อาชญากรรมย่อมทิ้งร่อยรอยเอาไว้เสมอ แม้หลักฐานจะมีการซ่อนเร้นหรือบิดเบือนขนาดไหนก็ตาม ก็จะมีวันหนึ่งที่ความจริงจะถูกค้นพบและเปิดเผยออกมา บางทีอาจเป็นร้อยปีหรือพันปีให้หลัง หรือไม่ก็ถูกเปิดโดยคนภายใน (Whistle Blower) อย่างทันท่วงทีด้วยซ้ำ เช่น กรณีบริษัทพลังงานยักษ์ Enron ที่พนักงานฝ่ายบัญชีการเงินเป็นผู้แอบมาเปิดโปงต่อเจ้าหน้าที่ จนทำให้ Enronพังครืนลงมา รวมถึง The Pentagon Papers ที่ถูกเปิดโปงจากคนภายในเองของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่แอบซื้อขายอาวุธอย่างซ่อนเร้นทำผิดกฎหมายห้ามขายอาวุธให้แก่อิหร่านในสมัยของปธน.เรแกน
แต่อย่างกรณีของค่ายสังหารโหด Auschwitz ที่ขบวนการนาซีใช้ฆ่าชาวยิวด้วยการรมแก๊สนั้น นาซีได้แอบทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวที่นั่นนาน 5 ปี กว่ากองทัพแดงของสหภาพโซเวียตจะบุกเข้าไปปลดปล่อย-นับเป็นการปกปิดอาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนความจริงได้มาเปิดเผย ก็เมื่อสงครามโลกได้สิ้นสุดลงแล้ว
สำหรับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รัฐบาลและกองทัพอิสราเอลได้ทำกับชาวปาเลสไตน์ (ในการแก้แค้นที่นักรบฮามาสบุกสังหารชาวอิสราเอลที่เข้าร่วมงานมหกรรมดนตรียักษ์ในเช้าตรู่วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม 2566 ทำให้ชาวอิสราเอลและทหารตายเกือบ 1,200 คน และบาดเจ็บประมาณ 4,000 คน โดยมีการจับชาวอิสราเอลไปเป็นตัวประกันไปประมาณ 250 คน) ได้มีการยิงถล่มด้วยอาวุธสงครามทำลายล้างฉนวนกาซาจนอาคารต่างๆ ถูกทำลายกว่า 90% รวมทั้งโรงพยาบาล, โรงเรียน, อาคารศาสนสถาน, แหล่งน้ำ, แหล่งเพาะปลูก จนเป็นบริเวณที่ไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ต่อไป ซึ่งเป็นการกระทำอย่างเปิดเผย
จนประเทศแอฟริกาใต้ได้ยื่นฟ้อง ICJ และองค์กร NGO’S หลายแห่งร่วมฟ้อง ICC กล่าวหารัฐบาลและผู้นำอิสราเอลมีความผิดก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แบบที่แอฟริกาใต้ได้เคยถูกกระทำช่วงรัฐบาลผิวขาวปกครอง
ผู้นำและรัฐบาลอิสราเอลปฏิเสธทุกข้อหา โดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ ยืนเคียงข้างปกป้องคุ้มครองและสมรู้ร่วมคิดโดยส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปให้รัฐบาลอิสราเอลใช้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาตลอด
หลักฐานทั้งการออกคำสั่งให้ฆ่าทำลายชาวปาเลสไตน์แบบไม่เลือก (ไม่ใช่ให้ฆ่าแต่ทหารฮามาสเท่านั้น แต่ห้ามฆ่าพลเรือนปาเลสไตน์) ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กที่ถูกยิงซึ่งๆ หน้าตายเป็นหมื่นคน
หรือการทรมานชาวปาเลสไตน์ที่ถูกจับไปเข้าค่ายทหาร ส่วนใหญ่เป็นหมอและพนักงานพยาบาลของโรงพยาบาลต่างๆ ซึ่งมีคำบอกเล่าว่า ถูกบังคับให้ถอดเสื้อผ้า แล้วมีการรุมทำร้ายโดยหลักฐานจะจะนั้นดูจะหาได้ยาก เพราะรัฐบาลอิสราเอลประกาศกฎอัยการศึกและใช้กฎหมายยามสงครามมาห้ามสื่อของอิสราเอลในการรายงาน ทั้งภาพและข่าวที่ทหารอิสราเอลทำร้ายนักโทษชาวปาเลสไตน์ที่ถูกไปควบคุมตัวไว้ในค่ายทหาร แล้วทำการทรมานเพื่อรีดข้อมูล หรือบังคับให้สารภาพว่าเป็นสายลับของฮามาส...ขณะนี้ผอ.รพ.(ซึ่งเป็นหมอ) บางคนยังตามหาตัวไม่พบ ซึ่งน่าจะมีการทรมานจนตายหรือแทงบัญชีหายสาบสูญไป
จนเมื่อต้นกรกฎาคมปี 2567 ได้มีข่าวครึกโครมถึงเหล่าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของโรงพยาบาลหลายแห่งในกาซาที่ถูกจับควบคุมตัว (หลังจากทหารอิสราเอลได้ยิงระเบิดทำลายโรงพยาบาลจนพังพินาศกลายเป็นซาก; โดยให้เหตุผลว่า โรงพยาบาลเป็นฐานที่มั่นของนักรบฮามาสที่ขุดอุโมงค์อยู่ใต้โรงพยาบาล!!) ซึ่งมีการทำร้ายร่างกายสาหัสแก่กลุ่มชาวปาเลสไตน์นี้ พร้อมการล่วงละเมิดทางเพศอย่างรุนแรงโดยทหารอิสราเอลที่เป็นผู้ควบคุมค่ายทหารแห่งนี้ ด้วยการเอาท่อนไม้ตอกเข้าไปในทวารหนักของผู้ถูกควบคุม และมีดแทงร่างกายของนักโทษอย่างสาหัส
ภาพที่หาดูได้ยากนี้ ถูกบันทึกไว้ด้วยซีซีทีวีสั้นๆ โดยบังเอิญ (เพราะส่วนใหญ่ซีซีทีวีในค่ายจะมีในบางมุมที่มองไม่เห็นการทรมานเหล่านี้)
ภาพสั้นๆ นี้มีการรั่วออกมาสู่สื่อบางแห่งของอิสราเอล ขณะที่อัยการทหารสูงสุดคือ พลตรีหญิงYifat Tomer-Yerushalmi ได้มีการดำเนินคดีด้วยการสอบทหารอิสราเอล 5 นายที่อยู่ในคลิปนี้ว่า ทำผิดกฎหมายในการทรมานนักโทษ
ทหารอิสราเอล 5 คนถูกนำตัวไปควบคุมไว้เพื่อสอบสวนและส่งฟ้องศาลทหาร
ปรากฏมีชาวอิสราเอลจำนวนหนึ่งได้บุกมาหน้าสถานที่ควบคุมตัวทหารอิสราเอลทั้ง 5 คน โดยกดดันให้อัยการทหารสูงสุด พลตรีหญิงยิฟัต ให้ปล่อยตัวทั้ง 5 ทันทีเพราะพวกเขาทั้ง 5 ทำประโยชน์ให้แก่อิสราเอล ด้วยการล้างแค้นให้แก่การกระทำโหดของทหารฮามาสเมื่อ 7 ตุลาฯ ’66
รัฐมนตรีฝ่ายขวาจัดของ ครม.นายกฯ เนทันยาฮู นำโดยรมต.กลาโหมและรมต.ความมั่นคง, ต่างออกมากดดันให้อัยการทหารปล่อยตัวทหารอิสราเอลทั้ง 5 คน
ขณะเดียวกัน ก็มีการสอบสวนภายในว่า คลิปการทำร้ายร่างกายชาวปาเลสไตน์ (ในค่ายทหารที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงนี้) หลุดออกมานอกค่ายทหารได้อย่างไร? เพราะเป็นการทรยศต่อชาติ (ข้อหาร้ายแรงมาก)
จนเมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อ 31 ตุลาคม...พลตรีหญิงยิฟัต ได้เขียนจดหมายด่วนขอลาออกจากตำแหน่งอัยการสูงสุดทางทหารเป็นการลาออกอย่างกะทันหัน เพื่อรับผิดชอบต่อการที่คลิปละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ (ที่ถูกควบคุมตัวโดยยังไม่มีการตั้งข้อหา) ถูกเผยแพร่ออกมา
การลาออกของเธอ (ซึ่งเป็นนักกฎหมายมือฉกาจที่มาทำงานในตำแหน่งสำคัญนี้ตั้งแต่ 2564) เป็นการตัดหน้าคำสั่งปลดอย่างฟ้าผ่าที่กำลังจะเกิดขึ้น-จากรมต.กลาโหม (ที่เคยชื่นชมในความเป็นนักกฎหมายที่เก่งกาจของเธอ และเป็นผู้แต่งตั้งเธอมารับตำแหน่งนี้)
ขณะเดียวกัน เธอก็ได้หายตัวไปช่วงสุดสัปดาห์ โดยทิ้งรถยนต์ส่วนตัวไว้ที่ชายหาดพร้อมจดหมายที่ให้ดูประหนึ่งว่า เธอจะไปฆ่าตัวตาย...จนในที่สุดฝ่ายตำรวจและความมั่นคงก็ควานหาจนพบว่า เธอยังมีชีวิตอยู่ และได้เข้าจับกุมเธอในข้อหาร้ายแรงว่า บ่อนทำลายด้วยการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญของชาติ ซึ่งเธอจะต้องถูกสอบและดำเนินคดีในศาลทหาร หรืออาจมีการปลิดชีวิตเธอเพื่อตัดตอนจากข้อมูลด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และทำลายล้างมนุษยชาติที่กำลังดำเนินคดีที่ ICJ และ ICC
ฝ่าย NGO’S ทั้งโลกขณะนี้ พยายามเผยแพร่ข่าวนี้เพื่ออย่างน้อยก็อาจสามารถขัดขวางไม่ให้เธอเป็นอันตรายถึงชีวิตในขณะกำลังถูกควบคุมตัวเพื่อสอบสวน
นายกฯ เนทันยาฮูออกมาถล่มเธออย่างหนักว่า เธอเป็นภัยร้ายแรงของชาติ และตอบโต้ข้อกล่าวหาจากทั้งโลกว่า ตัวเขาและครม.รวมทั้งกองทัพอิสราเอลมิได้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ แต่เป็นการสร้างหลักฐานเท็จโดยปลอมภาพ
ในหน้าความคิดเห็นของนสพ. HAARETZ (นสพ.ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเนทันยาฮู) มีทั้งที่เห็นใจเธอและมองเธอเป็นวีรสตรีผู้กล้าหาญ-เป็น Whistle Blower คนสำคัญที่หันไปเปิดโปงพฤติกรรมชั่วของรัฐบาลอิสราเอล
แม้ว่าบางความเห็นก็มองว่าเธอไม่ใช่วีรสตรีหรอก เพราะตลอดเวลาที่เธอรับราชการในสำนักอัยการทหารมาตั้งแต่เธอเรียนจบกฎหมาย เธอได้เป็นตัวตั้งตัวตีช่วยทหารอิสราเอลเมื่อถูกดำเนินคดีในการกระทำผิดกฎหมายต่อชาวปาเลสไตน์มาตลอด...แต่คลิปล่าสุดนี้ เธอกำลังมองว่า ถ้าเธอไม่เปิดโปง เธอก็อาจจะตกเป็นจำเลยของ ICJ และ ICC เสียเอง จึงกลับใจมาเปิดโปงดีกว่า


