พรรคภูมิใจไทยภายใต้การนำของอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เป็นรัฐบาลก็ด้วยการสนับสนุนของพรรคประชาชน โดยการออกเสียงเห็นด้วยภายใต้เงื่อนไขให้เตรียมการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน
แต่วันนี้ดูเหมือนว่าข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวข้างต้น จะไม่เป็นไปตามนั้น เมื่อพรรคเพื่อไทยจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และอนุทินได้พูดชัดเจนว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยยื่นญัตติดังกล่าวก็จะยุบสภาฯ ทันที โดยให้เห็นผลว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยจะชี้แจงดีขนาดไหน ก็แพ้การโหวตไม่ไว้วางใจจึงไม่ยอมให้ด่าฟรี
ในความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ถ้าฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น แต่เหตุใดอนุทินจึงกล้าเป็นรัฐบาลถ้าไม่มีข้อได้เปรียบดังต่อไปนี้
1. มีการแก้รัฐธรรมนูญเป็นหลักประกันที่ทำให้พรรคประชาชนต้องการอยู่ในมือ จึงทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ปชน.ต้องช่วยค้ำรัฐบาลให้อยู่ครบ 4 เดือน
2. พรรคเพื่อไทยกำลังประสบภาวะตกต่ำทางการเมือง คงจะไม่ต้องการเลือกตั้งในภาวะที่ไม่พร้อม จึงไม่น่าจะกดดันให้มีการยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่จนกว่าจะมีความพร้อมมากกว่าที่เป็นอยู่
3. พรรคภูมิใจไทยได้ดูด สส.จากพรรคต่างๆ เข้ามามาก จึงทำให้อยู่ในฐานะได้เปรียบในการเลือกตั้ง
ด้วยเหตุปัจจัย 3 ประการข้างต้น พรรคภูมิใจไทยจึงกล้ายุบสภาฯ ก่อนที่กำหนดไว้ 31 มกราคม 69 และที่สำคัญเหนืออื่นใด ถ้ามีการยุบสภาฯ โดยที่การแก้รัฐธรรมนูญยังมิได้ลุล่วง พรรคประชาชนก็จะกล่าวโทษพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ โดยที่ ปชน.ไม่ช่วยปกป้องโดยการออกเสียงหนุนอนุทินอยู่ต่อไปจนครบ 4 เดือน
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ถ้ามีการยุบสภาฯ ก่อนกำหนด พรรคที่ได้เปรียบทางการเมืองก็คือพรรคภูมิใจไทย และพรรคเสียเปรียบก็คือพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย แน่นอนว่าทั้งสองพรรคนี้จะได้รับเลือกน้อยลง และพรรคที่ได้ผลพวงจากการที่สองพรรคนี้ได้น้อยลงก็คือ พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน ทั้งนี้ ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1.พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยใช้กลยุทธ์ในการเลือกตั้งในรูปแบบเดียวกัน ดังนั้น เมื่อพรรคเพื่อไทยสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดทางการเมือง ก็จะทำให้พรรคภูมิใจไทยได้ส่วนแบ่งเพิ่มขึ้น
2. ในทำนองเดียวกัน ระหว่างพรรคประชาชนกับพรรคประชาธิปัตย์ใช้กลยุทธ์ในการแข่งขันการเลือกตั้งรูปแบบเดียวกันคือใช้กระแส
ดังนั้น เมื่อพรรคประชาชนกระแสตกต่ำลงก็ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เพิ่มจากส่วนนี้
แต่ถ้าดูจากสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนี้แล้ว ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งปัญหาที่เป็นอยู่คงจะแก้ไขอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะปัญหาดังต่อไปนี้
1. ปัญหาความหย่อนยานในกระบวนการยุติธรรม เริ่มตั้งแต่ตำรวจอันเป็นขั้นต้นของกระบวนการยุติธรรมมีตั้งแต่การทุจริต คอร์รัปชันปล่อยให้มิจฉาชีพประกอบธุรกิจสีเทาดาษดื่นในหลายรูปแบบ ไปจนถึงปล่อยกระบวนการคือ กรมราชทัณฑ์ปล่อยให้นักโทษซึ่งอำนวยความสะดวกสบายภายในคุก มีเครื่องอำนวยความสะดวกไปจนถึงเนรมิตภายในเป็นสวรรค์มีนางฟ้ามาบำเรอ เฉกเช่นเทวดาโดยใช้เงินซื้อเจ้าหน้าที่
2. การทุจริต คอร์รัปชันในภาครัฐ โดยมีนักการเมือง พ่อค้า และข้าราชการประจำจับมือกันโกงประเทศ
ดังนั้น ถ้าปล่อยให้มีการเลือกตั้งโดยมีพฤติกรรมองค์กรของพรรคการเมืองยังเป็นเหมือนบริบทครอบครัว และพฤติกรรมนักการเมืองอันเป็นปัจเจกเป็นเสมือนนักขุดทองเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อหวังกอบโกยประเทศและประชาชนโดยรวม คงจะแย่ลงและแย่ลงแน่นอน


