xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จับปรับ “พ่อค้าไก่ปิ้ง 1.5 แสนบาท” จับตา พ.ร.บ.อากาศสะอาด คุมมลพิษ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  เกิดข้อถกเถียงกรณีฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่น “จับปรับ พ่อค้าไก่ปิ้ง 159,000 แสนบาท” โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ.2535 ดำเนินการหลังรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบพื้นที่ รวมทั้ง ข้อกังวลหาก พ.ร.บ.อากาศสะอาด มีผลบังคับใช้ โทษปรับสูงหลักล้าน และทั้งหมดนี้ ถูกสังคมมองว่า... รัฐใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ รังแกคนหาเช้ากินค่ำหรือไม่!!?? 

ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อ “เทศบาลนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี” ได้ส่งหนังสือถึงผู้ประกอบการรายย่อย  “พ่อค้าขายไก่ปิ้ง - หมูปิ้ง” ในเขตพื้นที่ฯ ให้ไปเสียค่าปรับสูงถึง 159,000 บาท ในส่วนของรายละเอียดพบว่า  นายธวัชชัย เทพสุทิน และ น.ส.โชติภัทร เทพสุทิน คู่สามีภรรยาวัย 25 ปี ดำเนินกิจการค้าขายไก่ปิ้ง – หมูปิ้ง ตั้งแต่ปี 2563 กระทั่ง ช่วงปลายปี 2567 เกิดการร้องเรียนจากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบบริเวณใกล้เคียง นำสู่การลงพื้นที่ตรวจสอบของทางเทศบาลฯ

โดยเจ้าหน้าที่จากเทศบาลฯ เดินทางเข้าเข้ามาตรวจสอบและประเมินว่าประกอบกิจการไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น การวางถุงไก่สดไว้ที่พื้น หรือกรณีที่มีลูกจ้างมานั่งเสียบไก่หน้าบ้าน หลังจากได้รับคำเตือน ได้พยายามปรับปรุงแก้ไขแล้ว ซึ่งทางเทศบาลให้ตนทำบ่อดักไขมันเพิ่ม หลังแก้ไขแล้วได้มีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบครั้งที่ 2 ก็ไม่ผ่าน ทั้งเรื่องกล่องพัสดุที่ใส่ไก่ไม่ได้คุณภาพ โดยให้คำแนะนำว่าต้องมีตู้แช่อาหารแบบเป็นชั้น และติดตั้งถังดับเพลิงด้วย ซึ่งเจ้าตัวเปิดเผยว่าไม่มีทุนมากพอ

ต่อมา มีหนังสือเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา เบื้องต้นได้เดินทางไปยังเทศบาลฯ เพื่อสอบถามทางควรต้องทำอย่างไร โดยเจ้าหน้าได้แจ้งว่าให้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหาและจะต้องเสียค่าปรับอาจจะไม่มาก ทั้งคู่จึงคิดว่าน่าจะสามารถจ่ายค่าปรับจำนวนดังกล่าวได้

กระทั่ง มีหนังสือแจ้งค่าปรับส่งมาถึงบ้านเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2568 เรียกจ่ายค่าปรับสูงถึง 159,000 บาท ซึ่งรู้สึกว่ามันมากเกินไป เพราะขายไก่ปิ้ง หมูปิ้ง 1 ปี ยังไม่สามารถหารายได้เท่านี้ได้เลย

จุดเริ่มต้นเกิดจากการร้องเรียนไปยังเทศบาลนครปกเกร็ด โดย  ป้าอี๊ด  อายุ 70 ปี เพื่อนบ้านผู้ร้องเรียน (คู่กรณี) ได้เปิดเผยว่ามีปัญหากับลูกจ้างของบ้านที่ขายไก่ปิ้ง, หมูปิ้ง ที่อยู่ติดกับบ้านของตน จึงร้องเรียนไปที่เทศบาล จากนั้นมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบและพบว่าบ้านหลังดังหล่าว เปิดกิจการโดยไม่ขออนุญาต ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายและความผิด พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม โดยมีการนั่งเสียบหมูหน้าบ้าน และสูบบุหรี่

และที่ผ่านมาตนไม่เคยเข้ามาพูดคุยกับคู่กรณีเพราะทุกคนรุมต่อว่าตน ซึ่งตนมองว่ามันไม่ใช่ความผิดของตน ถ้าบ้านที่ขายหมูปิ้ง, ไก่ปิ้ง เลิกกิจการหรือย้ายไปที่อื่นก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร เพราะบ้านมีไว้เพื่ออยู่อาศัยไม่ใช่เพื่อประกอบกิจการ ตนมองว่าจะทำอะไรก็ทำไปแต่มันก่อความเดือดร้อนให้ตน และที่ผ่านมาก็ไม่เคยแก้ปัญหาให้ รวมถึงลูกจ้างที่บ้านติดกับตนเคยด่าตนหยาบคาย และทำร้ายร่างกายตนด้วย

หากมองในมุมของผู้อยู่อาศัยบริเวณใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากควัน กลิ่น และเสียงรบกวน จะเห็นว่ากรณีที่เกิดขึ้นไม่ใช่การจับผิดคนหาเช้ากินค่ำอย่างไร้เมตตา แต่คือความชอบธรรมใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อในการคุ้มครองสิทธิของตน สะท้อนสิทธิเสรีภาพในการทำมาหากินต้องไม่ล้ำเส้นผู้อื่นในสังคมประชาธิปไตย

ขณะที่ในมุมของฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่น  นางปริญดา เชาว์อรัญ รองปลัดเทศบาลนคร ปากเกร็ด รักษาราชการแทนปลัดเทศบาล นครปากเกร็ด ยอมรับว่าการที่เทศบาลดำเนินการและมีประชาชนที่ถูกปรับและได้รับความเดือดร้อนด้านการเงิน ทางเทศบาลก็ไม่สบายใจ เพราะว่าเงินจำนวนนี้ถือเป็นเงินจำนวนไม่น้อย

“อยากขอความเห็นใจว่าถ้าหากไม่ทำจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะในเมื่อมีผู้ร้อง ผู้ได้รับความเดือดร้อน เทศบาลเป็นคนของประชาชน เป็นข้าราชการก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองตามระเบียบกฎหมาย ซึ่งระเบียบกฎหมายมีไว้เพื่อให้บ้านเมืองอยู่กันได้อย่างปกติสุข”

เบื้องต้นเทศบาลใช้มาตรการจากเบา โดยแนะนำให้ปรับปรุงแก้ไข เพื่อสุขภาพของคนกิน โดยให้ทำความสะอาดถังดักไขมันและหาสิ่งของมาวางไก่ย่างให้มิดชิด พร้อมขอใบอนุญาตให้ถูกต้องด้วย ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน โดยเราให้เวลาแก้ไข 10 วัน เนื่องจากมีเหตุทะเลาะวิวาทด้วย จึงเร่งดำเนินการ จากนั้นเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบซ้ำ “ไม่พบการแก้ไข”

นำสู่การดำเนินการมาตรการที่ 2 โดยให้หยุดดำเนินกิจการทันที ซึ่งเทศบาลได้ส่งหนังสือไปในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 โดยมีการตอบรับกลับมาว่าได้รับเอกสารในวันที่ 25 ธันวาคม 2567 โดยเทศบาลอยากให้มีการปรับปรุงแก้ไขและให้เวลาและรอให้ปรับปรุง แต่ปรากฏช่วงเวลาเดียวกันผู้ร้องรายเดิมได้ร้องเรียนมาว่ามีกลิ่นและควันเข้าบ้านอีก เจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่ตรวจสอบพบมีการปิ้งย่างจริงเป็นความผิดโดยประจักษ์

จากนั้นวันที่ 7 มกราคม 2568 มีการร้องเรียนเข้ามาอีก โดยผู้ร้องรายเดิม เจ้าหน้าที่จึงลงพื้นที่ตรวจสอบอีกครั้งในวันที่ 21 มกราคม 2568 โดยครั้งนี้ได้รับแจ้งว่ายังไม่พร้อมที่จะมาขออนุญาต จากนั้นวันที่ 28 มกราคม 2568 มีเรื่องร้องเรียนใหม่เข้ามาอีก

 สำหรับกรณี ผู้ค้าขายไก่ปิ้ง หมูปิ้ง มีความผิด 3 ฐานด้วยกัน ฐานแรกคือการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต ผิด พ.ร.บ.สาธารณสุข ตามมาตรา 38 และ มาตรา 72 ซึ่งมีค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 37,500 บาท

ต่อมา เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีหนังสือแจ้งให้หยุดประกอบกิจการแต่ยังคงฝ่าฝืนคำสั่ง ซึ่งต้องถูกปรับตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข มาตรา 45 ประกอบมาตรา 80 ซึ่งมีค่าปรับเป็นจำนวนเงิน 37,500 บาท รวม 2 ฐาน จะต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงิน 75,000 บาท

ทว่า ยังพบดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่อง และฝ่าฝืนคำสั่ง ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข ทำให้ถูกปรับเป็นรายวัน จำนวนเงิน 3,000 บาทต่อวัน ซึ่งถูกปรับในส่วนนี้เพิ่ม 28 วัน เป็นจำนวนเงิน 84,000 บาท โดยยอดรวมทั้งหมด 159,000 บาท ซึ่งค่าปรับในส่วนนี้ทางเทศบาลนครปากเกร็ดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง 

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้คณะทำงานมีการพิจารณาว่าฝ่าฝืนดำเนินการโดยที่แจ้งให้หยุดประกอบกิจการ แต่ก็ไม่ปฏิบัติตามและไม่มาขออนุญาต รวมทั้ง ยังดำเนินกิจการอย่างต่อเนื่อง

โดยกระบวนการทำงานของฝ่ายปกครอง เรื่องการคิดค่าปรับทางจังหวัดดำเนินการพิจารณาความผิดอัตราโทษ โดยคณะกรรมการเปรียบเทียบ ประกอบด้วย ผู้ว่าฯ ตำรวจ สสจ.นนทบุรี และผู้ช่วย เข้าร่วมพิจารณา จากนั้นทางเทศบาลจะเป็นหน่วยงานที่จะแจ้งผลค่าปรับไปยังผู้ถูกร้องเรียน

แต่อย่างไรก็ตาม การส่งหนังสือให้กับทางผู้ประกอบการผู้ถูกร้องนั้น จะมีการแจ้งสิทธิ์ว่าสามารถอุทธรณ์ได้หากไม่เห็นด้วย โดยจะพิจารณาตามเหตุแห่งความเดือดร้อนที่ประชาชนได้รับ

นอกจากนี้ ยังมีกรณีของ นายบานเย็น และนางนวลจันทร์ คู่สามีภรรยา เจ้าของ “ร้านขายต้มข้าวโพด”   ในพื้นที่เทศบาลนครปากเกร็ด ถูกเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 90,000 บาท ตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยทั่งคู่เปิดใจว่าเคยถูกร้องเรียนเรื่อง ฝุ่น PM2.5 เพราะใช้เศษไม้ มาต้มข้าวโพดขาย วันละ 5 เตา จึงเปลี่ยนมาใช้ก๊าสต้มแทน เอาไปขายหน้าตลาดเช้าปากเกร็ด ขายของได้วันละ 2,000 - 3,000 บาท ได้กำไรวันละ 500 บาท

จากข้อมูลเทศบาลนครปากเกร็ดได้รับการร้องเรียนเหตุเดือดร้อนรำคาญ โดยเฉลี่ย 1 ปี มีจำนวน 800 ราย โดยปีงบประมาณที่ผ่านมา มีประมาณ 500 ราย ที่มีเหตุลักษณะเดียวกัน สามารถดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบ และสามารถไกล่เกลี่ยได้ประมาณ 485 ราย โดยมี 15 ราย ที่ยังไม่เข้าใจระเบียบกฎหมายและไม่ให้ความร่วมมือ โดยเทศบาลนครปากเกร็ดอยู่ในช่วงเริ่มต้นแนวทางดำเนินการปรับลักษณะดังกล่าว โดยมีผู้ถูกดำเนินการแล้ว 6 ราย

สำหรับประเด็นที่เกิดขึ้น  นายวัชรัตน์ ตาสอน  ผู้แทน ส.ส.จังหวัดนนทบุรี พรรคประชาชน ในฐานะตัวแทน ส.ส.ในเขตพื้นที่ ที่มีผู้เสียหายได้รับความไม่เป็นธรรม สะท้อนว่าอัตราค่าปรับ กรณีร้านขายไก่ปิ้ง หมูปิ้ง ดังกล่าวไม่ได้สัดส่วนจริง และทางผู้เสียหายได้มีการแก้ไข ปรับปรุงอยู่ตลอดมา สำหรับกรณีเงินค่าปรับที่มีมูลค่ากว่า 159,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อย เท่าที่พอจะทราบมาค่าปรับควรอยู่ที่จำนวน 30,000 - 40,000 บาท เท่านั้น ประการสำคัญ ความเป็นจริงในแง่เศรษฐกิจห้วงยามนี้ ทางเทศบาลหรือหน่วยงานท้องถิ่นควรที่จะต้องมีการปรับให้พอสมควร
ขณะที่  ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กเพจ "ทนายไพศาลช่วยด้วย" ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าหน้าที่อาจใช้การบังคับใช้กฎหมายที่ “เกินสัดส่วน” โดยร้องขอให้ข้าราชการคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ และ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ ของประชาชนผู้ทำมาหากินสุจริต และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐหันไปบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับประเด็นที่มีความสำคัญและสร้างความเสียหายในวงกว้างมากกว่า เช่น การบังคับใช้กฎหมายกับ พวกนักการเมือง การช่วยกัน ปราบปรามสแกมเมอร์ (Scammers) และการจัดการกับ รถที่จอดข้างถนนเต็มไปหมด ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหารถติด

ขณะเดียวกัน เกิดประเด็นที่ชวนติดตาม “กรณีพ่อค้าไก่ปิ้ง อาจจะต้องถูกปรับเป็นล้าน หาก พ.ร.บ.อากาศสะอาด มีผลบังคับใช้”

 นายสนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวถึงกรณีที่ทางเทศบาลต้องปรับเป็นเงินนับแสนมีเหตุตามกฎหมายต่อไปนี้ คือ จัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต 37,500 บาท, ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน 37,500 บาท และ ถูกปรับรายวัน 84,000 บาท

ตลอดจนการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาตดังกล่าว ผิด พ.ร.บ.สาธารณสุข ตามมาตรา 38 มาตรา 72 และมาตรา 80 กล่าวคือ มาตรา 72 ผู้ใดจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารตามมาตรา 38 ซึ่งมีพื้นที่เกินสองร้อยตารางเมตรโดยไม่ได้รับใบอนุญาตต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

ทั้งนี้ ผู้ใดจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารหรือสถานที่สะสมอาหารตามวรรคหนึ่ง ซึ่งมีพื้นที่ไม่เกิน 200 ตารางเมตร โดยไม่มีหนังสือรับรองการแจ้ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินสองหมื่นห้าพันบาท มาตรา 80 ผู้ดำเนินกิจการผู้ใดดำเนินกิจการในระหว่างที่มีคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นให้หยุดดำเนินกิจการ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 45 มาตรา 52 หรือมาตรา 65 วรรคสอง โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละสองหมื่นห้าพันบาทตลอดเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง

มาตรา 45 กำหนดให้อำนาจเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการออกคำสั่งให้ผู้ดำเนินกิจการแก้ไขปรับปรุง หากพบว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมายและหากการกระทำนั้นมีสภาพเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชน เจ้าพนักงานฯมีอำนาจสั่งให้หยุดดำเนินกิจการนั้นเป็นการชั่วคราวทันทีจนกว่าจะแก้ ไขให้ปลอดภัยแล้ว

มาตรา 52 กำหนดให้ผู้เคยถูกลงโทษในความผิดเดียวกันนี้มาแล้ว แต่ยังคงกระทำผิดซ้ำอีก ซึ่งจะส่งผลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งการให้ผู้ประกอบการแก้ไขปัญหาหรือสั่งห้ามดำเนินกิจการ, มาตรา 65 ผู้ประกออบการมีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดไว้ในข้อบัญญัติท้องถิ่น ตลอดระยะเวลาที่ยังดำเนินกิจการอยู่ หากไม่ปฏิบัติตามจะต้องมีโทษ หากเจ้าหน้าที่ ที่ได้รับแจ้งเรื่องแล้ว ไม่ดำเนินการใดๆ ก็จะมีความผิด ตามมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

กรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนสังคม ยังมีคนหาเช้ากินค่ำขายของปิ้งย่างจำนวนมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ร้านค้าต้องไปขออนุญาตให้ถูกต้อง ทั้งนี้ การทำร้านปิ้งย่าง หรือแม้แต่รถเข็นขายของปิ้งย่างนั้น จะต้องทำฮู้ต ดูดควัน เพื่อให้ดูดควันขึ้นไปด้านบน ไม่ให้กระจายออกไปสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น และการดำเนินการแบบนี้ไม่ยาก ไม่ต้องใช้เงินเยอะ แต่ต้องใส่ใจ ทำให้ถูกต้องตามกฏหมาย และช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม

โดยนายสนธิ ระบุทิ้งท้ายว่า สภาฯ อยู่ระหว่างพิจารณา พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา (ส.ส.) หากผ่านผู้ที่ไม่ทำตามกฎหมาย เช่นกรณีที่เกิดขึ้นอาจจะต้องถูกปรับเป็นล้าน

อย่างไรก็ดี  นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม อดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.อากาศสะอาด ออกมาโต้แย้งข้อกังวลของของนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม กรณีขายไก่ปิ้ง อาจจะต้องถูกปรับเป็นล้าน หาก พ.ร.บ.อากาศสะอาด มีผลบังคับใช้ โดย  ยืนยันชัดเจนว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เหมารวมผู้ประกอบการรายย่อยอย่าง หมูปิ้ง, ไก่ย่าง ฯลฯ โดยมุ่งเน้นผู้ที่ปล่อยสารมลพิษสูง และเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดังนั้น ผู้ประกอบการรายย่อยสบายใจได้ว่า พ.ร.บ.อากาศสะอาด ได้กำหนดประเภทกิจการที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพื่ออากาศสะอาดอย่างเหมาะสม  

สำหรับ พ.ร.บ.อากาศสะอาด เป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เรื้อรังมานาน โดยกฎหมายฉบับนี้มุ่งสร้างระบบบริหารจัดการอากาศที่โปร่งใส เป็นธรรม และถือหลักผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

โดยสาระสำคัญ ครอบคลุมทั้งสิทธิของประชาชนในการหายใจอากาศสะอาด มาตรการลงโทษผู้ก่อมลพิษ การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ และการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมจัดการปัญหามลพิษอย่างจริงจัง โดยมีรายละเอียดสำคัญ เช่น รับรองสิทธิในอากาศสะอาดควบคู่กับสิทธิด้านสุขภาพ ยึดหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย พร้อมใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นต้น

สุดท้าย หากมองอย่างเป็นกลางจะเห็นว่าการดำเนินการของรัฐไม่ใช่การรังแกคนหาเช้ากินค่ำ และการร้องเรียนของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบไม่ใช่การกลั่นแกล้ง แต่คือการปกป้องสิทธิตามกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจรัฐเข้ามาเป็นกลไกสร้างความชอบธรรมแก่ทุกฝ่าย.


กำลังโหลดความคิดเห็น