ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ปฏิบัติการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ภายใต้รหัส “Operation Prince” ที่พุ่งเป้าถล่มรังสแกมเมอร์ซึ่งมีฐานใหญ่ในกัมพูชา กำลังส่งผลสะเทือนอย่างหนักต่อบัลลังก์ “พ่อ-ลูกตระกูลฮุน” เพราะไม่เพียงแค่ “Prince Group” และ “Huione” ที่เจอเข้าไปเต็มเปา แต่ “ยิม เลียก (Yim Leak) หนึ่งในเครือข่าย “ฮุน เซน คอนเนกชัน” ผู้ซึ่งมีเส้นสายโยงใยมาถึงกลุ่มธุรกิจและนักการเมืองไทย ยังตกเป็นเป้าหมายไล่ล่าของสหรัฐฯ ด้วย
ภาคต่อของ “Operation Prince” ซึ่งมุ่งเป้าไปที่เครือข่ายสแกมเมอร์ ด้วยการตั้งข้อหาอาชญากรรม, การยึดและอายัดทรัพย์สินครั้งประวัติศาสตร์, และมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินกับผู้เกี่ยวข้อง เมื่อกลางเดือนตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมหาศาลต่อระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภายในประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของเครือข่ายดังกล่าว
การตัดเส้นทางการเงิน ส่งผลให้เครือข่ายฟอกเงินที่โยงใยหลายประเทศต้องสะดุดลง และเป็นการกดดันให้ธนาคารและสถาบันการเงินทั่วภูมิภาค เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบธุรกรรมที่อาจเชื่อมโยงกับเงินผิดกฎหมาย
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเงินทุนมหาศาลเหล่านี้ถูกยึดและถูกสกัดกั้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภูมิภาคคือการสูญเสีย “เงินสกปรก” ที่เคยไหลเวียนหล่อเลี้ยงกิจกรรมผิดกฎหมาย ลดทอนความสามารถในการลงทุนหรือฟอกเงินของเครือข่ายอาชญากรรม และยังอาจมีผลทางอ้อมต่อภาคการลงทุนในภูมิภาค นักลงทุนและธุรกิจที่สุจริตจะมีความระมัดระวังมากขึ้นในการรับเงินทุนหรือหุ้นส่วนจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ภาครัฐในประเทศต่าง ๆ ก็อาจเข้มงวดด้านการกลั่นกรองการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเงินที่ได้จากอาชญากรรมมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของตน
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบแรกสุดมิใช่ใครอื่น แต่เป็นชาวกัมพูชาที่ฝากเงินกับ Prince bank เครือ Group Prince ต่างแห่ถอนเงินหนี หรือโอนเงินไปยังธนาคารอื่น ๆ พร้อมกัน แบบที่เรียกว่า “แบงก์รัน” กระทั่งบอร์ดบริหารของปริ๊นซ์ แบงก์ ต้องเร่งหาหนทางเพื่อถอดรายชื่อออกจากบัญชีผู้ถูกคว่ำบาตรอย่างเร็วที่สุด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจเตือนว่ามาตรการคว่ำบาตรเสี่ยงก่อปัญหาใหญ่แก่ปริ๊นซ์ แบงก์
สตีเฟน ฮิกกินส์ ผู้จัดการสถาบัน Mekong Strategic Capital ที่มีสำนักงานใหญ่ในพนมเปญ ให้สัมภาษณ์กับ CamboJA News มองว่ามาตรการคว่ำบาตรกำลังก่อปัญหาให้แก่ปริ๊นซ์แบงก์ “บางทีพวกเขาอาจยังสามารถดำเนินปฏิบัติการต่อไปได้ในส่วนของเงินเรียล แต่มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาในการปฏิบัติการในส่วนของดอลลาร์สหรัฐฯ”
ความโกลาหลจากการแห่ถอนเงินจากปริ๊นซ์ แบงก์ ทำให้ทางธนาคารแห่งชาติกัมพูชา รีบออกมารับประกันว่าสถาบันการเงินและธนาคารทุกแห่งในกัมพูชา อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดและมีสภาพคล่องเพียงพอ ที่จะตอบสนองความต้องการเงินสดของลูกค้า
ในขณะที่ปริ๊นซ์ แบงก์ เจอปัญหาโอนเงินล่าช้า มีรายงานว่าพวกผู้ใช้ อี-วอลเล็ต Huione Pay ในเครือฮุยวัน (Huione) ซึ่งเจอมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯและสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกันกับปริ๊นซ์ กรุ๊ป ได้รุดถอนเงินออกจาสาขาต่าง ๆ ในพนมเปญและสีหนุวิลล์ จ้าละหวั่น
ไม่เพียงแต่ “Prince Bank” ภายใต้ “Prince Group” ในกัมพูชาที่ลูกค้าแห่ถอนเงินออกจนส่ออาการซวนเซ เสี่ยงส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ตามมา ทั้งเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นต่อภาคการเงินของกัมพูชา ทางแบงก์เกาหลีใต้ สาขาพนมเปญ ยังยึด “เงินเทา” ของกลุ่ม Prince ที่มีอยู่ในธนาคารของเกาหลีใต้อีกด้วย
The Chosun Daily สื่อเกาหลีใต้ รายงานว่า คัง มิน-กุก สส.พรรคลังประชาชน ฝ่ายค้านของเกาหลีใต้ ได้รับรายงาน “รายละเอียดธุรกรรมระหว่างธนาคารในประเทศและปรินซ์กรุ๊ป (Prince Group) ในกัมพูชา” ระบุว่า ปริ๊นซ์ กรุ๊ป มีเงินฝากประมาณ 9.12 หมื่นล้านวอน (ราว 2.1 พันล้านบาท) ในธนาคารเกาหลีใต้ สาขากัมพูชา ประกอบด้วย ธนาคารกุกมิน ธนาคารจอนบุก ธนาคารวูรี และธนาคารชินฮัน ซึ่งหลังจากสหรัฐฯ คว่ำบาตรปริ๊น กรุ๊ป ธนาคารต่าง ๆ ของเกาหลีใต้ได้อายัดเงินฝากและจำกัดการฝากและถอนเงินของปริ๊นซ์ กรุ๊ป
ธนาคารสาขาของแบงก์เกาหลีใต้ในกัมพูชา 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกุกมิน ธนาคารจอนบุก ธนาคารวูรี ธนาคารชินฮัน และธนาคารไอเอ็ม ได้ดำเนินการธุรกรรมกับปริ๊นซ์กรุ๊ป รวม 52 รายการ มูลค่าธุรกรรมรวม 1.97 แสนล้านวอน ประมาณ 4.54 พันล้านบาท โดยธนาคารจอนบุก มีปริมาณธุรกรรมสูงสุด
นั่นเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนถึงผลกระทบจากการคว่ำบาตรปริ๊นซ์ กรุ๊ป ซึ่งส่งผลทันทีต่อภาคการเงินของกัมพูชา เนื่องจาก Prince Bank Plc และบริษัทในเครืออื่นๆ เช่น Prince Real Estate, บริษัทโฮลดิ้งและเชลล์อีกกว่าร้อยแห่ง ถูกตัดออกจากการเข้าถึงดอลลาร์สหรัฐฯและบริการการเงินระหว่างประเทศ ทำให้ความน่าเชื่อถือทางการเงินของกลุ่มธุรกิจนี้ตกต่ำลงอย่างรุนแรง
นักลงทุนต่างชาติและพันธมิตรทางธุรกิจที่เคยร่วมทุนกับกลุ่ม Prince Group ต้องทบทวนความสัมพันธ์ใหม่ทั้งหมด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรโดยไม่ตั้งใจ กรณีนี้ยังส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ในกัมพูชาต้องเพิ่มความระมัดระวังในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหรือบุคคลในเครือดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลูกโซ่คว่ำบาตรตามไปด้วย
สำหรับการตอบโต้การหลอกลวงหรือลักพาตัวพลเรือนเกาหลีใต้ไปทำงานในกัมพูชา นอกจากแบงก์เกาหลีใต้ สาขาพนมเปญ จะอายัดเงินปริ๊นซ์ กรุ๊ป แล้ว คณะกรรมการบริการทางการเงินของเกาหลีใต้ อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงินต่อบรรดาธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่มีฐานปฏิบัติการอยู่ในกัมพูชาหรือไม่ โดยจะได้ข้อสรุปเป็นรูปธรรมภายในเดือนตุลาคม 2568 นี้
ขณะเดียวกัน สมาชิกรัฐสภาจากพรรครัฐบาลเกาหลีใต้ เรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ระงับความช่วยเหลือด้านการต่างประเทศแก่กัมพูชา เพื่อเป็นการตอบโต้ ทั้งนี้ ตามข้อมูลที่รัฐบาลเกาหลีใต้เสนอต่อรัฐสภาแห่งชาติ ระบุว่า งบประมาณที่จัดสรรให้กับโครงการต่าง ๆ ในกัมพูชาเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเป็นกว่า 430,000 ล้านวอน หรือกว่า 10,000 ล้านบาทในปี 2568 จากประมาณ 170,000 ล้านวอน หรือกว่า 4,000 ล้านบาทในปี 2565
ปริ๊นซ์ อินเตอร์ฯ – บิ๊กอสังหาฯ ในไทย ปัดไม่เกี่ยว
ผลกระทบจากการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ยังได้ปรากฏชัดเจนในภาคอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนภายในประเทศกัมพูชา เพราะเครือ Prince Group มีโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่หลายแห่งในกัมพูชา การที่ทรัพย์สินและบัญชีของบริษัทถูกอายัดและกิจการหยุดชะงัก ทำให้โครงการก่อสร้างหรือพัฒนาอสังหาฯ บางส่วนอาจชะลอตัวหรือหยุดลง
ส่วนนักลงทุนที่ซื้อคอนโดมิเนียมหรืออสังหาฯ จากโครงการของ Prince Group อาจเกิดความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายและการเงินของโครงการเหล่านั้น ธุรกิจคู่ค้าตั้งแต่ผู้รับเหมา วัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงบริษัทจัดการอสังหาฯ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการของ Prince Group อาจได้รับผลกระทบด้านรายได้และสภาพคล่อง หากการจ่ายเงินถูกระงับหรือล่าช้าอันเป็นผลจากการอายัดทรัพย์สิน
แต่ที่เรื่องที่กระทบชิ่งมายังประเทศไทยและฮือฮากันอย่างมากก็คือ กรณีที่นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคประชาชน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุข้อมูลจากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและเว็บไซต์บริษัทฯ ตรงกัน คือ บริษัท ปริ๊นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Prince International) ตั้งอยู่ที่อาคารอาคารซิโน-ไทยทาวเวอร์ ( Sino-Thai Tower ) เลขที่ 32/28 ถนนสุขุมวิท 21 (อโศก) พร้อมแนะนำให้เจ้าของอาคารพิจารณายกเลิกสัญญาเช่าเพื่อป้องกันความเสื่อมเสีย
กรณีดังกล่าว สังคมอาจเกิดความเข้าใจว่า ปริ๊นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนลฯ เชื่อมโยงกับนายเฉิน จื้อ ผู้ก่อตั้งและประธานบริษัท ปริ๊นซ์ กรุ๊ป ซึ่งถูกทางการสหรัฐกล่าวหาในคดีฉ้อโกงและฟอกเงิน จากการดำเนินศูนย์สแกมเมอร์โดยใช้แรงงานบังคับในประเทศกัมพูชา
หลังตกเป็นประเด็นร้อน บริษัท ปริ๊นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกพาดพิง ยืนยันว่าประกอบธุรกิจอย่างถูกต้อง และไม่เคยพัวพันกับธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ทางบริษัทฯ ยอมรับเคยเป็นพันธมิตรทางการค้ากับบริษัท บจก.ปริ๊นซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในไต้หวัน และทำธุรกิจเป็นนายหน้าเพื่อหาผู้ไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของเครือบริษัทปริ๊นซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ในกัมพูชา
ขณะเดียวกัน บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริง แอนด์ คอนสตรัคชัน จำกัด (มหาชน) ในนามของผู้กำกับดูแลบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัท เอช ที อาร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบอาคาร ซิโน-ไทย ทาวเวอร์ ชี้แจงว่า บริษัทฯ มิได้มีความเกี่ยวข้องในการประกอบกิจการใด ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม กับ บริษัท ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือเครือข่ายการกระทำผิดกฎหมายทุกรูปแบบ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมอันผิดกฎหมายใด ๆ
บริษัท ปริ๊นซ์ อินเตอร์ฯ ในไทย จะเชื่อมโยงกับปริ๊นซ์ กรุ๊ป ของนายเฉิน จื้อ หรือไม่ สื่อหลายสำนักกำลังขะมักเขม้นตามแกะร่องรอยเพื่อหาความเกี่ยวพัน
ขณะเดียวกัน บริษัทสังหาริมทรัพย์ในไทย อย่างน้อย 3 บริษัท ต่างออกมาชี้แจงปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่ามีชื่อของนายเฉิน จื้อ และ ปริ๊นซ์ กรุ๊ป เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด แจ้งว่าบริษัทฯ ไม่เคยมีธุรกรรมใด ๆ กับนายเฉิน จื้อ และ Prince Holding Group เช่นเดียวกันกับบริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) ชี้แจง ไม่เคยมีการทำธุรกรรม การร่วมลงทุน หรือการถือหุ้นใด ๆ กับ Mr. Neak Oknha Chen Zhi และ Prince Holding Group ส่วนบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ก็แจ้งในทำนองเดียวกัน
การไล่ล่า ปริ๊นซ์ กรุ๊ป ของสหรัฐฯ ที่ทำให้บริษัทอสังหาฯ และนายหน้าอสังหาฯ ในไทยต้องรับแรงสั่นสะเทือนด้วยนั้น ล่าสุด นายดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด (กมธ.ปปง.) สภาผู้แทนราษฎร ได้ออกแอคชั่น จะตรวจสอบว่าผู้บริหาร Prince Group มีรายชื่อเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยหรือไม่ คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้ จะมีความคืบหน้ามากขึ้น โดยเบื้องต้น กมธ.ฯ เชื่อว่า นายเฉิน จื้อ ซึ่งถูกยึดทรัพย์ในสหรัฐฯและสหราชอาณาจักร น่าจะมีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับบริษัทหลายแห่งในประเทศไทย
สหรัฐฯ ตามฟัด “ยิม เลียก” เครือข่าย ฮุน เซน
นอกเหนือจากนายเฉิน จื้อ - ปริ๊นซ์ กรุ๊ป และกลุ่มฮุยวัน ที่ถูกสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรคว่ำบาตรแล้ว ในร่างกฎหมายที่นายชรีฟ เจฟเฟอร์สัน สส.จากพรรครีพับรีกัน รัฐอินเดียนา เสนอต่อรัฐสภาของสหรัฐฯ เพื่อจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อปราบปรามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ฉ้อโกงชาวอเมริกัน ยังปรากฏชื่อของ ยิม เลียก (Yim Leak) ที่มีสายสัมพันธ์ฉันท์เครือญาติใน “ตระกูลฮุน” ตกเป็นเป้าหมายด้วย
ยิม เลียก เป็นนักธุรกิจชาวกัมพูชาที่มีบทบาทโดดเด่นในภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์ เขาเป็นประธานกลุ่มบริษัท BIC Group ซึ่งมีธุรกิจธนาคาร B.I.C. Bank ในกัมพูชา และลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น One Phnom Penh และยังเป็นเจ้าของบริษัท Kulen Property Group
ความสำเร็จทางธุรกิจของยิม เลียก ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นภายใต้เงาของสายสัมพันธ์ทางเครือญาติและการเมืองกับครอบครัวฮุน เซน โดย ยิม เลียก เป็นบุตรชายคนเล็กของ ยิม ไซรี (Yim Chhaily) ผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลฮุน เซน และเป็นคนใกล้ชิดที่ ฮุน เซน ไว้เนื้อเชื่อใจมาตลอด
นอกจากนี้ พี่สาวของยิม เลียก ชื่อ ยิม ไช ลิน (Yim Chhaylin) ได้สมรสกับ ฮุน มานี บุตรชายคนที่ 4 (บุตรชายคนเล็ก) ของสมเด็จฮุน เซน
กล่าวได้ว่ายิม เลียก อยู่ใน “ครอบครัวขยาย” ของตระกูลฮุนโดยตรง เพราะเป็นน้องชายของสะใภ้ในตระกูลผู้นำประเทศ ความเกี่ยวดองนี้ทำให้กลุ่ม BIC Group ของ ยิม เลียก ถูกจับตามองว่าเป็น “ไม้ใหญ่ในร่มเงาตระกูลฮุน” ซึ่งได้รับอานิสงส์ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ
สำหรับ ยิม ไซรี ผู้ซึ่งเป็นบิดาของยิม เลียก นอกจากเคยเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีพัฒนาชนบท ยังมีบทบาทเป็นประธานสภาฟื้นฟูและพัฒนาชนบท ในยุครัฐบาลฮุน เซน อีกทั้งสื่อกัมพูชาระบุว่า ยิม ไซรี เป็นเพื่อนสนิทของสมเด็จฮุน เซน มายาวนาน
ดังนั้น “ครอบครัวยิม” จึงถือเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของตระกูลผู้นำมาตั้งแต่ยุคพ่อ ส่งผลให้ลูก ๆ ของยิม ไซรี ทั้งสี่คนก้าวเข้าสู่แวดวงอำนาจอย่างราบรื่น ไม่ว่าจะในกองทัพ รัฐบาล หรือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ ยิม เลียก ที่เติบโตในภาคธุรกิจการเงิน-พลังงาน ขนาบข้างด้วยเครือข่ายนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ถึงขั้นมีตระกูลนักธุรกิจไทยหลายรายเข้าร่วมถือหุ้นลงทุนกับเครือบริษัทของเขา
ในแง่อิทธิพลทางธุรกิจที่สอดประสานกับการเมืองนั้น การที่ ยิม เลียก เป็น “ลูกท่านหลานเธอ” ในชนชั้นนำ ทำให้เขาได้รับโอกาสทางธุรกิจขนาดใหญ่หลายโครงการ ตัวอย่างเช่น ธนาคาร B.I.C. ที่เขาร่วมก่อตั้งสามารถเติบโตจนไปลงทุนซื้อหุ้นสถาบันการเงินในตลาดหลักทรัพย์ไทย นั่นคือ บริษัท Finansia X หรือ FSX) ได้ถึง 9.9991% ก่อนจะขายออกในเวลาต่อมา
“ปราบโชว์” NO “ปราบจริง”
ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยา และมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสังเกตว่า การแซงก์ชั่นของสหรัฐฯกับอังกฤษต่อเครือข่าย Prince Group ของเฉินจื้อ ตลอดจนการ exercise กวาดจับโชว์ชาวโลกของกัมพูชา หลังถูกแรงกดดันจากรัฐบาลเกาหลีใต้ แม้จะทำให้กิจการอาชญากรรมของเครือข่ายนี้ชะงักไปชั่วขณะ แต่ภายในไม่กี่เดือนหลังจากนี้ เครือข่ายนี้จะกลับมาปฏิบัติการเหมือนเดิม
ถ้าอยากรู้ว่าเหตุผลคืออะไร ก็โปรดอ่านคำสัมภาษณ์ของรัฐมนตรีมหาดไทยของกัมพูชา เพราะจวบจนปัจจุบัน รัฐบาลกัมพูชา ยังไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้นกับกลุ่มองค์กรนี้ นอกจากกวาดจับอุปกรณ์โชว์ไปวัน ๆ ไม่มีการประกาศให้เป็นอาชญากร ไม่มีการถอนสัญชาติ ถอนตำแหน่งที่ปรึกษา ตำแหน่งออกญาใด ๆ ทั้งสิ้น ในทางปฏิบัติ เฉินจื้อ ยังคงเป็นพลเมืองกัมพูชา ที่เดินทางไปที่ใดก็ได้ และเครือข่ายของเขา ก็ยังคงทำงานได้เป็นปกติในกัมพูชา เพียงแต่ตอนนี้หลบไปให้เรื่องซาเสียก่อนเท่านั้น
เช่นเดียวกับจ้าวเหว่ย และเครือข่ายอาชญากรรมของเขาในสามเหลี่ยมทองคำของลาว ที่ถูกสหรัฐฯแซงก์ชั่นไปเมื่อหลายปีก่อน นอกจากจะไม่ได้รับผลสะเทือนใด ๆ แล้ว เขายังได้รับรางวัลเกียรติยศต่าง ๆ มากมายอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลลาว และถูกยกย่องให้เป็นผู้สร้างคุณูปการทางเศรษฐกิจต่อประเทศลาวอย่างยิ่งยวด โครงการของเขาขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง ว่าง ๆ ก็เปิดให้ตำรวจเข้าไปกวาดล้างพวกสแกมเมอร์ที่มาเช่าตึกของเขาเป็นระยะ ลดแรงเสียดทานจากภูมิภาคเสียหน่อย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ในชเวโก๊กโกะ และ KK Park ในพม่า คนในเครือข่ายเหล่านี้ ไม่เคยถูกประกาศให้เป็นอาชญากรใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะจากรัฐบาลเมียนมา หรือรัฐบาลไทย และดังนั้นจึงเข้าออกเมียนมาและไทยได้อย่างสะดวกโยธิน
ถ้าถามว่าทำไม ก็เพราะเศรษฐกิจของเครือข่ายอาชญากรรมนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรัฐของประเทศเหล่านี้อย่างแกะไม่ออก ใครมันจะยอมทุบหม้อข้าวตัวเอง กรณีไทยก็เป็นเช่นเดียวกันนั่นแหละ


