xs
xsm
sm
md
lg

Scambodia อาณาจักรจีนเทาใต้เงาตระกูลฮุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

กัมพูชาในวันนี้ไม่ใช่ประเทศเล็กๆ ที่ยืนอยู่กลางแผนที่โลกอย่างเงียบๆ อีกต่อไป หากแต่กลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรทุนสีเทาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เครือข่ายธุรกิจที่เชื่อมโยงกันระหว่างจีน เมียนมา และลาว หลอมรวมเป็นระบบเศรษฐกิจใต้ดินขนาดใหญ่ที่สั่นคลอนความโปร่งใสของภูมิภาค เบื้องหน้าคือภาพของตึกสูงในพนมเปญ รีสอร์ตหรูในสีหนุวิลล์ และโครงการลงทุนจากทุนจีนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่เบื้องหลังคือเงาของเงินผิดกฎหมาย การฟอกเงิน การสแกมออนไลน์ และการบังคับใช้แรงงาน ซึ่งกำลังกลายเป็น “เศรษฐกิจอีกชุดหนึ่ง” ที่ไม่อยู่ในบัญชี GDP แต่หล่อเลี้ยงอำนาจและทุนทางการเมืองของประเทศนี้อย่างแนบแน่น


ในเครือข่ายทุนที่ครอบคลุมประเทศเล็กๆ แห่งนี้ มีนักธุรกิจจีนจำนวนหนึ่งที่กลายเป็นชื่อสำคัญของโลกสีเทา เช่น เฉิน จื้อ (Chen Zhi) เจ้าของอาณาจักร Prince Holding Group ที่เติบโตจากอสังหาริมทรัพย์และธนาคารจนกลายเป็นสัญลักษณ์ของทุนจีนในกัมพูชา เขาถูก สหรัฐและสหราชอาณาจักรเปิดปฏิบัติการร่วมครั้งประวัติศาสตร์เมื่อเร็วๆ นี้ ผ่าน กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (U.S. Department of the Treasury) และ สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (OFAC) ร่วมกับ National Crime Agency ของอังกฤษ (NCA) ดำเนินการ คว่ำบาตรเฉิน จื้อ และ Prince Group ในข้อหาก่ออาชญากรรมข้ามชาติ (fraud, forced labor and money laundering) โดยระบุว่าเขาเป็นผู้นำเครือข่ายสแกมขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สหรัฐฯ เปิดเผยคำฟ้องในศาลรัฐบาลกลางโดยระบุว่าเฉิน จื้อควบคุม “ศูนย์สแกมแรงงานบังคับ” ในหลายจังหวัดของกัมพูชา ซึ่งหลอกลวงผู้คนจากทั่วเอเชียให้ทำงานเป็นแก๊ง call center และ crypto scam มีผู้ตกเป็นเหยื่อหลายหมื่นราย โดยยึด Bitcoin ได้ประมาณ 127,271 บิตคอยน์ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4.9 แสนล้านบาท ในราคาปัจจุบัน ขณะที่ สหราชอาณาจักรประกาศ อายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 130 ล้านปอนด์ในลอนดอน ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายของเขา และขึ้นบัญชีบริษัทในเครือ Prince Holding Group กว่า 20 แห่งเป็น “องค์กรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการฟอกเงิน” นับเป็นปฏิบัติการคว่ำบาตรที่ใหญ่ที่สุดที่ชาติตะวันตกเคยใช้กับทุนในกัมพูชา

รัฐบาลกัมพูชาในพนมเปญตอบสนองอย่างระมัดระวัง กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ว่า “เคารพกระบวนการยุติธรรมของนานาชาติ แต่คดีนี้ต้องอาศัยหลักฐานที่เป็นทางการก่อนดำเนินการใดๆ” และขอให้สื่อไม่ด่วนสรุปว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิด ขณะเดียวกัน โฆษกรัฐบาลยืนยันว่า “Prince Group เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สร้างงานให้กับชาวกัมพูชาหลายหมื่นคน และยังไม่ถูกดำเนินคดีใดในประเทศ” ท่าทีนี้สะท้อนความพยายามของกัมพูชาที่จะรักษาสมดุลระหว่างแรงกดดันจากตะวันตกกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอันแน่นแฟ้นกับจีน และยังเผยให้เห็นว่าอำนาจทางการเมืองในพนมเปญไม่พร้อมจะลงมือกับทุนที่เป็นเสาหลักของระบบเศรษฐกิจและการเมืองของตนเอง

นอกเหนือจากเฉิน จื้อ แล้วยังมี หวัง หย้าวฮุย (Wang Yaohui) นักธุรกิจจีนที่ได้รับสัญชาติกัมพูชาอย่างรวดเร็ว ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาล และมีบทบาททางการทูตในต่างประเทศ การได้รับการสนับสนุนระดับนี้สะท้อนชัดว่ามี “มือที่มองไม่เห็น” จากกลุ่มอำนาจในพนมเปญที่เปิดทางให้ทุนจีนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรัฐ ส่วน สือ จื้อเจียง (She Zhijiang) ผู้ก่อตั้ง Yatai International Holdings Group ก็ใช้กัมพูชาเป็นฐานขยายเครือข่ายสแกมก่อนถูกจับในไทย และถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำคลองเปรม ขณะที่ วั่น กั๋วคุ่ย (Wan Kuok-koi)อดีตหัวหน้าแก๊ง 14K จากมาเก๊า สามารถตั้งสมาคม Hongmen ในพนมเปญโดยอ้างวัตถุประสงค์ทางวัฒนธรรม ทั้งที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรในข้อหาใช้สมาคมเป็นช่องทางฟอกเงิน

ทั้งหมดนี้ดำรงอยู่ได้เพราะอยู่ภายใต้ร่มเงาของอำนาจ ตระกูลฮุน เซน ซึ่งปกครองประเทศมากว่าสามทศวรรษ ได้สร้างระบบอุปถัมภ์ที่เชื่อมโยงการเมือง ทหาร และธุรกิจไว้ด้วยกัน นักลงทุนที่อยู่ในความไว้วางใจของรัฐบาลมักได้รับสิทธิพิเศษ การอนุญาต และการคุ้มครอง ในหลายกรณี คนในรัฐบาลและกองทัพถือหุ้นในบริษัททุนจีนเอง ทำให้การกวาดล้างจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะจะเท่ากับรื้อเสาหลักของอำนาจตัวเอง
เศรษฐกิจนอกระบบของกัมพูชามีขนาดราวหนึ่งในสามถึงเกือบครึ่งของ GDP แรงงานกว่า 80 เปอร์เซ็นต์อยู่ในภาคที่ไม่จดทะเบียน รายงานอิสระหลายฉบับชี้ว่าอุตสาหกรรมสแกมออนไลน์สร้างรายได้ปีละกว่าสิบพันล้านดอลลาร์ เทียบเท่าครึ่งหนึ่งของ GDP แม้รายได้นี้จะไม่ถูกนับในตัวเลขทางการ แต่เงินจากธุรกิจผิดกฎหมายไหลกลับเข้าสู่ระบบอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และตลาดภายในจริง รัฐจึงได้ประโยชน์ทางอ้อม ในรูปของภาษี การจ้างงาน และเงินบริจาคทางการเมือง

ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกัมพูชาก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจสีเทาเติบโตอย่างปลอดภัย ปักกิ่งมองกัมพูชาเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค ภายใต้โครงการ Belt and Road กัมพูชาได้รับเงินลงทุนจากจีนมากกว่า 17,000 ล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน ตั้งแต่ท่าเรือ สนามบิน จนถึงคลองคมนาคม ฮุน เซน คือผู้นำที่จีนไว้วางใจมากที่สุดในอาเซียน เพราะเขาให้การสนับสนุนนโยบาย “หนึ่งจีน” อย่างเปิดเผย และยืนอยู่ข้างปักกิ่งในแทบทุกมติระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ จีนจึงเลือกจะ “หลับตาข้างหนึ่ง” ต่อเครือข่ายทุนสีเทาในกัมพูชา เพราะการลงมือปราบจริงจะกระทบพันธมิตรคนสำคัญและผลประโยชน์ของกลุ่มทุนจีนเอง

หากเปรียบเทียบกับเมียนมา จะเห็นความต่างอย่างชัดเจนว่าทำไมจีนจึงจัดการอย่างเด็ดขาดกับอาณาจักรสแกมฝั่งนั้น แต่เมินเฉยในกัมพูชา จีนมองว่าศูนย์สแกมในเมียนมา โดยเฉพาะชายแดนรัฐชานและกะเหรี่ยง เป็นภัยโดยตรงต่อผลประโยชน์ของคนจีนในแผ่นดินใหญ่ เพราะเหยื่อส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเอง เงินมหาศาลถูกดูดออกจากเศรษฐกิจภายในประเทศ จีนจึงส่งเจ้าหน้าที่พิเศษอย่าง หลิว จงอี้ไปประสานกับกองกำลังท้องถิ่นและบีบรัฐบาลทหารเมียนมาให้ส่งตัวผู้ต้องหาและปิดคอมปาวด์ จนเกิดปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่ มีผู้ถูกจับหลายพันคนและส่งกลับจีนภายในไม่กี่เดือน ในกรณีของเมียนมา จีนถือว่าเป็น “ปัญหาความมั่นคงของชาติ” แต่ในกัมพูชา จีนมองว่าเป็น “เรื่องภายในของพันธมิตร” ที่ยังควบคุมได้

โครงสร้างอำนาจในเมียนมาซับซ้อนและไม่มั่นคง จีนมีอำนาจบีบทางเศรษฐกิจสูง แต่ในกัมพูชา ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต เป็นพันธมิตรที่มั่นคงและเชื่อฟังที่สุดในภูมิภาค การเข้าไปกวาดล้างทุนจีนในกัมพูชาเท่ากับแตะฐานอำนาจของเพื่อนแท้ที่ค้ำยันอิทธิพลจีนในอาเซียน ไม่มีเหตุผลทางการเมืองใดที่ปักกิ่งจะยอมเสี่ยงกับพันธมิตรเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจเหล่านี้ไม่สร้างปัญหาในแผ่นดินจีนโดยตรง

ในขณะที่จีนเลือกเมินเฉย โลกตะวันตกกลับเริ่มจัดการกับกัมพูชาอย่างเป็นระบบ สหรัฐฯ และอังกฤษคว่ำบาตรทุนสแกมหลัก เกาหลีใต้เรียกร้องให้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของชาวเกาหลีในศูนย์สแกม และสหภาพยุโรปขู่ว่าจะใช้มาตรการทางการค้า รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงว่าจะร่วมมือและจับกุมผู้กระทำผิดกว่าพันคน แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นเพียง “การปราบเพื่อโชว์” เพื่อคลายแรงกดดันมากกว่าการแตะโครงข่ายอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง

โครงสร้างการเมืองกัมพูชายังคงผูกอยู่กับตระกูลฮุน เซนอย่างแน่นหนา ฮุน มาเนต ลูกชายของเขารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อและยังต้องรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนเดิม การรื้อโครงสร้างธุรกิจสีเทาเท่ากับทำลายฐานอำนาจของรัฐบาลตนเอง กัมพูชาจึงเลือกจะยอมรับแรงกดดันเพียงบางส่วน จับกุมรายย่อย ออกคำสั่งแสดงความร่วมมือ แต่ไม่แตะชั้นบนของระบบ

อำนาจและเศรษฐกิจในกัมพูชาจึงกลายเป็นสิ่งเดียวกัน เศรษฐกิจสีเทาคือเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบการเมือง และระบบการเมืองก็คือเกราะที่คุ้มกันเศรษฐกิจสีเทา การปราบปรามจึงไม่ต่างจากการตัดเส้นเลือดของตัวเอง ในขณะที่โลกภายนอกพยายามบีบให้กัมพูชาเปลี่ยนแปลง ก็รอดูว่าจีนจะยังคงโอบอุ้มเอาไว้ได้อีกไหมในฐานะพันธมิตรแน่นแฟ้นที่สุดในภูมิภาค เพราะนั่นทำให้ “อาณาจักรสีเทา” ของกัมพูชายังคงเติบโตต่อไป

หรือจีนจะชิงตัดหน้าเข้ามามีบทบาทในการจัดการกับทุนสีเทาในกัมพูชา เพื่อไม่ให้ชาติตะวันตกอย่างสหรัฐเข้ามามีอิทธิพลต่อพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของตน เพื่อไม่สูญเสียความเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคนี้ และไม่ถูกครหาว่ามุ่งจัดการกับแก๊งจีนเทาในเมียนม่า เพราะกระทบต่อชาติตัวเอง แต่เพิกเฉยจีนเทาในกัมพูชา

ท่ามกลางแสงไฟของเมืองที่ส่องประกายงดงาม แต่ในเงาสะท้อนกลับเผยให้เห็นรากแห่งอำนาจที่หยั่งลึกอยู่ใต้ดิน รากที่หล่อเลี้ยงทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความเงียบที่โลกกำลังพยายามปลุกให้ตื่น อำนาจของตระกูลฮุนที่สร้างประเทศด้วยเงินสีเทาจะสั่นคลอนหรือไม่ เมื่อโลกเห็นว่า ประเทศแห่งนี้คือ อาณาจักรของทุนสีเทาที่เป็นภัยต่อคนทั่วโลก

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan



กำลังโหลดความคิดเห็น