หลังจากที่เจ้าพ่อหนังอีโรติกอย่าง “ประสิทธิ์ วิจิตร์จินดา” วางมือจากการซื้อลิขสิทธิ์หนังอีโรติกเมืองนอกมาฉายหันไปทุ่มเทกับวีซีดี “อีโล้นซ่า” จนประสบความสำเร็จ ตอนนี้ก็ก้าวเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ “มนต์รักลูกทุ่ง” ด้วยการทุ่มทุนด้วยเม็ดเงินสูงถึง 20 ล้านบาท
แต่หลังจากที่ประกาศเข้าฉายไปเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้ไม่ทันไรนายทุนคนดังก็ประกาศเผาฟิล์มหนังทิ้งเพื่อประชดที่ไม่มีโรงฉาย โดยได้จัดให้มีการฉายหนังให้ดูฟรีที่สวนสันติชัยปราการในช่วงหัวค่ำของวันนี้(14 ก.พ.2548) จากนั้นก็จัดการเผาฟิลม์ทิ้งกันจะๆ ด้วยอารมณ์ประชดประชันคับแค้นใจไม่ต่างกับอีสาวใจถึงทุบซีอาร์วีเลยทีเดียว
หลังการฌาปนกิจฟิล์มภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวแล้วเจ้าตัวได้เปิดปากให้สัมภาษณ์ ถึงที่มาของการเผาฟิล์ม พร้อมทั้งระบายความคับแค้นใจที่โดนช่อง 7 ชิงตัดหน้าออกอากาศละคร "มนต์รักลูกทุ่ง" ลูกทุ่งก่อนว่า...
“ที่ผมเลือกทำหนังเรื่องนี้ก็เพราะว่าเป็นหนังอมตะ 10 ปีต้องเอามาสร้างใหม่ครั้งหนึ่ง และในการสร้างแต่ละครั้งก็จะได้รับผลตอบรับดีมาตลอด เราคิดว่าถ้าเราเอามาทำหนังก็ไม่น่าจะผิดหวังเช่นกัน”
“ผมลงทุนไป 20 ล้านเท่ากับหนังเรื่องอื่นๆ ดาราก็เยอะไม่แพ้ใคร ตอนแรกผมติดต่อให้คุณสำรวย รักชาติ ผู้กำกับมนต์รักลูกทุ่งช่อง 7 นี่แหละทำให้ แล้วก็ติดต่อกบ สุวนันท์, นุ่น วรนุช และ ป๋อ ณัฐวุฒิ มาแสดงให้ ซึ่งก็ได้มีการตกลงราคาแล้วหนึ่งล้านสองแสน คุณนุ่นคุณป๋อโอเค แต่ขอให้ผมทำเรื่องขอทางช่อง 7”
“ผมก็เลยให้คุณสำรวยทำหนังสือถึงคุณแดง (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) ปรากฎว่าเรื่องก็เงียบ 15 วันถามว่าเรื่องไปถึงไหน เค้าก็บอกว่าคุณแดงยังไม่ว่าง รออยู่ประมาณ 1 เดือน จู่ๆ ช่อง 7 ก็ประกาศสร้างละครมนต์รักลูกทุ่งโดยมีคุณสำรวยกำกับ และเอาป๋อกับกบแสดง นี่มันเป็นไอเดียของผมเลยนะ”
“มันก็เลยประเด็นว่าผมทะเลาะกับช่อง 7 ถามว่ามีปัญหากันไหม ก็มีปัญหากัน แต่ว่ามันเป็นจรรยาบรรณผมไม่อยากไปว่าอะไรเค้า ต่างคนก็ต่างถือสิทธิ์ต่างคนก็ต่างทำก็แล้วกัน แต่ก็ต้องยอมรับการที่ละครออกมาฉายก่อนอาจเกิดผลกระทบกับหนังผมบ้าง”
แปลว่าถ้าไม่โดนช่อง 7 ตัดหน้าอาจมีโรงเข้าฉาย?
“มีส่วนอย่างมาก...แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องอยู่ที่โรงหนัง ของเค้าพึ่งออกมา 8 ตอนเอง แฟนมันคนละกลุ่มกัน ละครสร้างแบบยืดเยื้อดึงคนดู แต่ของผมสร้างเอาตังค์คนมันคนละอย่างกันเลยนะ แต่จริงๆ แล้วมันก็อยู่ที่จังหวะด้วย ตอนนั้นหนังโจซิงฉือเข้าแล้วทางโรงต้องเทให้ เค้าบอกว่าเค้าไม่มีโรงฉายให้เรา”
“ฟังแล้วก็รู้สึกว่า นี่มันเมืองไทยนะทำไมหนังไทยไม่มีโรงฉาย ทีหนังเมืองนอกมีฉายมันทั้งวันทั้งคืน แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรนะเพราะมั่นใจว่าหนังเราดี ดาราก็ดี ยังไงก็ต้องมีโรงฉาย ผมก็เลยไปหาเสี่ยเจียงเพื่อยื่นเรื่องกับสมาพันธ์ฯ”
“วันนั้นเสี่ยเจียงไปงานสุพรรณหงส์ ผมไปรอเสี่ยเจียงตั้งแต่ 6 โมงจน 3 ทุ่มกว่าถึงจะได้คุย เค้าก็ถามว่าเป็นไงยังไม่ได้โรงเหรอ ผมก็บอกยังไม่ได้ เค้าก็เลยบอกว่าเดี๋ยวเค้าจะจัดการให้ หลังจากนั้นผมก็เลยได้โรงจาก เอสเอฟ 3 โรง , อีจีวี 3 โรง , เมเจอร์ 2 โรง แต่ละโรงก็ไกลๆ ทั้งนั้น อย่างของเมเจอร์นี่อยู่รังสิตกับนนทบุรี, อีจีวีอยู่บางแคกับสำโรง เรียกว่าเป็นโรงที่ไม่ค่อยจะมีตัวเลขเลย”
“แถมเค้ายังให้โรงเย็นกับผม เค้าให้รอบ 11 โมงเช้า ห้างพึ่งเปิดใครจะมาดู อีกรอบก็ 2 ทุ่มห้างจะปิดใครจะมาดู ถ้าจะให้อย่างนี้ไม่ต้องให้ดีกว่า ให้เหมือนไม่เต็มใจ ฉะนั้นผมไม่เอาดีกว่า”
“ที่เอาฟิล์มมาเผานี่ก็ไม่ได้ทำเพื่อความสะใจหรือว่าอยากประชดใคร แต่ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ที่อยากจะสร้างหนังดูไว้เป็นตัวอย่าง ผมอยากให้เป็นอนุสรณ์ ผมลงทุนไป 20 ล้านแต่จะฉายให้คนดูฟรีแล้วเผาแ-งทิ้งเลย”
“บางคนบอกผมเลียนแบบทุบรถ โอ๊ย...ผมจะไปเลียนแบบเค้าทำไม อันนั้นเค้าทำแล้วเค้าได้ค่าชดเชย ทำแล้วเค้าได้เงินคืน แต่นี่ผมทำแล้วใครจะมาจ่ายให้ผม ถามว่าเสียดายไหม 20 ล้าน ก็เสียดายนะกว่าจะหาได้ก็ลำบาก แต่ผมอยากทำ ผมอยากให้คนรุ่นใหม่ที่จะสร้างหนังพึงสังวรไว้ หนังดีเนื้อหาดีดาราดีก็ยังมากรีดกัน ก็ไม่รู้จะมาผูกขาดทำไม”
“ผมอยากเรียกร้องให้รัฐให้มามอง ทีแรกตั้งใจว่า 9 โมงเช้าจะเอาไปเผาหน้ารัฐสภาด้วยซ้ำแต่ว่าเพื่อนๆ ห้ามไว้ก่อน ผมอยากขอความเป็นธรรมอยากให้ภาครัฐหันมามอง ผมทำหนังลงทุนไป 20 ล้านแต่กลับไม่มีโรงเข้าฉาย”
“ผมจะไม่หยุดแค่ตรงนี้ ต่อไปผมจะทำเรื่องถึงกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้มาดูแลเรื่องการผูกขาด ถึงเวลาแล้วที่ต้องเข้ามาดูแลอย่างจริง ต้องจำกัดโควต้าให้หนังไทย ทุกวันนี้โรงหนังมีอิทธิพลมากเกินไป รัฐต้องเข้ามาดูแลต้องออกกฎกติกา ถ้าเป็นหนังไทยเข้าฉายอย่างน้อยต้องมีเท่านั้นเท่านี้โรงให้ฉาย ไม่ใช่อะไรๆ ก็หนังฝรั่งแบบนี้มันไม่ยุติธรรม”
แม้จะอ้างว่าเผาฟิล์มเพราะไม่มีโรงฉาย แต่ก็ยังเป็นที่กังขาของหลายๆ คนอยู่ว่า ถ้าหนังดีจริงแล้วทำไมโรงถึงจะไม่ให้เข้าฉายเพราะนั่นหมายถึงรายได้หลายสิบล้าน
“ไม่เกี่ยวกัน....หนังผมดีไม่ดีคุณต้องดูก่อน ผมให้ผู้จัดการโรงดูก่อน ไม่ได้ขายปลาในหนองจะได้ดูก่อนไม่ได้ แต่นี่เค้าไม่ยอมดูบ่ายเบี่ยงโน่นนี่ จนกระทั่งหนังผมจะเข้าฉายเค้าก็ยังไม่ยอมดู ของอย่างนี้มันต้องมีการจ่ายตังค์เพราะเค้ามีคณะกรรมการเลือก ผมไม่อยากพูดมากไปกว่านี้”
แม้จะเผาฟิล์มมนต์รักลูกทุ่งในกรุงเทพ แต่ในสายหนังต่างจังหวัดก็ยังฉายอยู่ตามปกติ งานนี้เจ้าตัวขอทุนคืนแค่ครึ่งก็พอ
“ในต่างจังหวัดก็ยังฉายอยู่ ก็พอไปได้เรื่อยๆ แต่คงไม่ได้กำไรหรอก ขอแค่ได้คืนครึ่งหนึ่งก็พอแล้ว”
เมื่อก่อนซื้อลิขสิทธิ์หนังอีโรติกไม่มีขาดทุน ทำหนังอีโรติกอย่างอีโล้นซ่าก็กำไรอื้อซ่า แต่พอทำหนังกลับเจ๊งเป็น 10 ล้าน ถามว่าจะกลับไปคลุกวงในกับหนังอีโรติกเหมือนเดิมอีกไหม งานนี้ประสิทธิ์ตอบว่า....
“ตอนนี้ผมก็ยังมีหนังอยู่ในมือเป็นร้อยเรื่อง มันเป็นชีวิตจริง หนังแบบนี้ขายได้ ถ้าวงการหนังไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ กลับไปซื้อลิขสิทธิ์มาขายอย่างเดิมดีกว่า"


