง่ายๆ การทำธุรกิจในเมืองไทยต้องใช้คอนเนกชั่นอะไรสูงมากนะ ต้องใช้ความเป็นไทยๆ ความสัมพันธ์แบบพี่น้อง ฝรั่งมาก็ดี จีนหรือญี่ปุ่นมาก็ดี เขาต้องมาพึ่งคนไทย”

งั้นก็หมายความว่าตอนนี้คนไทยทำงานให้ต่างชาติ?
“ก็เขาเป็นเจ้าของเงิน แต่ว่าทุกวันนี้เราทำบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เจ้าของเงินเช่นคุณเจริญจะเอาเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์ลูกจ้างทุกคนก็ทำงานให้กับผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้ซีพีเราก็หาเงินให้เครือซีพีเราก็ต้องหาเงินให้กับผู้ถือหุ้นใหญ่ก็เหมือนกัน”

“ก็แน่นอนในเมื่อเขายอมเสี่ยงเอาเงินมา....ซึ่งชินอาจขาดทุนได้ในอนาคต เจ๊งไปเขาก็ต้องยอมเสี่ยงมันก็เป็นธรรมชาติ คือถ้าเราเข้าใจกลไกมันก็จะรู้เท่าทันมันอะไรที่เขากล้าทำอะไรที่เขาไม่กล้าทำ แล้วจริงๆ แล้วเนี่ยอย่างที่บอกต่างชาติไม่มีทางมากล้าทำอะไร แค่คนไทยคนเดียวจะซื้อมติชนทีเดียวใช่มั้ย...คุณจะมาทำอะไร”

“แล้วเราสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นสัมปทานกับสำนักนายก ไอทีวีเนี่ยใครจะมากล้าทำได้ยังไงเพราะว่าเป็นสัมปทานสำนักนายกก็ 30 ปีทำไปแล้ว 10 ปีเหลืออีก 20 ปี แล้วทุกอย่างต้องเป็นภายใต้สัมปทานทุกอย่างต้องป็นของรัฐบาลไทย ไมค์ตัวเดียวที่คุณทำข่าวเนี่ยก็เป็นของสำนักนายกนะครับ ยังไงก็ต้องเก็บไว้ต้องคืนเขาเพราะเป็นสัมปทาน”
กำลังโหลดความคิดเห็น