หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีวรรณ
ในสถานการณ์ที่โลกกำลังเคลื่อนกลับเข้าสู่ยุคของความขัดแย้งระหว่างรัฐอย่างชัดเจน คำถามพื้นฐานที่สังคมใดก็ตามไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คือเราควรเลือกผู้นำและพรรคการเมืองแบบใดมาบริหารประเทศในยามที่อธิปไตย ความมั่นคง และชีวิตของประชาชนกำลังเผชิญความเสี่ยงจริง การเมืองในภาวะปกติกับการเมืองในภาวะวิกฤตไม่ใช่สนามเดียวกัน ไม่ใช้ตรรกะแบบเดียวกัน และไม่สามารถวัดความสำเร็จด้วยมาตรฐานเดียวกันได้ ความผิดพลาดในยามปกติอาจยังมีโอกาสแก้ไขผ่านการเลือกตั้งหรือการปรับนโยบาย แต่ความผิดพลาดในยามสงครามหรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อาจทิ้งรอยแผลที่ยาวนานกว่าหนึ่งชั่วอายุคน และบางครั้งอาจไม่มีโอกาสให้ย้อนกลับมาแก้ไขอีกเลย
ในบริบทเช่นนี้ คำกล่าวของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำทางความคิดของพรรคประชาชน ที่ระบุว่า หากวันนั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยจะไม่มาถึงจุดความตึงเครียดเช่นปัจจุบัน จึงไม่ใช่เพียงวาทกรรมทางการเมืองที่กล่าวขึ้นเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามหรือปลอบใจผู้สนับสนุน แต่เป็นสมมติฐานเชิงอำนาจที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันตั้งอยู่บนความเชื่อว่าลักษณะผู้นำ วิธีคิด และท่าทีต่อโลกภายนอกของพิธา จะสามารถเปลี่ยนทิศทางสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อสมมติฐานนี้ถูกเสนอออกมาโดยแกนนำระดับสูงของพรรค สังคมย่อมมีสิทธิและความจำเป็นต้องตั้งคำถามกลับอย่างจริงจัง
การตั้งคำถามเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากอคติส่วนตัว หากแต่เกิดจากบทเรียนของโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่พิสูจน์อย่างชัดเจนว่า ระเบียบโลกหลังสงครามเย็นซึ่งเคยเชื่อกันว่าสงครามระหว่างรัฐจะค่อย ๆ เลือนหายไป กำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา สงครามในยูเครน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ความตึงเครียดในเอเชียแปซิฟิก และการแข่งขันเชิงอำนาจระหว่างมหาอำนาจ ล้วนสะท้อนว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่อำนาจแข็งกลับมาเป็นแกนกลางของการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้ง ในบริบทเช่นนี้ การบริหารรัฐชาติไม่อาจอาศัยความหวังดีหรือการอ้างกติกาสากลเพียงอย่างเดียวได้
เมื่อย้อนกลับไปยังต้นทางของพรรคประชาชน ซึ่งสืบทอดมาจากพรรคก้าวไกล ต้องยอมรับตามตรงว่าความสำเร็จในการเลือกตั้งที่ผ่านมาเกิดจากกระแสความเบื่อหน่ายอำนาจเดิมและความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงเป็นหลัก มากกว่าการประเมินความพร้อมด้านความมั่นคงหรือการบริหารประเทศในภาวะวิกฤต ผลลัพธ์ที่ตามมาคือผู้แทนจำนวนมากที่ไม่มีฐานเสียง ไม่มีประสบการณ์ด้านรัฐศาสตร์ การต่างประเทศ หรือการจัดการวิกฤต และมีบทบาทในสภาอย่างจำกัด เมื่อประเทศยังอยู่ในภาวะปกติ จุดอ่อนเหล่านี้อาจไม่เด่นชัดนัก แต่เมื่อบริบทเปลี่ยนเป็นเรื่องการปะทะ การคุกคาม และความเสี่ยงต่ออธิปไตย ข้อจำกัดดังกล่าวย่อมถูกขยายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น การที่พรรคประชาชนเลือกปรับโครงสร้างผู้สมัครอย่างรวดเร็ว คัดทิ้งผู้แทนเก่าจำนวนมาก และยึดตราสัญลักษณ์พรรคเป็นศูนย์กลาง แสดงให้เห็นว่าพรรคเองก็รับรู้โดยปริยายว่าเสียงที่ได้รับเป็นเสียงของพรรคมากกว่าเสียงของบุคคล ตรรกะเช่นนี้อาจเหมาะกับการเมืองเชิงแบรนด์ในภาวะปกติ แต่ในยามวิกฤตที่การตัดสินใจหนึ่งอาจหมายถึงชีวิตของประชาชนจำนวนมาก คำถามคือประเทศควรฝากความมั่นคงไว้กับภาพลักษณ์หรือกับทีมที่มีประสบการณ์และความพร้อมจริงในการตัดสินใจภายใต้แรงกดดันสูง เพราะความมั่นคงไม่ใช่พื้นที่ที่ลองผิดลองถูกได้ง่าย การผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจมีผลสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ต่อขวัญกำลังใจในพื้นที่ชายแดน และต่อการประเมินของคู่ขัดแย้งว่าไทย “พร้อมแค่ไหน” ที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตน
หัวใจของข้อถกเถียงอยู่ที่ทัศนคติของพิธาต่อทหาร กองทัพ และธรรมชาติของสงครามสมัยใหม่ พิธาเคยกล่าวซ้ำหลายครั้งว่าทหารมีไว้เพื่อปกป้องประเทศ ไม่ใช่เพื่อปกครองประเทศ ซึ่งในเชิงหลักการประชาธิปไตยแทบไม่มีใครคัดค้าน แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ประโยค หากอยู่ที่กรอบคิดที่ตามมา นั่นคือการมองกองทัพเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่าจะเป็นเครื่องมือหลักของรัฐชาติในการยับยั้งภัยคุกคามจากภายนอก นโยบายลดบทบาท ลดงบประมาณ และยุติการเกณฑ์ทหาร สะท้อนความเชื่อร่วมกันว่าอำนาจแข็งเป็นสิ่งที่ควรถูกจำกัด ไม่ใช่สิ่งที่ควรถูกเสริมสร้าง
ทัศนคติดังกล่าวปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นจากคำปราศรัยของพิธาในการหาเสียงเมื่อปี 2566 ที่ตั้งคำถามว่า ประเทศไทยจะมีกองทัพไปทำไม จะไปรบกับใคร และแสดงความไม่เชื่อว่าหากถูกรุกรานจะสามารถรบชนะได้ พร้อมทั้งเสนอว่าปัจจุบันเป็นยุคของกฎกติกาสากล ระเบียบโลก และความฉลาดของผู้นำ มากกว่าสงครามระหว่างรัฐ คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่เพียงวาทศิลป์หาเสียง แต่สะท้อนสมมติฐานพื้นฐานว่า สงครามเป็นเรื่องล้าสมัย และกติกาสากลสามารถทำหน้าที่แทนอำนาจยับยั้งของกองทัพได้
ปัญหาคือสมมติฐานนี้ขัดแย้งกับประสบการณ์ของโลกจริงอย่างรุนแรง ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยแสดงให้เห็นว่าสงครามไม่ได้หายไปพร้อมกับโลกาภิวัตน์ ตรงกันข้าม เมื่อผลประโยชน์เชิงดินแดนและอำนาจถูกท้าทาย กติกาสากลมักกลายเป็นเครื่องมือของฝ่ายที่แข็งแรงกว่า มากกว่าจะเป็นเกราะคุ้มครองรัฐเล็ก หัวใจของการป้องกันประเทศไม่ใช่การรับประกันชัยชนะร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คือการทำให้อีกฝ่ายเชื่อว่าต้นทุนของการรุกรานจะสูงเกินกว่าจะยอมรับได้ หลักการนี้เรียกว่าการยับยั้ง และเป็นฐานคิดของความมั่นคงในทุกภูมิภาคของโลก
ยิ่งไปกว่านั้น การกล่าวว่า “รบชนะไม่ได้” แล้วสรุปต่อว่าจึงไม่จำเป็นต้องมีกองทัพเข้มแข็ง เป็นตรรกะที่เสี่ยงในเชิงยุทธศาสตร์ เพราะการยับยั้งไม่ต้องการคำสัญญาว่าจะชนะทุกครั้ง แต่ต้องการ “ความน่าเชื่อถือ” ว่าจะทำให้ผู้รุกรานต้องจ่ายแพงหากคิดเสี่ยง หากรัฐส่งสัญญาณว่าไม่เชื่อในศักยภาพของตนเอง ไม่พร้อมยืนหยัด หรือมองว่าความขัดแย้งจะถูกยุติด้วยกติกาสากลเสมอ คู่ขัดแย้งอาจตีความว่านี่คือช่องว่างให้ใช้แรงกดดันเพิ่มขึ้นทีละขั้น จนกลายเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่ไทยต้องยอมรับโดยไม่ทันตั้งตัว
การเชื่อว่าประเทศเพื่อนบ้านไม่ทะเลาะกันแล้ว หรือบางประเทศไม่จำเป็นต้องมีกองทัพ หากผู้นำฉลาดพอ เป็นการเลือกมองเฉพาะกรณีที่สนับสนุนความเชื่อของตนเอง ขณะที่เพิกเฉยต่อบริบทที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นอยู่รอด ประเทศที่ไม่มีกองทัพหรือมีกองทัพขนาดเล็ก ล้วนดำรงอยู่ภายใต้ร่มเงาความมั่นคงของมหาอำนาจหรือพันธมิตรทางทหาร ไม่ใช่เพราะโลกปลอดภัย แต่เพราะมีผู้อื่นรับภาระอำนาจแข็งแทน และนี่คือจุดที่รัฐอย่างไทยต้องระวังการยกตัวอย่างแบบตัดตอน เพราะการไม่มีภาระด้านกองทัพของบางประเทศเกิดจากโครงสร้างความคุ้มครอง ไม่ใช่จากการเชื่อว่ามนุษย์จะไม่ทำสงครามกันแล้ว
เมื่อเชื่อมโยงทัศนคตินี้กับคำกล่าวของธนาธรที่เชื่อว่าหากพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศจะไม่มาถึงจุดความตึงเครียด คำถามเชิงรัฐศาสตร์จึงยิ่งชัดเจนว่า ความไม่มาถึงจุดนั้นจะเกิดจากการทำให้อีกฝ่ายไม่กล้ารุก หรือเกิดจากการอ่อนตัวจนความเสี่ยงถูกกดทับไว้ชั่วคราว ความแตกต่างระหว่างสองกรณีนี้ไม่ใช่รายละเอียดเล็กน้อย แต่คือเส้นแบ่งระหว่างความมั่นคงกับความเปราะบางในระยะยาว และเป็นความต่างระหว่าง “การหลีกเลี่ยงวิกฤต” กับ “การเลื่อนวิกฤต” ซึ่งอย่างหลังมักกลับมารุนแรงกว่าเดิมในเวลาที่เราอาจพร้อมน้อยกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ประวัติศาสตร์การเมืองโลกให้บทเรียนที่เจ็บปวดว่า หลายประเทศเคยใช้ตัวเองเป็นสนามทดลองของอุดมการณ์ใหม่ที่ฟังดูงดงาม แต่ขาดประสบการณ์และความเข้าใจโลกแห่งอำนาจ ผลลัพธ์ของการทดลองเช่นนี้มักจบลงด้วยต้นทุนที่ประชาชนต้องเป็นผู้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจ ความแตกแยกทางสังคม หรือการสูญเสียอธิปไตยบางส่วน การเมืองไม่ใช่ห้องทดลองที่ล้มแล้วเริ่มใหม่ได้ง่าย เพราะสิ่งที่เดิมพันคือชีวิตผู้คน ความมั่นคงของแผ่นดิน และอนาคตของชาติ โดยเฉพาะเมื่อปัจจัยภายนอกไม่รอให้เรา “เรียนรู้จากความผิดพลาด” แบบค่อยเป็นค่อยไป
ในท้ายที่สุด การตั้งคำถามว่าเราควรเลือกพรรคการเมืองแบบใดในสถานการณ์ความเสี่ยงสูง ไม่ใช่การปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการถามว่าการเปลี่ยนแปลงแบบใดที่ประเทศพร้อมจะจ่ายราคา ระหว่างการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเปลี่ยนแปลง กับการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งอยู่บนความเข้าใจความจริงของโลก ในยามที่ปืนยังไม่เงียบ เส้นเขตแดนยังไม่มั่นคง และอำนาจยังเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของรัฐเล็ก นี่คือคำถามที่สังคมไทยจำเป็นต้องตอบด้วยสติ มากกว่าด้วยอารมณ์หรือความหวังเพียงอย่างเดียว
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


