xs
xsm
sm
md
lg

อำนาจเปราะบางของฮุนเซน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



ความร้อนแรงที่เริ่มต้นจากแนวภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน ได้ลุกลามกลายเป็นการสู้รบต่อเนื่องหลายจุดตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเหตุเฉี่ยวชนเหมือนในข้อพิพาทชายแดนทั่วไป แต่เป็นการยกระดับสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายต่างสัมผัสได้ถึง “ความผิดปกติบางอย่าง” ในแรงขับที่ส่งกัมพูชาเข้ามาเผชิญหน้าในจังหวะที่คำนวณได้ยากที่สุด ทั้งที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม และไม่ได้มีนโยบายใดที่ต้องการนำตนเองเข้าไปสู่ความตึงเครียดระดับนี้ การปะทะครั้งนี้จึงเป็นเหมือนสัญญาณเตือนของบางสิ่งที่เกิดขึ้นลึกลงไปในพนมเปญ มากกว่าจะเป็นเรื่องหมุดเขตแดนหรือรอยแผนที่ที่เคลื่อนไปตามกาลเวลา 

สื่อสากลรายงานว่าทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงก่อนในหลายจุด ก่อนที่ไทยจะต้องตอบโต้เพื่อปกป้องกำลังพลของตัวเอง และยับยั้งการรุกคืบที่มีลักษณะคล้ายการทดสอบขีดความอดทน การตอบโต้ของไทยในบางพื้นที่รวมถึงการใช้กำลังทางอากาศเพื่อทำลายฐานยิงโดรนและคลังยุทโธปกรณ์หนักของกัมพูชาที่ตั้งอยู่ลึกเข้ามาในเขตพิพาท สะท้อนถึงความจำเป็นในการควบคุมสถานการณ์ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ เมื่อลำดับเหตุการณ์ถูกจัดเรียง ก็ไม่ได้เห็นสิ่งใดที่ชวนให้เชื่อว่าความขัดแยงนี้มาจากไทยเลยแม้แต่น้อย หากแต่เกิดจากความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำๆ และใกล้เคียงกันเกินกว่าจะมองว่าเป็นเหตุบังเอิญ 

แต่คำถามสำคัญที่สุดที่สื่อต่างประเทศเริ่มตั้งอย่างเปิดเผยคือ เหตุใดกัมพูชาจึงเร่งเครื่องจนเกิดรอยปะทะทั่วแนวชายแดนในช่วงเวลานี้? เหตุผลด้านยุทธศาสตร์ชายแดนอาจตอบได้เพียงส่วนหนึ่ง แต่ไม่เพียงพอจะอธิบายถึงความเร่งรีบ ความจัดหนัก และความก้าวร้าวที่ปรากฏในถ้อยแถลงของผู้นำกัมพูชาหลังเกิดเหตุทันที ที่น่าสนใจกว่านั้นคือเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกับความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจภายในประเทศ และความไม่ลงตัวของโครงสร้างอำนาจที่กำลังอยู่ในช่วงส่งผ่าน และนี่คือรากของ “ความเปราะบาง” ที่แท้จริง 

ความเปราะบางนั้นไม่ได้เกิดจากการถูกคุกคามจากภายนอก แต่เกิดจากภายในกัมพูชาเอง ประเทศที่มีผู้นำคนเดิมมายาวนานที่สุดคนหนึ่งในภูมิภาค และกำลังเผชิญคำถามใหญ่หลังการส่งไม้ต่อให้ลูกชายอย่างฮุน มาเนต ซึ่งแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีตามตำแหน่ง แต่กลับไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจในความเป็นจริง เครือข่ายกองทัพ ข้าราชการระดับสูง และกลุ่มอำนาจเก่าจำนวนมากยังคงให้ความภักดีต่อฮุนเซนมากกว่าผู้นำรุ่นลูก และในสถานการณ์วิกฤตที่ต้องตัดสินใจด้วยความเร็วสูง ก็เห็นได้ชัดเจนว่าใครเป็นคนกดปุ่มคำสั่งตัวจริง 

หลักฐานสำคัญที่ยืนยันโครงสร้างอำนาจซ้อนนี้คือภาพประชุมบัญชาการรบทางออนไลน์ที่ฮุนเซนโพสต์เองในคืนแรกๆ ที่เกิดเหตุสู้รบ ภาพนั้นปรากฏใบหน้าของเตีย บันห์ และนายพลรุ่นเก่าหลายคนที่เคยกำกับกองทัพด้วยกันมานานหลายสิบปี แต่กลับไม่มีเงาของฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีผู้ควรเป็นผู้นำรัฐบาลในสถานการณ์แบบนี้ และไม่มีเตีย เซยฮา รัฐมนตรีกลาโหมคนรุ่นใหม่ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้นำทหารยุคเปลี่ยนผ่าน การขาดหายของทั้งสองทำให้ภาพนี้กลายเป็นการประกาศอย่างไม่ตั้งใจว่าอำนาจตัดสินใจกลับไปอยู่ในมือของ “รุ่นพ่อ” อย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังเผชิญความตึงเครียดสูงสุด 

เมื่อนำภาพนี้ไปประกอบกับท่าทีที่ฮุนเซนโพสต์บนเฟซบุ๊กในเวลาต่อมา ซึ่งใช้ถ้อยคำรุนแรงและประกาศใช้ยุทธวิธี “บดทำลายกำลังรบมีชีวิตของศัตรู” รวมถึงเปรียบเปรยศีรษะฝ่ายตรงข้ามว่า “ไม่ได้ทำด้วยเหล็ก” ก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นว่าเขากำลังแสดงบทบาทผู้นำสูงสุดทางทหาร ไม่ใช่เพียงผู้บงการอยู่เบื้องหลังเท่านั้น การที่เขาเป็นคนประกาศตอบโต้เองแทนที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหรือนักการเมืองฝ่ายบริหาร ยิ่งตอกย้ำว่าการเปลี่ยนผ่านอำนาจในกัมพูชาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เคยถูกวาดภาพไว้ 
และเมื่อโครงสร้างอำนาจยังไม่ลงตัว ประเทศก็ย่อมเปราะบางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเปราะบางเช่นนี้มักแสดงออกในรูปแบบที่สังเกตได้ในสามลักษณะ คือ การใช้ความขัดแย้งภายนอกเป็นเครื่องมือประสานภายใน การสร้างภาพผู้นำที่แข็งแรงเพื่อกลบความอ่อนแอที่แท้จริง และการเคลื่อนกองกำลังในลักษณะที่เป็นการแสดงธาตุแท้ของความไม่มั่นคงทางการเมืองมากกว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ชาติอย่างแท้จริง 

ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำภายในกัมพูชาก็ยิ่งทำให้ความเปราะบางนี้รุนแรงขึ้น สีหนุวิลล์ซึ่งเคยเป็นเมืองที่เติบโตขึ้นจากการลงทุนของจีน บัดนี้เต็มไปด้วยอาคารร้างหลังทุนจีนไหลออกไปอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมสีเทาที่เคยเป็นรายได้หลักในภูมิภาคนั้นถูกปราบปรามและแทบไม่เหลือความคึกคักเหมือนเดิม แรงงานจำนวนมากตกงาน หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง รายได้จากการส่งออกโตช้า ขณะที่สภาพคล่องของภาคธุรกิจหดตัวรุนแรง จนภาคประชาชนเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เมื่อปัญหาเศรษฐกิจขยายใหญ่และไม่มีวี่แววของการคลี่คลาย ผู้นำประเทศจึงมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นที่จะใช้ “ภัยภายนอก” เป็นฉากหลัง เพื่อรวมศูนย์ความชอบธรรมและฟื้นพลังของระบอบที่กำลังเผชิญการตั้งคำถามจากสังคมภายใน 

ท่าทีของสื่ออาเซียนในช่วงนี้จึงมีลักษณะระมัดระวัง พวกเขาไม่กล่าวว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนโดยตรง แต่ลำดับข้อมูลที่นำเสนอในรายงานข่าวกลับชี้ไปในทิศทางเดียวกัน คือ ความเคลื่อนไหวของกัมพูชาเกิดก่อนการตอบโต้ของไทย สื่อ

เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซียรายงานโดยจัดเรียงเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้อ่านสามารถตีความได้ว่าไทยถูกโจมตีก่อน ขณะที่สื่อสิงคโปร์เตือนว่าการปะทะในครั้งนี้อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ความมั่นคงของอาเซียน และอาจสั่นคลอนการลงทุนในภูมิภาค หากสถานการณ์ไม่สงบลงในเวลาอันใกล้ 

แต่สื่อที่มองลึกที่สุดอาจเป็น The Diplomat และ Time ซึ่งวิเคราะห์ตรงกันว่า เหตุปะทะครั้งนี้เป็นเพียง “อาการ” ของปัญหาใหญ่ที่กำลังกัดกินกัมพูชา นั่นคือความไม่แน่นอนของระบอบฮุนเซนหลังการเปลี่ยนผ่านอำนาจ อำนาจที่เคยรวมศูนย์อยู่ภายใต้ชายคนเดียวมานานหลายทศวรรษ เริ่มหลวมลงทันทีเมื่อถูกส่งต่อ และเมื่อความหลวมนี้ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเครือข่ายต่างๆ ที่เคยอยู่ใต้อาณัติ การใช้ความขัดแย้งภายนอกจึงเป็นเครื่องมือที่รวดเร็วที่สุดในการฟื้น “ระเบียบเก่า” และทำให้ประชาชนรู้สึกว่าผู้นำยังแข็งแรงเหมือนเดิม 

ในเวลาเดียวกัน การที่ฮุน มาเนตไม่ปรากฏในภาพประชุมบัญชาการรบครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามทั่วภูมิภาคว่าเขายังมีเสถียรภาพในฐานะนายกรัฐมนตรีมากน้อยเพียงใด   

ทั้งหมดนี้ทำให้ความขัดแย้งชายแดนที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องของเส้นพรมแดนหรือความไม่ลงรอยระหว่างสองประเทศเท่านั้น แต่เป็นจุดที่ปัญหาภายในกัมพูชาถูกผลักออกมาให้โลกเห็นอย่างชัดเจน ความตึงเครียดนี้จึงมีความหมายไกลเกินกว่าเสียงปืนและควันระเบิด มันคือสัญญาณของระบอบที่กำลังพยายามยืนทรงตัวท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน และกำลังเลือกใช้ความขัดแย้งภายนอกเป็นส่วนหนึ่งของเกมรักษาอำนาจ 

สำหรับไทยไม่ใช่ผู้ริเริ่ม แต่เป็นประเทศที่ต้องรับแรงปะทะจากความไม่สมดุลของประเทศเพื่อนบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งปัญหาภายในกัมพูชายังไม่คลี่คลายเท่าไร แนวชายแดนของไทยก็ย่อมต้องเฝ้าระวังมากขึ้น เพราะความเปราะบางภายในย่อมแผ่ออกมาภายนอกเสมอ และครั้งนี้ ก็เกิดในรูปแบบที่เป็นรูปธรรมที่สุด เสียงปืนที่ดังอยู่ตรงพรมแดนของเราเอง 
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น