xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

บทสรุป JBC-GBC รัฐบาลไม่เลิก MOU ไทยเสียเปรียบเรียบร้อยโรงเรียนแขมร์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สายตาทุกคู่ของประชาชนคนไทยเฝ้าจับตา   “การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา(JBC) สมัยวิสามัญ” ซึ่งจัดขึ้น ณ จังหวัดจันทบุรี ระหว่างวันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2568 และ  “การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือจีบีซี (General Border Committee: GBC)”  ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 20-23 ตุลาคม อย่างลุ้นระทึก ด้วยความไม่มั่นใจว่า ผลจะออกมาอย่างไร

ทั้งนี้ เวที JBC ฝ่ายไทยนำโดย “นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย”  ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศด้านเขตแดน เป็นประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ส่วนฝ่ายกัมพูชานำโดย  นายฬำ เจีย   รัฐมนตรีรับผิดชอบสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา เป็นประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายกัมพูชา)

และผลที่ออกมามีดังต่อไปนี้

“ทั้งสองฝ่ายได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม (Joint Technical Sub-Commission: JTSC) ดำเนินการสร้างหลักเขตแดนใหม่เพื่อทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่ชำรุดหรือสูญหาย จำนวน 15 หลัก ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันแล้ว ให้กลับคืนสู่ที่ตั้งและตำแหน่งเดิม

ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดทำหลักเขตแดนเพื่อเปลี่ยนหรือทดแทนหลักเขตแดนเดิมที่จมน้ำ จำนวน 3 หลัก โดยจะกำหนดตำแหน่งที่ตั้งใหม่ร่วมกันในภายหลัง

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เร่งรัดการแก้ไข Terms of Reference 2003 (TOR 2003) เกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ภาพถ่าย (Orthophoto Maps) เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Light Detection and Ranging (LiDAR) มาใช้ในการทำแผนที่ภาพถ่าย เพื่อให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

เกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47 บริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว

ก. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคำแนะนำทางเทคนิค (Technical Instruction: TI) สำหรับการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวในพื้นที่ภูมิประเทศที่มีความเร่งด่วนในบริเวณหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47

ข. เมื่อทั้งสองฝ่ายดำเนินการสำรวจและวางหมุดชั่วคราวเสร็จสิ้นแล้ว จะนำผลการสำรวจดังกล่าวเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอความเห็นชอบ เพื่อกำหนดกลไกที่เหมาะสมสำหรับการปรับการถือครองที่ดินของทั้งสองฝ่ายต่อไป

ค. การวางหมุดชั่วคราวนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรวจเท่านั้นและจะไม่กระทบต่อสิทธิของไทยและกัมพูชาในเรื่องเขตแดนทางบกตามกฎหมายระหว่างประเทศ และ

ง. ทั้งสองฝ่ายตกลงจะกำชับให้หน่วยงานท้องถิ่น ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน รับประกันความปลอดภัยให้กับชุดสำรวจจากทุ่นระเบิด ตามข้อ 3 ของ MOU 2543 และเพื่อให้ชุดสำรวจสามารถปฏิบัติงานได้โดยปราศจากการขัดขวางและการยั่วยุที่อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มเติมในบริเวณดังกล่าว

ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดการประชุม JBC ครั้งต่อไปในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2569 ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา

 ในระหว่างการแถลงข่าว นายประศาสน์เปิดเผยว่า “การประชุมเป็นไปภายใต้บรรยากาศแห่งมิตรภาพและฉันท์มิตร” 

ส่วนการแก้ไขปัญหาบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว นายประศาสน์บอกว่า มีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำจาก “การย้ายออกจากพื้นที่”  เป็น  “ปรับการครอบครองที่ดิน”   โดยกรอบการทำงานอยู่ในรายละเอียดที่จะดำเนินการ ก่อนเสนอต่อรัฐบาล เพื่อกำหนดตัวบุคคลในการพูดคุย และกำหนดแผนดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา อย่างไรก็ตามต้องรอให้สำรวจพื้นที่ให้เสร็จก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 สัปดาห์ เพราะเป็นปัญหาที่สะสมมานาน

ส่วนเวทีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ไทย–กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งจัดขึ้นตามคำเชิญของกระทรวงกลาโหมมาเลเซีย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียนั้น มี   “พล.อ.เตีย เสฮา”  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชาเข้าร่วมประชุม ส่วนฝ่ายไทยมี “พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์”  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะ
ภายหลังการประชุมจีบีซี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ระบุว่า ถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายกัมพูชายินยอมร่วมมือกับฝ่ายไทยในการลงพื้นที่เดินสำรวจแนวเส้นอ้างสิทธิ์ และวางหมุดชั่วคราวที่แน่ชัดด้วยกัน อันจะทำให้แต่ละฝ่ายยอมรับขอบเขตพื้นที่ที่เกิดขึ้นตามผลการสำรวจ และนำไปสู่การปรับการถือครองที่ดินของทั้ง 2 ฝ่ายได้ต่อไป


ทว่า ในขณะที่ภาครัฐดูจะพออกพอใจกับกับการประชุมทั้ง 2 เวที แต่กลับมีเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วงออกมาอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน เริ่มจาก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ให้ความเห็นว่า บทสรุปมีเพียงหนึ่งเดียวคือ ไทยเลือกแล้ว “ไม่ใช้สิทธิ และไม่สงวนสิทธิ” = สละสิทธิ ในการยกเลิก MOU 2543 เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดร้ายแรง ตามมาตรา 60 ของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการทำสนธิสัญญาค.ศ. 1969

ขณะที่  “นายเทพมนตรี ลิมปพยอม”  นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ โพสผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงการประชุม JBC กรณีบ้านหนองจานและบ้านหนองจาน โดยโจมตีว่าเป็นการหลอกชาวบ้าน พร้อมทั้งระบุว่า เมื่อการประชุม JBC ครั้งที่แล้ว มีหลักเขตที่ 43 44 45 ที่เคยบอกว่าตกลงกันได้ แต่โดยสรุปก็คือตกลงกันไม่ได้ และต้องไปหาหมุดชั่วคราวใหม่ในหลักเขตที่ 42-47

“ชาวบ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้วรอไปอีกครับ นี่คือปัญหาที่ไม่พูดความจริง รายงานการประชุม JBC ข้อ 6 .เกี่ยวกับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ระหว่างหลักเขตแดนที่ 42 ถึง 47 บริเวณบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว”นายเทพมนตรีให้ความเห็นพร้อมได้โพสต์อีกว่า “กลิ่นมันตุๆ”

และปิดท้ายกันที่  “นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล”  รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นว่า ภาพที่ออกมาคือ การประชุม JBC ชื่นมื่น แต่ถ้าเปิดฝากระโปรงรถ จะห็นว่า ฝ่ายไทยเสียท่าเรียบร้อยโรงเรียนเขมรไปแล้ว โดยระบุว่า สิ่งที่ฝ่ายไทยควรจะได้แจ้งที่ประชุม คือ ก) ถึงแม้การประชุมครั้งนี้อยู่ในกรอบ MOU43 แต่ไทยสงวนสิทธิ์การยกเลิก MOU43 ฝ่ายเดียวเอาไว้ ข) ไทยจะเดินหน้าสร้างรั้วทันที ตามเงื่อนไขในสนธิสัญญาสมัย ร.5 แต่กลับไม่ทำ ดังนั้น ถ้าในอนาคตมีทหารหรือพลเรือนไทยขาขาดอีก ก็เกิดจากการกระทำของคณะนี้

ส่วนเมื่อหันไปพิจารณาทางฝ่ายกัมพูชา จะเห็นว่า ไม่มีข้อกำหนดว่า จะต้องสร้างหลักเขตใหม่ให้เสร็จเมื่อไหร่ อาจจะลากยาวอีก 25 ปีเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ฝ่ายเขมรได้เปรียบฝ่ายไทยอย่างสวยงาม

ทั้งนี้ นายธีระชัยยังให้ความเห็นถึงกรณีที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เร่งรัดการแก้ไข Terms of Reference 2003 (TOR 2003) เกี่ยวกับการจัดทำแผนที่ภาพถ่าย (Orthophoto Maps) เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ เช่น Light Detection and Ranging (LiDAR) มาใช้ในการทำแผนที่ภาพถ่าย เพื่อให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพว่า สิ่งที่ฝ่ายไทยควรจะได้แจ้งที่ประชุมคือ ก) ต่อไปนี้ ไทยจะถือว่า MOU43 จะต้องยึดเงื่อนไขในสนธิสัญญาสมัย ร.5 เป็นหลัก ไม่ใช่ยึดแผนที่ 1:200,000 (ที่ฝรั่งเศสขีดเส้นกินแดนไทย) ข) ไทยจะนำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการปฏิบัติตามเงื่อนไขในสนธิสัญญาสมัย ร.5 เป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อเพิ่มความละเอียดให้แผนที่ 1:200,000 แต่กลับไม่ทำ ดังนั้น ถ้าในอนาคตไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มอีก เป็นไปตามเส้นในแผนที่ 1:200,000 ก็เกิดจากการกระทำของคณะนี้

ส่วนเมื่อหันไปพิจารณาทางฝ่ายกัมพูชา จะเห็นว่า เทคโนโลยี LiDAR จะเพิ่มความละเอียดให้แผนที่ 1:200,000 ดังนั้น เส้นเขตแดนที่ฝรั่งเศสขีดเส้นกินแดนไทย ก็จะยิ่งคมชัด ไทยจะยิ่งไม่สามารถปฏิเสธได้ หรือหมายความว่า ฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบฝ่ายไทยอย่างสวยงามอีกแล้ว

“ผมเรียกร้องให้นายกอนุทินนำร่างประกาศมาแสดงต่อประชาชนก่อน เพราะหวั่นใจว่า อาจจะมีข้าราชการไทยใจเขมรที่เขียนเงื่อนไขสิ่งปฏิบัติ ที่ผูกมัดให้ไทยต้องเสียประโยชน์จึงควรเปิดให้นักวิชาการวิจารณ์ให้ความเห็นก่อน”นายธีระชัยกล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น