xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์โกยผลประโยชน์มหาศาลกลับบ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พบซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ของญี่ปุ่น
ขณะเขียนบทวิเคราะห์นี้ ปธน.ทรัมป์กำลังบินลงที่เกาหลีใต้ เพื่อเข้าร่วมประชุมเอเปกในฐานะเป็นชาวแปซิฟิกด้วย (สหรัฐฯ อยู่ทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก-แม้จีนจะสัพยอกว่า แปซิฟิกนี้เป็นเขตหลังบ้านจีน และคนจากแดนไกลที่ไม่ใช่เลือดเนื้อแปซิฟิก ไม่ควรเข้ามามีบทบาทสำคัญในน่านน้ำนี้ก็ตาม)

ขณะที่สหรัฐฯ จะยังไม่มีความคืบหน้าด้าน Gori’t Shut Downแม้แต่น้อย-ท่ามกลางข้าราชการที่ไม่ได้รับเงินเดือนเข้าสู่ 1 เดือนเต็มๆ และถูกตัดงบทั้งด้านรักษาพยาบาลและ Food Stamp แต่คะแนนนิยมของปธน.ทรัมป์ ดูจะยังรักษาระดับไว้ได้ในหมู่ชาวรีพับลิกัน…ดูได้จากคำสัมภาษณ์ของประธานสภาผู้แทนไมค์ จอห์นสัน ที่ตอบ (ในX) ต่อเจ้าแม่ MTG (Marjorie Taylor Green) ที่ออกมากดดันให้ประธานสภาล่างรีบเรียก สส.รีพับลิกันกลับมายังสภาฯ เพื่อเจรจากับฝ่ายเดโมแครต และนำมาสู่การสามารถผ่านงบประมาณชั่วคราว เพื่อข้าราชการจะได้รับเงินเดือนที่อั้นมาถึง 1 เดือนเต็มๆ (ด้านวุฒิสภาก็ยังคว้าน้ำเหลวในการลงคะแนนครั้งที่ 13 ที่ไม่สามารถผ่านงบชั่วคราวได้)

ประธานสภาไมค์ จอห์นสัน ตอบว่า ไม่มีความเร่งรีบที่จะเจรจากับเดโมแครต เพราะการยืดเยื้อของการ Shut Down นี้เป็นความผิดของเดโมแครตทั้งหมด ที่จะกดดดันให้สมาชิกข้างมาก (คือรีพับลิกัน) ต้องยอมยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายประกันสุขภาพคนจนก่อน-สส.เดโมแครตถึงจะยอมยกมือให้งบประมาณชั่วคราวผ่านสภาฯ ไปได้

ที่ว่าคะแนนนิยมของทรัมป์ยังรักษาระดับไว้ได้ (โดยเฉพาะในหมู่ชาวรีพับลิกัน) เพราะตลอดการเดินทางมาเยือนประเทศในแปซิฟิกครั้งนี้ (ท่ามกลางการ Shut Down ที่ผู้นำสหรัฐฯ น่าจะปักหลักอยู่ที่บ้าน-ดังเช่นสมัยทรัมป์วาระที่ 1; และอดีตปธน.สหรัฐฯ คนก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นคลินตัน, บุช, โอบามา, ทรัมป์ 1, ไบเดน ก็ตาม-เพื่อทำการเจรจาต่อรองกับฝ่ายค้านในสภาฯ เพื่อให้งบชั่วคราวออกมาจ่ายเงินเดือนเหล่าข้าราชการทั้งปวง) ทรัมป์ประสบผลสำเร็จมากในการใช้อัตรากำแพงภาษีเข้าสหรัฐฯ เป็นตัวกดดันประเทศต่างๆ เพื่อยอมอ่อนข้อให้สหรัฐฯ ในการเปิดตลาด ทั้งด้านสินค้าเกษตร, พลังงาน, รถยนต์อเมริกัน, เรือบินพาณิชย์อเมริกัน, อาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกัน ตลอดจนการลดภาษีนำเข้าไม่เพียงสินค้าจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาษีภาคบริการสำหรับบริษัทไฮเทคอเมริกันเช่น การใช้อินเทอร์เน็ตที่เหล่า MAG-7 ให้บริการในภูมิภาคแปซิฟิก-รวมทั้งการเปิดกว้างให้บริษัทอเมริกันมาลงทุนทั้งสำรวจ, ขุดเจาะ, ทำอุตสาหกรรมครบวงจรด้านแร่หายาก เพื่อแหวกวงล้อมการผูกขาดของจีนที่คุมตั้งแต่การทำเหมืองขุดเจาะไปจนถึงการจำหน่ายแร่หายากในตลาดโลก และทำให้สหรัฐฯ ต้องอยู่ใต้แรงกดดันของจีน ที่ใช้แร่หายากนี้เป็นแต้มต่อในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า การเจรจากำแพงภาษีตอบโต้ที่ทรัมป์งัดออกมาใช้ในวันที่ 2 เมษายน (วันปลดแอก-Liberation Day ของทรัมป์ที่อเมริกาจะปลดแอกจากการถูกเอารัดเอาเปรียบจากทั้งโลก ที่ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐฯ ไว้สูงลิ่ว รวมทั้ง non-tariff barriers อีกมากมาย-ขณะที่สหรัฐฯ คิดภาษีนำเข้าสินค้าจากทั้งโลกอยู่ใกล้ๆ 0% ซึ่งทำให้สินค้าอเมริกันหลายตัวไม่สามารถขายในตลาดทั้งโลก โดยเฉพาะที่จีน-ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ เช่น รถยนต์อเมริกัน เป็นต้น) ได้มีการเคาะอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว

แต่ความจริงก็คือ มีแต่กรอบกว้างๆ แต่ในรายละเอียดอัตราสินค้าและบริการของประเทศต่างๆ ยังต้องมีการเจรจากันต่อไปซึ่งในช่วงที่ทรัมป์มาเยือนเอเชียครั้งนี้ ในหลายประเทศก็ได้มีการลงนามในรายละเอียดอัตราภาษีสินค้าและบริการ ซึ่งรายละเอียดเฉพาะตัวสินค้าในหลายรายการก็ยังคงต้องเจรจากันอีกต่อไปด้วยซ้ำ

สังเกตได้ทันทีที่ทำเนียบขาวหรือรมต.คลังสก็อตต์ เบสเซนต์ หรือรมต.พาณิชย์ลัทนิค พูดว่า การเจรจารายละเอียดสินค้ากับจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ เป็นไปด้วยดีที่สามารถตกลงกันได้ นั่นคือ ประเทศเหล่านี้จะยอมเปิดตลาดให้สินค้าอเมริกันเข้าได้สะดวกขึ้นเช่น ญี่ปุ่นเพิ่มปริมาณการซื้อทั้งข้าว, ถั่วเหลือง, ข้าวโพดจากสหรัฐฯ รวมทั้งญี่ปุ่นจะลดการซื้อ LNG จากรัสเซีย แต่จะหันไปซื้อจากสหรัฐฯ แทนที่ หรือการที่นายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่นยอมเพิ่มงบกลาโหมอีกเป็น 2% ของจีดีพี ซึ่งก็หมายความว่า ญี่ปุ่นจะเพิ่มงบการซื้ออาวุธเข้ากองทัพซึ่งก็หนีไม่พ้นที่จะซื้ออาวุธจำนวนมหาศาลจากสหรัฐฯ

และยังมีที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีถูกบีบ (เพื่อแลกกับรถยนต์ญี่ปุ่นและเกาหลีจะไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 15%-เดิมอยู่ที่เกือบ 0%) ให้ต้องมาลงทุนในสหรัฐฯ-ญี่ปุ่นถูกบีบที่ 550,000 ล้านดอลลาร์ ที่จะลงทุนทั้งโรงงานรถยนต์, อุปกรณ์ชิป, ดาต้าเซ็นเตอร์, อู่ต่อเรือ, อุตสาหกรรมเหล็ก, แร่หายาก, เคมีภัณฑ์ และครุภัณฑ์ทางการแพทย์

สำหรับประเทศอินเดียซึ่งเป็นประเทศในมหาสมุทรอินเดีย-แต่เป็นประเทศคู่เจรจาของอาเซียน (ประเทศ+3, +6, +12) และเคยมาซัมมิตกับอาเซียนเสมอๆ แต่คราวนี้มีการเปลี่ยนหมายกำหนดการที่นายกฯ โมดี บอกว่า บังเอิญติดงานช้างเทศกาลแห่งแสงสว่าง-ดิวาลี-เลยขอมาทางหน้าจอ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะจะหลีกเลี่ยงการพบกันตัวต่อตัวกับจักรพรรดิทรัมป์-เพราะทรัมป์กดดันอินเดียอย่างหนัก เพื่ออินเดียจะสามารถหลุดจากภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ที่ 50% ในฐานะที่ยังนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย เพื่อเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ปูตินยังดำเนินสงครามที่ยูเครนต่อไป และทำให้วาจาของทรัมป์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรัมป์ควรจะหยุดสงครามในยูเครนได้ตั้งแต่ได้เข้ามาบริหาร

ซึ่งอินเดียก็ต้องยอมเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้สหรัฐฯ (เช่นเดียวกับจีน) บางตัวเช่น ถั่วเหลือง โดยมีเงื่อนไขจากอินเดียว่า ต้องไม่ใช่ถั่วเหลืองจีเอ็มโอ เป็นต้น

ด้วยการขยายเขตอิทธิพลของสหรัฐฯ ในบริเวณหลังบ้านจีน จะเห็นได้ชัดที่จักรพรรดิทรัมป์แสดงอำนาจอิทธิพลเต็มที่ กับการเป็นผู้ร่วมลงนามคนสำคัญใน “ประกาศ” (ตามที่รมต.ต่างประเทศของไทยพยายามอธิบายกับสื่อต่างประเทศ) หรือ “ข้อตกลงสันติภาพ” ตามที่ทรัมป์และสื่อต่างประเทศ-นอกจากจีนได้เรียกเต็มปากเต็มคำว่า “Peace Accord” หรือ “Trump’s Peace Deal”ระหว่างผู้นำไทยและกัมพูชา โดยมีนายกฯ อันวาร์ ในฐานะประธานอาเซียน กล่าวเยินยอทรัมป์ว่า เป็นผู้ที่ทำให้เกิดข้อตกลงนี้ได้...โดยมินำพาต่อบทบาทของจีนที่พร่ำแสดงกับชาวโลกว่าเป็นประเทศใฝ่หรือสร้างสันติภาพทั่วโลก รวมถึงบทบาทพยายามให้เพื่อนบ้านไทย-เขมรอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

ตบท้ายด้วยถ้อยคำเยินยอว่า ทรัมป์สมควรได้รางวัลสันติภาพโนเบล ซึ่งนายกฯ ฮุน มาเนต ได้กล่าวขณะลงนามกับไทย; พร้อมๆ กับนายกฯ ญี่ปุ่นได้กล่าวตอนท้ายของการประชุมกับทรัมป์ว่า ญี่ปุ่นจะเสนอคณะกรรมการรางวัลสันติภาพโนเบลให้มอบรางวัลให้แก่ทรัมป์ด้วย!!

เป็นการเดินทางที่ทรัมป์ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง จนเขาไม่กังวลว่าได้ละทิ้งสหรัฐฯ อยู่ท่ามกลาง Shut Down แม้แต่น้อย เพราะกำลังนำผลประโยชน์กลับบ้านมาให้ฐานเสียงของเขาอย่างอู้ฟู่

รวมทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ทำลายสถิติตลอดการรับข่าวการเจรจาการค้าการลงทุนที่เขาจะหอบกลับบ้าน ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ก็ทำลายสถิติรับข่าวข้อตกลงการค้าเช่นกัน

เรียกว่า รวยกันทั่วหน้าสำหรับทีมของทรัมป์ที่มีผลประโยชน์ทั้งส่วนตัวและของชาติผสมกันไป


กำลังโหลดความคิดเห็น