ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาเสียแล้วสำหรับสถานการณ์ของ “รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล” และ “พรรคภูมิใจไทย” ด้วยสำรวจตรวจตราดูแล้ว น่าหวั่นวิตกอยู่ไม่น้อย เพราะกำลังถูกรุมเร้าจากมรสุมเรื่อง “เทาๆ” อันเชื่อมโยงกับ “แก๊งสแกมเมอร์-แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ในประเทศกัมพูชา ที่ถูกกระแสสังคมเรียกร้องให้ตรวจสอบข้อมูลและความเชื่อมโยงของทั้งคนในรัฐบาลและคนในพรรคว่า เข้าไปข้องเกี่ยวหรือไม่ให้เป็นที่ประจักษ์แจ้ง ทว่า กลับมิได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลนายอนุทินที่เป็นรูปธรรมสักเท่าไหร่
เรียกว่า ที่ผ่านมามีการขยับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐไทยอย่าง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)-กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) หรือสำนักงานคณะกรรมการการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) และอื่นๆ” น้อยถึงน้อยมาก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะในเมื่อหัวไม่ขยับหางจะขยับไปได้อย่างไร
ดังนั้น หลายคนจึงภาวนาให้ “สหรัฐฯ” และ “เกาหลีใต้” เปิดเผยข้อมูลของบรรดา “ไทยเทา” เหล่านี้ออกมาในเร็ววัน เพื่อที่รู้กันอย่างจะแจ้งเสียทีว่า ใครเป็นใครในเส้นทางสายนี้บ้าง โดยเฉพาะบรรดา “นักการเมือง” ไม่เช่นนั้น คนพวกนี้ก็จะเสวยสุขบนความทุกข์ของคนทั้งโลกต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์อันขมึงเกลียว ก็เกิดเรื่องร้อนเบียดแทรกเข้ามาจนกลายเป็นประเด็นใหญ่และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนทั้งบ้านทั้งเมือง นั่นก็คือกรณีของ “นายวรภัค ธันยาวงษ์” ที่ถูกขุดคุ้ยเรื่องความสัมพันธ์กับ “ยิม เลียก(Yim Leak)” นักธุรกิจชาวกัมพูชา ที่มีสายสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติกับ “ตระกูลฮุน” และกำลังตกเป็นเป้าหมายของทางสหรัฐฯ กระทั่งตัดสินใจลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังไปในที่สุด แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยังคงไม่สามารถขจัดปัญหาให้คลี่คลายลงไปได้อย่างที่คิด
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะต้องไม่ลืมว่า นายวรภัคคือ “คนนอก” ที่นายอนุทินเชิญมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีด้วยตนเอง ซึ่งนั่นหมายความว่า ทั้งสองคนคงต้องมีความคุ้นเคย เห็นฝีมือและมีความไว้ใจในการทำงานพอสมควร ไม่เช่นนั้นคงไม่ชวนให้มาร่วมทำงานด้วย ไม่ใช่ลอยมาเหมือน “บิ๊กเล็ก-พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตามโควตา “ลุง” ที่ส่งต่อมาจากรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
เมื่อนายวรภัคมีปัญหาก็ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงไปถึงนายอนุทินตามไปด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา “นายกฯ หนู” พยายามลอยตัวเหนือปัญหาดังกล่าว แต่ก็รับรู้ได้ถึงสัญญาณอันน่าเป็นห่วงที่ขยายวงกว้างออกไป จนต้องสั่งให้นายวรภัคเขียนรายงานเรื่องดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรมาถึงตนเอง ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจลาออกด้วยเหตุผลอันสวยหรูว่า ไม่ต้องการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายรัฐบาล พร้อมทั้งเดินหน้าฟ้องร้องผู้ที่นำข้อมูลดังกล่าวมาเผยแพร่อย่างไม่มีละเว้น
ในวันแถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 นั้น นายวรภัคแจงว่า ตนเองมีประสบการณ์ด้านการเงินการธนาคารกว่า 30 ปี ได้รับโอกาสดำรงตำแหน่งในสถาบันการเงินระดับสูงทั้งไทยและต่างประเทศ ยืนยันไม่เคยทะเยอทะยานทางการเมือง เพียงแต่ต้องการใช้ความรู้เพื่อประเทศชาติ พร้อมทั้งได้แจกแจกถึงกรณีที่ไปข้องเกี่ยวกับ “ยิม เลียก”และเครือข่ายธุรกิจของเขาคือ BIC Group และ BIC Bank Cambodia รวมถึงข้อกล่าวหาว่าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการ Cambodian scammers โดยยอมรับว่า เคยพบกับ “ยิม เลียก” จริง แต่ไม่เคยเป็นกรรมการ กรรมการบริหาร หรือที่ปรึกษาใดๆ ของ BIC Bank Cambodia และไม่เคยรับเงินหรือผลตอบแทนใดๆ ซึ่งการที่มีการนำรูปของตนเอง และชื่อไปลงเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารนั้น ไม่เคยรับทราบมาก่อน
แปลไทยเป็นไทยคือ BIC Bank Cambodia นำรูปนายวรภัคไปเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารโดยพลการ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น นายวรภัคก็จะต้องฟ้องร้องดำเนินคดีกับ BIC Bank Cambodia เนื่องจากก่อให้เกิดความเสียหาย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏว่า นายวรภัคจะดำเนินการหรือไม่ อย่างไร
ประเด็นถัดมาคือความเชื่อมโยงกับ “บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (Finansia Syrus : FSS)”
กรณีนี้ นายวรภัคอธิบายว่า ตนเองได้เข้าซื้อหุ้น 29% ของ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ผ่าน Pilgrim Finansa ในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทุกประการ เป็นการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า management buy out โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก 2 องค์กร
ส่วนแรกเป็นเงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ชื่อ Capital Asia Investment (CAI) เป็นบริษัทจัดการกองทุน ภายใต้การกำกับดูแลของ MAS ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสิงคโปร์
และส่วนที่สอง จาก BIC Bank Lao (ซึ่งเป็นธนาคารที่ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ “Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd.” และอีก 30% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว) เพื่อเตรียมการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ทั้งนี้ วงเงินจาก BIC Laos เป็น standby facility เพื่อทำ tender แต่เนื่องจากไม่มีผู้มาขายใน tender จึงไม่มีการใช้วงเงินนี้
“BIC Bank Lao และ BIC Bank Cambodia มีความเกี่ยวพันมาอย่างไรจากในอดีต ถึงใช้ชื่อคล้ายกันนั้น กระผมไม่ทราบ กระผมทราบแต่เพียงว่าในปัจจุบันนั้น ความเป็นเจ้าของและการบริหารจัดการนั้นแยกกันเด็ดขาด BIC Bank Lao ดำเนินกิจการมานานแล้ว เป็นธุรกิจธนาคารที่ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาว และเท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ถือหุ้นใหญ่โดย บริษัท Apsara Holdings 99% และ Mr. Yim Leak 1%”นายวรภัคอธิบาย พร้อมยืนยันว่า ได้ขายหุ้นทั้งหมดเมื่อปลายปี พ.ศ. 2567 และลาออกจากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่งในบริษัท
พร้อมบอกด้วยว่า “การที่บุคคลใดจะนำชื่อของผมในอดีตไปเชื่อมโยงกับบุคคลหรือเครือข่ายใดในภายหลัง ดังนั้น การคาดเดากล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จเรื่องในความคิดตัวเองว่ากระผมเป็น Nominee หรือเป็นฟันเฟืองสำคัญของกระบวนการ scammer ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ขบวนการใส่ร้ายป้ายสีกระผมล่าสุด ยังได้เหิมเกริม ใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จกับภรรยาของกระผม ว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโต จำนวนหลายล้านเหรียญ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด กระผมขอยืนยันว่า ภรรยาของกระผมไม่เคยมีบัญชีคริปโตใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งในอดีตและปัจจุบัน และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย”
ทว่า หลังการลาออกพร้อมแถลงปฏิเสธภรรยาเขาไม่รู้เรื่องการโอนหุ้น วันรุ่งขึ้น เพจ Whale Hunting ได้นำหลักฐานการโอนหุ้น 2.94 ล้านดอลลาร์ ให้กับภรรยาของนายวรภัคร มาแสดงทันที
“สฤณี อาชวานันทกุล” นักวิจัยและนักเขียนอิสระ ซึ่งเกาะติดเรื่องนี้ โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัว Sarinee Achavanuntakul ชื่นชมการตัดสินใจที่นายวรภัค ลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง แต่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์แทนที่การฟ้องร้องใด ๆ นายวรภัครควรฟ้อง BIC Group ข้อหาแอบอ้างเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ (Board Advisor) เพราะชื่อโชว์อยู่บนเว็บไซต์องค์กร จนกระทั่งเว็บลบชื่อเมื่อราว 10 กันยายน 2568 พร้อมทั้งเรียกร้องให้สำนักงาน ก.ล.ต. เร่งขอข้อมูลจาก MAS สิงคโปร์ เกี่ยวกับ CAI, CAI Optimum Fund VCC, credit fund ตลอดรวมถึงองคาพยพทั้งหลายในสิงคโปร์ที่ถูกอ้างอิงในบทความของ Tom Wright และ ก.ล.ต. เองก็ควรตรวจสอบประเด็น ”secret takeover” ของ FSX ว่าเกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริง ก.ล.ต. เอง ก็เริ่มสอบสวนแล้วน่าจะอย่างน้อยตั้งแต่ 25 กันยายน 2568 ที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำไป
ตัดภาพกลับมาที่รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล
สถานการณ์ที่ ณ ปัจจุบันก็คือกำลังถูกบีบทุกทางให้จัดการปัญหาสแกมเมอร์ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าประเทศไทยเป็นแค่ทางผ่าน หากแต่ถูกชี้เป้าเป็น “รังใหญ่” ที่มีความเชื่อมโยงทั้งในด้านการทำธุรกิจร่วมกับ “ไทยเทา” การอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ยิ่งมหาอำนาจจีนและสหรัฐฯ ล็อกเป้าถล่มฐานสแกมเมอร์ในเมียนมาและกัมพูชา ก็ทำให้เห็นภาพเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติไหลทะลักเข้าไทย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คือ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจาก “ไทยเทา” โดยเฉพาะไทยเทาที่มีอำนาจสั่งซ้ายหันขวาหันได้ เมืองสแกมเมอร์ เมืองคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่รายล้อมประเทศไทย เช่น เมียวดี ปอยเปต ฯลฯ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
สื่อดังอย่าง The Diplomat ถึงกับระบุว่า ไทยคือสวรรค์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ซึ่งหลังจากที่นานาชาติประกาศคว่ำบาตรกลุ่มทุนและขบวนการอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชาและเมียนมา โลกเริ่มจับตาบทบาทของไทยอย่างใกล้ชิด เพราะแม้จะไม่มีศูนย์สแกมเมอร์ขนาดใหญ่ในประเทศ แต่กลับกลายเป็น “ศูนย์กลางทางกายภาพและการเงิน” ของขบวนการนี้ ขณะเดียวกันก็ถูกใช้เป็นทางผ่านหลัก ทั้งสำหรับ “เงินสกปรก” และ “แรงงานที่ถูกหลอกไปทำงานในค่ายสแกมเมอร์”
นอกจากนั้น หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้ก็มีความพยายามที่จะขุดคุ้ยความเทาๆ ของค่ายสีน้ำเงินออกมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะระดับบิ๊กๆ เช่น การเกิดของบ่อนสายตะกูรวมถึงทมอดากาสิโนที่ถูกเชื่อมโยงถึงความเป็นไปได้ว่าจะมีระดับบิ๊กๆ ของค่ายเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งทำให้ “นายกฯ หนู” ต้องเล่นบทแข็งกร้าวด้วยการประกาศว่า “ผมยืนยันว่า ผมไม่ดูว่าชื่ออะไร ตำแหน่งอะไร ถ้าพฤติกรรมมันเข้าข่ายกับการกระทำความผิดอย่างชัดเจนและถ้ามีหลักฐานของการกระทำความผิดขึ้นมา ไม่ดูชื่อครับ ใครผิดก็ต้องดำเนินการ” พร้อมกับท้าให้เปิดชื่อ “ไทยเทา” -“นักการเมืองเทา” ออกมา
ขณะที่ในทางการเมือง ดูเหมือนสถานการณ์ของรัฐบาลอนุทินก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ยิ่งเมื่อมีเรื่อง “เทาๆ” ที่ขยายวงกว้างลามมาใกล้ตัวทุกที ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดเร็วขึ้น เพราะจะกลายเป็นเป้าใหญ่ในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ จากทั้ง “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองโดยตรง และ “พรรคประชาชน” ซึ่งแม้ยกมือหนุนนายอนุทินให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไล่ล่าเปิดข้อมูลชนิดกัดไม่ปล่อยเช่นกัน ด้วยมีผลต่อการเลือกตั้งท่ามกลางสมรภูมิ 3 ก๊กที่แต่ละฝ่ายต้องการถือธงนำในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งต่อไป
ขณะเดียวกันมีการประเมินกันว่า คำขู่ของนายอนุทินว่า อาจใช้อำนาจ “ยุบสภา” เร็วกว่ากรอบข้อตกลงทางการเมือง หากมีปัจจัยแทรก อาจพุ่งเป้าไปที่พรรคส้มเป็นกรณีพิเศษว่าให้เพลาๆ เรื่อง “เทา” ลงบ้าง เพราะถ้าไม่เช่นนั้นความฝันอาจไปไม่ถึงดวงดาว
กระนั้นก็ดี ดูเหมือนว่า รัฐบาลนายอนุทินและพรรคเพื่อไทยก็เตรียมความพร้อมในเรื่องยุบสภาอย่างเต็มอัตราศึก เพราะรู้ดีถึงความเสี่ยงของรัฐบาลเสียงข้างน้อยว่าอาจพังครืนลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น ที่ผ่านมาจึงเร่งโหมกระหน่ำนโยบายประชานิยมแบบจัดหนัก เช่น นโยบาย “คนละครึ่งพลัส” พร้อมๆ กับการวางกลไกเพื่อเตรียมพร้อมสู่โหมดเลือกตั้ง ทั้งกรณีที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 20 ตุลาคมให้ความเห็นชอบ “อนันต์ สุวรรณรัตน์” และ “ณรงค์ รักร้อย” เป็นกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) คนใหม่ โดยทั้ง “2 ว่าที่กกต.” ถูกตั้งข้อสังเกตจาก “สว.เสียงข้างน้อย” ว่า อาจมีเส้นสายทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายการเมืองสีน้ำเงิน รวมทั้งการที่ “มท.หนู” จัดการโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทย “บิ๊กล็อต” เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ซึ่งถูกมองว่า เป็นการจัดวาง “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ให้สบายใจหายห่วง
ดังนั้น นับจากวินาทีนี้ คงต้องจับตาทุกความเคลื่อนไหวของรัฐบาลนายอนุทินอย่างไม่กระพริบตา เพราะว่ากันว่า นายอนุทินจะตัดสินใจยุบสภาภายในเดือนธันวาคมปี 2568 นี้ค่อนข้างแน่.


