ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตไปใคร่ครวญ ทบทวน ถึงสิ่งที่เรียกว่า “secondary tariffs” หรือที่รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ “นายHoward Lutnick” ได้ออกมาอธิบายขยายความถึงเจตจำนงแห่งความ “บ้า..ก็บ้าวะ” ของผู้นำตัวเอง อย่าง“ทรัมป์บ้า” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ว่าไม่ได้ต่างอะไรไปจาก“secondary sanctions” นั่นเอง คือหมายถึงใครที่คิดไปซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรก็ตามกับประเทศหมีขาวรัสเซีย ซึ่งถูกแซงชั่นโดยอเมริกาและชาติตะวันตกมานานแล้ว และกำลังจะถูกมาตรการแซงชั่นรอบใหม่ภายในอีก 50 วันข้างหน้า ถ้าไม่คิดตกลงปลงใจยอมประนีประนอมกับคู่ขัดแย้งอย่างยูเครน ย่อมมีอันต้องเจอการเก็บภาษีสินค้าที่ส่งไปยังอเมริการายละ 100 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย หรือเผลอๆ...อาจถึง 500 เปอร์เซ็นต์ ดังที่วุฒิสมาชิกสายเหยี่ยวซึ่งบ้าไม่น้อยไปกว่ากัน อย่าง “นายLindsey Graham” ได้พยายามเสนอเป็นกฎหมายเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเอาเลยก็ไม่แน่!!!
นี่...อันนี้นี่แหละที่อาจถือเป็นการ “ประกาศสงครามโลก”อย่างเป็นทางการเอาเลยก็ว่าได้ เพราะบรรดาประเทศที่ค้าๆ-ขายๆ หรือที่มีสัมพันธภาพด้านต่างๆ กับประเทศรัสเซียนั้น น่าจะปาเข้าไปประมาณเกือบๆ “ครึ่งโลก” ไปแล้วก็ว่าได้ โดยเฉพาะถ้าคิดถึงบรรดาประเทศที่แห่ไปเข้าร่วมเป็นสมาชิก เป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันกับกลุ่มประเทศ “BRICS” ที่รัสเซียเขาเป็นหัวหอกมาตั้งแต่แรกเริ่มจากการนำเสนอแนวคิดโดยอดีตรัฐบุรุษรัสเซีย “นายYevgeny Primakov” ขณะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ช่วงปี ค.ศ. 1998 โน่นเลย ก่อนที่จะเริ่มตั้งไข่ล้ม-ต้มไข่กินกลายมาเป็นกลุ่มประเทศ “BRIC” ในปี ค.ศ. 2001 แล้วมาต่อท้ายด้วยตัวอักษร “S” หรือกลายเป็น “BRICS” ในช่วงปีค.ศ. 2010 เมื่อประเทศแอฟริกาใต้โดดเข้ามาร่วมวงอีกแรงหนึ่ง...
แต่มาถึง ณ บัดนี้...เพียงแค่สิบกว่าปีเท่านั้นเอง บรรดาสมาชิกกลุ่ม “BRICS” ทั้งหลาย ต้องนับทั้งนิ้วมือและนิ้วตีนรวมกัน ถึงพอจะนิยามความหมายกันได้ชัดๆ คือไม่ใช่แค่ประกอบด้วยบราซิล-รัสเซีย-อินเดีย-จีนและแอฟริกาใต้เพียงลำพัง แต่ยังต้องเติมอียิปต์-เอธิโอเปีย-อินโดนีเซีย-อิหร่าน-ซาอุดีอาระเบีย-ยูเออี-โบลิเวีย-เบลารุส-คิวบา-คาซัคสถาน-มาเลเซีย-อูกันดา-อุซเบกิสถาน-เวียดนาม รวมไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาควบคู่เข้าไปด้วย อันส่งผลให้กลุ่มประเทศดังกล่าว มี“ขนาด” ตลาด หรือมีจำนวนประชากรรวมกันไม่น้อยไปกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรโลก มีสถานะเป็นกลุ่มประเทศที่ส่งออกพลังงานจำนวนไม่น้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั่วทั้งหมด มีสัดส่วนการค้าไม่น้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของการค้าทั่วทั้งโลก หรือมีปริมาณ “GDP” โดยรวมนับแต่ปี ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา มากถึง 35 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP โลก” แซงหน้า “ประเทศคนเคยรวย” หรือกลุ่มประเทศ “G7” ที่เหลือสัดส่วน “GDP” อยู่เพียงแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง...
นั่นยังไม่รวมไปถึงบรรดาประเทศต่างๆ อีกไม่น้อยกว่า 30 ประเทศ...ที่เข้าคิวรอต่อท้าย คิดจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศ “BRICS” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หรือกลายเป็นกลุ่มประเทศที่มิอาจปฏิเสธความมีอยู่ของประเทศหมีขาวรัสเซียไปได้เลย การประกาศ “ขึ้นภาษี” กับใครก็ตามที่คิดจะไปค้าๆ-ขายๆ กับรัสเซียไม่ว่า 100 หรือ 500 เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ จึงแทบไม่ต่างไปจากการควักปืนออกมายิงหัวแม่เท้าตัวเอง หรือยิงพวงสวรรค์ตัวเองเอาเลยก็ว่าได้ เพราะแค่คิดถึงการค้าๆ-ขายๆพลังงาน กับประเทศที่เป็นผู้ผลิตพลังงานอันดับ 3 ของโลกอย่างรัสเซีย โอกาสที่ประเทศซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก อย่างคุณพี่จีน หรือที่กำลังจะแซงใครต่อใครขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกอย่างคุณปู่อินตะระเดีย จะตัวสั่น มือสั่น ตีนสั่น เพราะ “กลัวอเมริกา” จนไม่คิดจะซื้อๆ-ขายๆ น้ำมันกับรัสเซียอีกต่อไป มันน่าจะต้องรอจนกว่า “น้ำท่วมหลังเป็ด” เอาเลยโน่นแหละ...
โดยเฉพาะคุณปู่อินตะระเดีย...ที่ “อีนี่...แขกชอบเอามากๆเลยนะ...นายจ๋า!!!” ตั้งแต่ครั้งรัสเซียบุกยูเครนเมื่อ 3 ปีที่แล้วเพราะด้วยเหตุที่บรรดาชาติยุโรปทั้งหลายตั้งหน้ารุมกระทืบ รุมแซงชั่นรัสเซีย อย่างเอาเป็น-เอาตาย ส่งผลให้การสั่งซื้อน้ำมันจากรัสเซียเข้ามา “Bypass” หรือเข้ามายังอินเดียเพื่อขายต่อไปยังชาติยุโรป จากตัวเลขที่เคยอยู่ที่ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ก่อนหน้านั้น พุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติ ที่หน่วยงานเศรษฐกิจยูเครน หรือ “Kyiv School of Economics” เคยคิดคำนวณออกมาเป็น“รายได้” ที่รัสเซียได้จากการขายน้ำมันให้อินตะระเดีย ตกราวๆปีละ 10,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย ด้วยเหตุนี้จะให้แขกที่ถนัดในการปล่อยดอกเบี้ยเงินกู้ ประเภท “โร้ยละยี่สิบนะนายจ๋า” เลิกค้าๆ-ขายๆ กับรัสเซียเอาดื้อๆ มันก็ออกจะเป็นอะไรที่ “ฝันกลางวัน” เกินไปสักหน่อย...
ยิ่งคุณพี่จีนด้วยแล้ว...แม้จะไม่เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์แบบเงินๆ-ทองๆ มากมายสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเหตุเพราะความเป็น “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” ซึ่งยากที่จะโยก จะคลอนกันได้ง่ายๆ ตัวเลขการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียมายังประเทศจีน จึงมีแต่เพิ่มกับเพิ่ม หรือมากเป็นอันดับ 2 ของมูลค่าการนำเข้าพลังงานทั้งหมด หรือ 21.5 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพลังงานที่สั่งเข้ามายังเมืองจีน นั่นยังไม่รวมไปถึงหนึ่งในสมาชิก “NATO”อย่างตุรกี-ตุรเคีย ที่สั่งเข้าน้ำมันรัสเซียถึง 26 เปอร์เซ็นต์ หนึ่งในกลุ่มประเทศ “BRICS” อย่างบราซิลที่สั่งเข้าน้ำมันรัสเซีย 12 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ การจะไปตัดขาดพลังงานรัสเซียให้หายไปจากตลาด นอกจากจะไม่มีอะไรมาแทนที่ได้แล้ว ยังอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคาขึ้นไปถึงอวกาศ จน “เศรษฐกิจโลกทั้งโลก” พังพินาศ ไม่เว้นเศรษฐกิจอเมริกาและบรรดาพันธมิตรพรมเช็ดเท้าทั้งหลาย ที่มีแต่ต้อง “ฉิบหาย-กับ-ฉิบหาย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย...
ด้วยเหตุนี้...โอกาสที่จะควักเอา “สากกะเบือด้ามสุดท้าย”หรือมาตรการทางภาษี มาใช้เป็น “อาวุธ” ในการเล่นงานประเทศ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างรัสเซีย มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะ “บ้า...ก็...บ้าวะ” กันไปตามเรื่อง-ตามราว หรือตามความไร้สติของผู้นำอเมริกาได้อย่างเป็นมรรค-เป็นผล โดยเฉพาะเมื่อทั้งจีน-อินเดียและรัสเซีย ได้ออกมาป่าวประกาศถึง “ความร่วมมือ 3 ฝ่าย” (Trilateral Cooperation) อย่างเป็นการ-เป็นงาน ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายLin Jian” ที่ได้ออกมาแถลงเมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (17 ก.ค.) ถึงการรวมพลังของกลุ่ม “RIC” (Russian-India-China) ว่า... “ไม่ได้เป็นไปเพียงเพื่อผลประโยชน์ของ 3 ประเทศเท่านั้น แต่เพื่อสันติภาพ-เสถียรภาพ-ความก้าวหน้าของภูมิภาคและของโลก” ที่ทำให้เกิดการรวมตัวในลักษณะดังกล่าวขึ้นมา เช่นเดียวกับรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย “นายAndrey Rudenko” ที่สรุปไว้ในวันเดียวกันว่าด้วยเหตุเพราะทั้ง 3 ประเทศไม่ได้เป็นเพียง “หุ้นส่วน” ที่สำคัญระหว่างกันและกันเท่านั้น แต่ยังเพราะแต่ละประเทศล้วนเป็นสมาชิกก่อตั้งกลุ่มประเทศ “BRICS” อีกด้วย ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย “นายRandhir Jaiswal” แม้จะไม่ได้อธิบายถึงเรื่องราวเหล่านี้อย่างเป็นที่ชัดเจน แต่ก็ได้ประกาศที่จะเปิดเผยถึงความร่วมมือ-ร่วมไม้ดังกล่าวในช่วงเวลาที่เหมาะสม...
สรุปง่ายๆ ว่า...โอกาสที่อเมริกาจะอาศัย “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” หรือใช้ “ขนาด” ของ “ตลาด” ที่ใหญ่โตเป็นอันดับ 1 ของโลก มาใช้เป็นเครื่องมือในการข่มขู่ บังคับ คุกคามใครต่อใคร ให้หันมา “Kiss Ass” อเมริกาซะโดยดีนั้น มันคงไม่ง่ายเหมือนกับการใช้ “อำนาจทางทหาร”หรือ “อิทธิพลเงินดอลลาร์” อย่างที่เคยใช้ๆ มาโดยตลอด มิหนำซ้ำอาจยิ่งกลายเป็นตัวเร่งให้ตัวเองและพันธมิตรทั้งหลาย “เจ๊ง-กับ-เจ๊ง” หรือ “ฉิบหาย-กับ-ฉิบหาย” เอาง่ายๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุเพราะภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคแพงหูฉี่ หรือกระทั่งภาวะขาดแคลนวัตถุดิบ อุปกรณ์และเครื่องมือสำคัญๆ ที่ถูกถักทอและบูรณาการอยู่ภายใน “ห่วงโซ่อุปทาน” จนอาจส่งผลให้อำนาจการแข่งขันลดน้อยถอยลง ต้องกลับไปอยู่ “หลังเขา” หรือกลับไปสู่ยุคหินเอาเลยก็ไม่แน่ แม้แต่อำนาจแข่งขันด้าน“อุตสาหกรรมอาวุธ” ก็ตาม ที่ต้องวิ่งหาแหล่งแร่ “Rare Earth”กันจนขาขวิด ตีนขวิด อยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้...
ดังนั้น...ทางเลือกของมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ในการคิดจะดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ต่อไปให้จงได้ ก็น่าจะเหลืออยู่เพียงแค่ 2 ทางเท่านั้น คือ...ค่อยๆ เจ๊ง ค่อยๆฉิบหายลงไปอย่างเป็นขั้น-เป็นตอน หรือค่อยๆ “ล่มสลาย” ลงไปอย่างช้าๆ ไม่ก็ต้องหันไปเปิดฉาก “สงครามทางทหาร” หรือแบบที่นักคิดชาวรัสเซีย “นายDmitry Trenin” ท่านเรียกว่า“สงครามเพื่อความอยู่รอดของตะวันตก” อะไรประมาณนั้นที่อาจต้องวัดตัดสินกันในแบบ “ตาย-เป็ง-ตาย!!!” และอาจเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องหันไปอาศัยพลังอำนาจในขั้นตอนสุดท้าย นั่นก็คือ...ด้วยจำนวน “อาวุธนิวเคลียร์” ว่าใครจะกำอาวุธมหาประลัยชนิดนี้เอาไว้ในมือมาก-น้อยไปกว่ากัน!!!