xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

คลายล๊อก Craft Beer บรรจุกระป๋อง หนุนผู้ประกอบรายย่อย ดัน Soft Power

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  จับตา “คลายล๊อคคราฟท์เบียร์ (Craft Beer) บรรจุกระป๋อง” ล่าสุด กรมสรรพสามิต อยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขลดการผูกขาดผลิตเบียร์กระป๋อง เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงธุรกิจง่ายขึ้น สอดรับนโยบายสุราชุมชนดันอุตสาหกรรมคราฟท์เบียร์ไทยชิงส่วนแบ่งตลาดน้ำเมาแสนล้าน 

เป็นที่ทราบกันว่า การผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทยอยู่ภายใต้ข้อจำกัดทางกฎหมาย ส่งผลให้การผลิตสุราอยู่ภายใต้การผูกขาดของทุนรายใหญ่ โดยที่ประชาชนทั่วไปในระดับชุมชนไม่สามารถเข้าสู่ระบบการผลิตและจำหน่ายสุราได้ โดยภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลัง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงตลาดสุราได้อย่างถูกกฎหมาย เคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้าง Soft Power สู่เวทีโลก

ประเด็นการปลดล็อกสุราไทยกับฝันใหญ่ผลักดันคราฟท์เบียร์ไทยขึ้นแท่น Soft Power ขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นโดยภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้แรงหนุนจากภาครัฐ มีการเคลื่อนไหวอย่างน่าจับตา ล่าสุด เตรียมดำเนินการปรับปรุงระเบียบเปิดทางผู้ประกอบการรายเล็กผลิต คราฟท์เบียร์ (Craft Beer) บรรจุกระป๋อง ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงธุรกิจผลิตเบียร์ง่ายขึ้น โดยเฉพาะการผลิตเบียร์บรรจุกระป๋อง

สืบเนื่องจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติรับทราบการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีการไม่ออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ หลัง ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) รายงานว่า บริษัทเอกชน (ผู้ร้องเรียน) ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากกรมสรรพสามิตให้ประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ ประเภทผลิตและจำหน่าย ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 ณ สถานที่ผลิตที่ได้รับอนุญาต โดยมีการกำหนดขอบเขตการผลิตไว้ระหว่าง 100,000 - 1,000,000 ลิตร/ปี และมีเงื่อนไขไม่ให้ดำเนินการบรรจุภาชนะหรือจำหน่ายสุราภายนอกสถานที่ผลิต ต่อมา กระทรวงการคลัง (กค.) ได้ออกกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 กำหนดให้โรงงานที่มีลักษณะเหมือนกับโรงงานของผู้ร้องเรียนอยู่ภายใต้กฎกระทรวงฯ ข้อ 16 (1)(ก) ผลิตและจำหน่าย ณ สถานที่ผลิต (ไม่บรรจุภาชนะที่ติดเครื่องหมายเสียภาษี)

โดยผู้ร้องเรียนระบุ ตนมีคุณสมบัติและเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้ในข้อ 16 (1)(ข) คือผลิตและจำหน่ายนอกสถานที่ผลิต (บรรจุภาชนะที่ติดเครื่องหมายเสียภาษี) ของกฎกระทรวงดังกล่าว จึงได้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ พร้อมทั้งแสดงหนังสือตอบข้อหารือจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ว่าโรงงานของผู้ร้องเรียนมีกำลังการผลิตเพียง 210,000 ลิตร/ปี และไม่อยู่ในข่ายกิจการที่ต้องจัดทำรายงาน EIA ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ

ทว่า กรมสรรพสามิตมีคำสั่งไม่อนุญาตตามคำขอดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าตามข้อ 16 (1)(ข) แห่งกฎกระทรวงฯ กำหนดให้ผู้ขออนุญาตต้องจัดทำและได้รับความเห็นชอบในรายงาน EIA อย่างเป็นทางการและหนังสือหารือจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ถือเป็นรายงาน EIA ตามที่กฎหมายกำหนด กรมสรรพสามิตจึงเห็นว่า คำขอรับใบอนุญาตไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงดังกล่าว จึงมีคำสั่งไม่อนุญาต และเมื่อคำอุทธรณ์ของผู้ร้องเรียนไม่ปรากฏพฤติการณ์อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม กระทรวงการคลังจึงวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ร้องเรียน ต่อมา ผู้ร้องเรียนจึงยื่นเรื่องร้องเรียน กค. และกรมสรรพสามิต กรณีไม่พิจารณาออกใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ให้แก่ผู้ร้องเรียนเนื่องจากไม่มีรายงาน EIA

ทั้งนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แสวงหาข้อเท็จจริงโดยการลงพื้นที่และประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นร่วมกันว่า ข้อกำหนดตามข้อ 16 (1) (ข) แห่งกฎกระทรวงฯ ออกตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มีลักษณะที่ทำให้ผู้ประกอบการกิจการผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ขนาดกลางและขนาดเล็กไม่สามารถได้รับใบอนุญาตผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ได้

จึงควรปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าวเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตเบียร์ของไทยให้มีความเข้มแข็ง มีมาตรฐานที่ดี ลดอุปสรรคและภาระแก่ผู้ผลิตเบียร์ภายในประเทศ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เบียร์ให้มีความหลากหลายและมีราคาที่เป็นธรรมสำหรับผู้บริโภค โดยอาจกำหนดเงื่อนไขในการขออนุญาตและมาตรการควบคุม กำกับ และดูแลการประกอบกิจการที่แตกต่างกันตามขนาดการผลิต

ขณะเดียวกัน ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 230 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 22 (3) และมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 เสนอ ครม. รับทราบกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะ ดังนี้

1) ให้มีการพิจารณาทบทวนแนวทางการพิจารณากฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 153 โดยไม่กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อาจเป็นการเลือกปฏิบัติหรือผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระเกินสมควร

2) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำมาตรการสนับสนุนประชาชนฐานรากให้เข้าถึงแหล่งทุนและตลาดอย่างเป็นธรรมเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเบียร์

และ 3) ให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม โดยให้กระทรวงการคลัง (กค.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ

 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับข้อเสนอผลการวินิจฉัยของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน หลังจากมีผู้ไปร้องเรียนกรณีที่กรมสรรพสามิต ไม่ออกใบอนุญาตให้กับผู้ผลิตสุราแช่ชนิดเบียร์ และมอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปพิจารณาปรับปรุงประกาศของกรมฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงธุรกิจผลิตเบียร์ โดยเฉพาะการผลิตเบียร์บรรจุกระป๋อง ได้มีเข้าถึงธุรกิจในลักษณะนี้โดยง่ายขึ้น

โดย ครม .เห็นชอบข้อเสนอผู้ตรวจการแผ่นดิน สั่งกรมสรรพสามิตเร่งแก้กฎผลิตสุรา พ.ศ. 2565 เพื่อเปิดทางผู้ประกอบการรายย่อยผลิตเบียร์ได้ หลังพบข้อจำกัดทำให้รายเล็กไม่สามารถขออนุญาตได้ ครม.มอบกระทรวงการคลังสรุปผลเสนอภายใน 30 วัน

ทั้งนี้ กฎหมายเดิมได้กำหนดเอาไว้และเป็นอุสรรคต่อผู้ประกอบการรายเล็ก เนื่องจากที่ผ่านมามีกฎหมายกำหนดเกี่ยวกับการผลิตเบียร์ว่าจะต้องมีกำลังการผลิตสูง แต่เมื่อมีการปรับปรุงกฎหมายในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดขนาดแรงม้าของเครื่องจักรเอาไว้ รวมทั้ง ติดขั้นตอนการรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่สามารถทำธุรกิจได้สะดวก

หลังที่ประชุม ครม. ได้รับข้อเสนอผลการวินิจฉัยของสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปพิจารณาปรับปรุงกฎกระทรวงในเรื่องนี้ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อไป เพื่อให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงธุรกิจผลิตเบียร์ โดยเฉพาะการผลิตเบียร์บรรจุกระป๋อง

แต่อย่างไรก็ตาม ในการกำกับดูแลธุรกิจการผลิตเบียร์ ทางกรมสรรพสามิต ยังมีเกณฑ์การตรวจสอบเรื่องของคุณภาพอยู่เช่นเดิม ขอให้ไปพิจารณาปรับปรุงกฎกระทรวงในเรื่องนี้ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อไป

ปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ได้ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาตามกระบวนการนิติบัญญัติ และได้ประกาศเป็น พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 มีสาระสำคัญ คือ การแก้ไขมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 กำหนดให้ผู้ประสงค์จะผลิตสุราหรือมีเครื่องกลั่นไว้ในครอบครอง ต้องยื่นคำขออนุญาตต่ออธิบดีกรมสรรพสามิต และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ประกาศกำหนดในกฎกระทรวง ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงมาตรฐานการผลิตสุรา และต้องสนับสนุนให้สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร หรือผู้ประกอบการรายย่อย สามารถขอรับใบอนุญาตผลิตสุราเพื่อการค้า โดยนำสินค้าเกษตรในประเทศมาผลิตเป็นสุราทุกประเภทที่อาจมีสีหรือมีกลิ่นได้

แต่มิให้กำหนดหลักเกณฑ์ใดในการพิจารณาออกใบอนุญาตที่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยไม่เป็นธรรม หรือสร้างภาระเกินสมควร เว้นแต่เป็นการกำหนดสัดส่วนความเป็นเจ้าของของบุคคลซึ่งมิใช่บุคคลสัญชาติไทย หรือเป็นการผลิตสุราของรัฐวิสาหกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการผลิตสุรา หรือเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบอุตสาหกรรมรายย่อยซึ่งกรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างดำเนินการยกร่างกฎกระทรวงเพื่ออนุญาตให้ประชาชนหรือชุมชนสามารถผลิต “สุราสี” (สุราที่มีสีและกลิ่น) รวมถึงมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสุราชุมชนให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าหากมีการยกร่างกฎกระทรวงครอบคลุมในทุกมาตรการแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญกับกลุ่มสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร หรือผู้ประกอบการรายย่อย คือ สามารถผลิตสุราได้ทุกประเภท เช่น จิน รัม บรั่นดี วิสกี้ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยก่อนที่จะมีการแก้ไขกฎหมายการผลิตสุราถูกจำกัดให้ผลิตเฉพาะสุราพื้นบ้าน

และสามารถขายเบียร์บรรจุกระป๋องหรือขวด (Craft Beer) โดยยกเลิกข้อกำหนดปริมาณกำลังการผลิตขั้นต่ำสำหรับการผลิตเบียร์แบบบรรจุขวดหรือกระป๋องเพื่อจำหน่าย ซึ่งก่อนที่จะมีการแก้ไขกฎหมายกลุ่มสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร หรือผู้ประกอบการรายย่อย สามารถขายเบียร์เฉพาะแบบสด (Draft Beer) เท่านั้น และผู้ประกอบการที่ประสงค์จะผลิตเบียร์แบบบรรจุขวดหรือกระป๋องต้องมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 1 แสนลิตรต่อปี

รวมทั้ง ยกเลิกข้อกำหนดปริมาณขั้นต่ำในการขออนุญาตผลิตสุรากลั่น ชนิดสุราพิเศษ เช่น วิสกี้ บรั่นดี และจินเพื่อจำหน่าย โดยก่อนที่จะมีการแก้ไขกฎหมาย ผู้ประกอบการต้องมีกำลังการผลิตไม่น้อยกว่า 30,000 ลิตรต่อวัน อันเป็นอุปสรรคต่อธุรกิจขนาดเล็ก

 กล่าวสำหรับมูลค่าการตลาดสุราในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5 แสนล้านบาท ประเมินอนาคตผลิตภัณฑ์สุราชุมชนรวมถึงอุตสาหกรรมคราฟท์เบียร์จะมีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น 5 - 10% หรือ 25,000 - 50,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 1% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดน้ำเมาหลายแสนล้าน 

ดังนั้น หลังจากปลดล็อกเงื่อนไขข้อจำกัดทางกฎหมายต่างๆ แล้ว ย่อมส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนแบ่งตลาดคราฟท์เบียร์ไทย ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้มีโอกาสในการประกอบธุรกิจมากขึ้น มีศักยภาพต่อยอดผลิตภัณฑ์ผลักดันสู่ Soft Power ของไทยได้ แต่ในความเป็นจริงผู้ประกอบการยังพบอุปสรรคบางประการ


อย่างไรก็ดี มีความเคลื่อนไหวจากทางผู้ประกอบการดำเนินเพิ่มศักยภาคตลาดคราฟท์เบียร์ไทยต่อเนื่อง ล่าสุด นายณัฐชัย อึ๊งศรีวงศ์ นายกสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ ยื่นร้องเรียนผ่าน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เกี่ยวกับการผลักดันกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการคราฟท์เบียร์ ช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศควบคู่ไปกับภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยว และ Supply Chain อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. การออกใบอนุญาตโรงเบียร์ขนาดเล็ก ให้แก้ไขระเบียบข้อบังคับที่สามารถให้บรรจุ และจัดจำหน่ายนอกสถานที่ผลิตได้ เช่นเดียวกับสุราแช่ประเภทอื่น โดยไม่มีเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคแก่ผู้ผลิตรายย่อย

2. ช่วงเวลาห้ามขาย 14.00 - 17.00 น. ยังไม่มีการยกเลิกโดยทั่วไป อันเป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยวและการประกอบอาชีพของผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก

3. กฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออนไลน์ ซึ่งได้เคยมีการตั้งคณะทำงาน โดยคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เพื่อพิจารณายกเลิกข้อห้าม และออกแบบการควบคุมที่เหมาะสม แต่ได้มีการหยุดทำงานชั่วคราว เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ทำให้ไม่มีประธานผู้ดำเนินการประชุม จึงต้องการให้มีการแก้ไขปัญหา

ขณะที่ บริษัท หลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)เปิดเผยรายงานเกี่ยวกับปลดข้อจำกัดเอื้อธุรกิจสุราเพื่อเพิ่มรายได้ชุมชน ผลักดันสู่หนุน Soft Power ของประเทศไทย นับป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในระดับโครงสร้างสำคัญๆ อาทิ ด้านรายได้ชุมชน รัฐบาลสร้างเครื่องจักรทางเศรษฐกิจตัวใหม่ ภาครัฐกำลังใช้สุราชุมชนเป็น Soft Power และ GDP Multiplier

ทั้งนี้ การเปิดเสรีครั้งนี้ไม่ใช่แค่ปลดล็อกธุรกิจ แต่คือการสร้างเครื่องจักรเศรษฐกิจรากฐาน ให้สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ (Commercial Micro-Industry) เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่นดัน Sake, เกาหลีใต้ Soju คาดการณ์ GDP Multiplier 1.6-2.0 เท่า ต่อธุรกิจคราฟท์เบียร์หนึ่งแห่ง ซึ่งมาจากการจ้างงาน, วัตถุดิบท้องถิ่น, บริการรองรับ เป็นต้น

ด้านการเกิดใหม่ของเศรษฐกิจ SMEs พลิกชุมชนเป็นผู้ผลิต มูลค่าหมุนเวียนใหม่เกิดขึ้น การเปิดเสรีให้ใช้ถัง Keg จำหน่ายนอกสถานที่ทั่วประเทศ เป็นโอกาสทางรายได้ระดับหมู่บ้าน สร้างธุรกิจใหม่ในชนบท ได้แก่ โรงต้มคราฟท์เบียร์, โฮมสเตย์-เบียร์, จุดท่องเที่ยวตามรอยสุราท้องถิ่น ส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนระดับท้องถิ่นด้วยการใช้ผลผลิตข้าว, ข้าวโพด, มันสำปะหลัง เป็นต้น

ด้านการใช้ Soft Power แบบ Local Intelligence อุตสาหกรรมใหม่ของไทยที่รัฐหนุนเต็มตัว การยกระดับข้อกำหนดระยะห่างจากแหล่งน้ำสาธารณะ เปิดโอกาสให้ตั้งโรงงานได้ทั่วประเทศ เป็นการแก้ Pain Point สำคัญของ startup/SMEs ที่ถูกจำกัดสิทธิมานาน โดยคาดว่าจะเห็นการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ของผู้ผลิตในภาคเหนือ อีสาน และภาคตะวันตก ที่มีวัตถุดิบหลากหลายขึ้น และด้านการสร้าง S-Curve ใหม่ให้กลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว, บรรจุภัณฑ์, ค้าปลีก และเครื่องดื่ม ในมุมกลยุทธ์ ตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์เชิงบวกระยะกลางถึงยาว

สุดท้าย สิ่งสำคัญการผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับคราฟท์เบียร์ไม่ใช่เพื่อสนับสนุนเพิ่มการบริโภค แต่มุ่งเน้นการสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์สร้าง Soft Power สู่เวทีโลก คงต้องติดตามกันว่าภาครัฐจะจัดการเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคกีดขวางผู้ประกอบรายย่อยอย่างไร หรือจะปล่อยให้ยักษ์ใหญ่วงการน้ำเมารุกตลาดคราฟท์เบียร์เพียงเท่านั้น



กำลังโหลดความคิดเห็น