xs
xsm
sm
md
lg

“สงครามโลกครั้งที่ 3” ได้อุบัติขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ศาสตราจารย์Dmitry Trenin นักวิเคระห์ด้านความมั่นคงของรัสเซีย
“สงครามไทย-กัมพูชา”จะเกิด-ไม่เกิด...ก็ยังยากส์ส์ส์ที่จะสรุปได้ชัดเจน ด้วยเหตุเพราะผู้นำเขมร อย่างอดีตนายกฯ “ฮวยเซ็ง” ท่านออกจะขยันและมุ่งมั่นเสียเหลือเกินในการ “ยั่วยวน-กวนส้นตีน” ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ชนิดแทบจะวันละ 3 เวลาหลังอาหาร ไม่ต่างไปจากพวกลิ่วล้อ ลูกกระจ๊อก ไม่ว่าทหารหรือพลเรือนแถวๆปราสาทโน้น ปราสาทนี้ ที่หมั่นสร้าง “ความเปรี้ยวมือ-เปรี้ยวตีน” ให้กับทหารไทย จนแทบไม่อาจเอามือ-ตีนซุกหีบได้อีกต่อไป เอาเลยก็ไม่แน่!!!
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าอะไรจะเกิด-ไม่เกิด มันคงไม่น่าจะถึงขั้นต้องบุกไปยึดพระตะบอง พนมเปญ เอาเลยถึงขั้นนั้น อีกทั้ง “บ้องข้าวหลาม” ของฝ่ายเขมร ก็ไม่น่าจะใหญ่โตไปกว่า “ปลัดขิก”มากมายสักเท่าไหร่ โอกาสที่จะสาดเข้ามาถึงใจกลางกรุงเทพมหานคร มันน่าจะลำบากเอามากๆ คงได้แต่ “สมรักษ์ คำสิงห์”ไปวันๆ หรือคงต้องเถียง ต้องทะเลาะ ไปจนกว่า “เคียว7 เล่ม” ในท้องของพวกเขมร จะค่อยๆหมดฤทธิ์ หมดคม ลงไปตามสภาพ...

ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้ คงต้องลองหันไปสำรวจตรวจสอบ ฉากสถานการณ์สงครามของแนวรบสำคัญๆ ในระดับโลก
น่าจะเข้าท่ากว่า ไม่ว่าจะเป็น “แนวรบยุโรปตะวันออก-ตะวันออกกลาง-ทะเลจีนใต้”ที่ได้ก่อรูปก่อร่าง มานานแล้ว และนับวันมีแต่จะขยายตัว หรือถูกยกระดับให้เป็นสงครามระดับโลกเอาง่ายๆ ชนิดส่งผลให้นักคิด-นักวิชาการชาวรัสเซียที่ไม่เพียงแต่เป็นนักวิจัยชั้นแนวหน้าของสถาบันThe Higher School of Economic”หรือThe Institute of World Economy and
International Relations”
แต่ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศรัสเซีย หรือ RIAC”(The Russian International Affairs Council) อย่าง “ศาสตราจารย์Dmitry Trenin” ท่านถึงกับต้องออกมา “ฟันธง” แบบเต็มผืน เต็มด้าม ในข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ถึงขั้นว่า World War 3 has already begun”หรือสิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่3” ได้อุบัติขึ้นมาในโลกใบนี้เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว!!!

ใครที่สนใจในรายละเอียด...คงต้องลอง “คลิก”ไปหาอ่านกันเอาเอง แต่โดยชื่อ-ชั้นและแนวคิดที่ออกจะมี “น้ำหนัก” ของเหตุผลรองรับเอาไว้อย่างเป็นเรื่อง-เป็นราว คงต้องถือเป็นสิ่งซึ่งมิอาจฟังหูซ้าย-ทะลุหูขวาได้โดยเด็ดขาด หรืออย่างน้อย...ก็อาจถือเป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าบรรดาชาวหมีขาวที่ได้ชื่อว่า “ดุเอาเรื่อง”แถมยังกำอาวุธทำลายล้างระดับมหาประลัย
อย่าง “อาวุธนิวเคลียร์” เอาไว้ในมือนับเป็นพันๆ หัวรบเพื่อใช้ในการปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศตัวเอง เขาคิดอย่างไร? ต่อฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลก ขณะที่ประเทศตัวเองกำลังตกเป็น “เหยื่อ”จากแรงกดดันของบรรดาประเทศตะวันตก หรือของพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” อย่างคุณพ่ออเมริกาและชาติยุโรปทั้งหลาย...

คือในทัศนะ-มุมมองของนักคิดชาวรัสเซียรายนี้...ค่อนข้างน่าคิด-น่าสะกิดใจมิใช่น้อย โดยเฉพาะในแง่ที่ว่าการปรากฏตัว หรือการอุบัติขึ้นมา ของสิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” นั้น มันคงไม่ได้เหมือนอย่างสงครามโลกในช่วง 2 ครั้งที่ผ่านมา และไม่ได้เป็นเพียงแค่“สงครามเย็นยุคใหม่” แต่อย่างใด แต่ออกจะคล้ายๆ กับที่อดีต “พระสันตะปาปาฟรานซิส” ผู้ซึ่งเพิ่งวายชนม์ไปเมื่อไม่นานมานี้ ท่านเคยได้ให้ “คำนิยาม”เอาไว้นั่นแหละว่า มันคือ “สงครามโลก”ที่ค่อยๆ ยกระดับขึ้นไปอย่างเป็นขั้น-เป็นตอน อย่างเป็นระบบและกิจการ หรืออย่างที่ “ศาสตราจารย์Dmitry Trenin ท่านถึงกับสรุปไว้ว่าเป็น “สงครามเพื่อความอยู่รอดของตะวันตก” เอาเลยถึงขั้นนั้น คือมันไม่ใช่เป็นแค่ความหวาดวิตก หรือความพยายามช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบในทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” แต่เพียงเท่านั้นแต่มันยังประกอบไปด้วย “แนวคิด” ในเชิงอุดมคติ-อุดมการณ์ เพื่อหวังจะให้ “การครอบงำโลกทั้งโลก” ยังคงต้องอยู่ภายใต้อำนาจ อิทธิพล ของอารยธรรมตะวันตก ไปตราบชั่วกัลปาวสาน อะไรทำนองนั้น...

มันเลยทำให้บรรดา “ความหลากหลายของแนวคิดต่างๆในโลก-อารยธรรมที่มีความเป็นตัวของตัวเอง-อธิปไตยแห่งชาติ” ฯลฯ จึงไม่ได้ถูกมองเป็น “ทางเลือก”ของแต่ละชาติ หรือไม่ได้เป็นสิ่งที่สามารถปล่อยให้ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ”ได้ แต่กลับถูกมองเป็น “ภัยคุกคาม” ที่จะต้องหาขจัด กวาดล้าง ไม่ว่าโดยวิธีหนึ่ง-วิธีใด และนี่ก็คือคำอธิบายว่าเหตุใด? การตอบโต้ของ “ตะวันตก”ของพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว”หรือของ “ประเทศซีกโลกเหนือ”ต่อบรรดาประเทศ “ตะวันออก”ต่อพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” หรือต่อ “ประเทศซีกโลกใต้” หรือประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย มันเลยออกจะดุเดือดรุนแรงเอามากๆ และไม่ได้คิดจะบันยะบันยัง คิดจะประนีประนอมเอาเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะต้องค่อยๆ หาทางกดดันและยกระดับต่อไปเรื่อยๆ จนทำให้ “สงครามโลก”มันจึงค่อยๆ อุบัติขึ้นมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ว่าใน “แนวรบยุโรปตะวันออก”นับแต่ปี ค.ศ.2014 ใน “แนวรบทะเลจีนใต้” หรือ “เอเชียตะวันออก” นับแต่ปี ค.ศ.2017 และที่ชัดเจนเอามากๆ ก็คือ “แนวรบตะวันออกกลาง”นับแต่ปี ค.ศ. 2023 ที่ฉากสถานการณ์สงครามค่อยๆขยายตัวและยกระดับจากพื้นที่เล็กๆในเขตฉนวนกาซา
ไปสู่เลบานอน และสุดท้ายก็ถึงพี่เบิ้มแห่งตะวันออกกลางอย่างอิหร่าน...จนได้!!!

สิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ...ที่นักคิดชาวรัสเซียรายนี้ท่านพยายามชี้ให้เห็น ก็คือการขยายตัวและการยกระดับของสงครามในลักษณะที่ว่านี้ มันคงไม่ได้มุ่งที่จะ “ครอบครองพื้นที่” หรือเพื่อสร้าง “เขตอิทธิพล”ใดๆ ขึ้นมาเท่านั้น แต่กลับมุ่งที่จะสร้าง “ความไร้เสถียรภาพ” ให้อุบัติขึ้นมาอย่างเป็นระลอก ด้วยการ “หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความไร้กฎระเบียบ-การวินาศกรรมทางเศรษฐกิจ-ความไม่สงบในสังคม-ตลอดไปจนแรงเสียดทานทางด้านจิตวิทยา ฯลฯ” หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ได้คิดแค่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้าม อย่างเช่นประเทศรัสเซีย แต่เฉพาะ“ในสนามรบ” เท่านั้น แต่มุ่งที่จะกัดกร่อน บ่อนเซาะ ทำลาย เพื่อให้เกิด“ความล่มสลาย” ภายในประเทศที่ถือเป็นภัยคุกคามอย่างเช่นรัสเซียนั่นแหละเป็นหลัก ไม่ต่างไปจากจีนที่ยังไม่คิดจะเลิกความเป็น“คอมมิวนิสต์” หรือ “ระบอบปกครองอิสลามอิหร่าน” ที่จะต้องหาทางเปลี่ยนแปลง รื้อถอน ให้จงได้...

อันนี้นี่เอง...ที่มันทำให้ “แนวรบ” แต่ละแนวรบ เกิดความเกี่ยวข้อง โยงใย จนมิอาจแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาดและทำให้บรรดา “นักวางแผน”ในโลกตะวันตกถึงได้จัดกลุ่มให้จีน-รัสเซีย-อิหร่าน-เกาหลีเหนือ เป็นฝ่ายตรงข้ามกับโลกตะวันตก อันมีอเมริกา-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-เยอรมนี เป็นอีกฝ่าย โดยที่ “การประนีประนอมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเกมอีกต่อไป สิ่งที่เรากำลังมองเห็นไม่ใช่แค่วิกฤตชั่วคราว แต่เป็นการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวของความขัดแย้งในระดับโลก ไม่ว่าในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง ที่ปรากฏอยู่ในฉากสถานการณ์ปัจจุบันอย่างชัดเจน ส่วนในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะกรณีไต้หวันอาจยังต้องใช้เวลา แต่รัสเซียที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณียูเครน ก็ยังคงมีเดิมพันอยู่ในตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับในแปซิฟิก” นั่นคือสิ่งที่นักคิดชาวรัสเซียผู้นี้ได้สรุปไว้...

และนั่นเอง...ที่ทำให้ “สงครามยูเครน” มันจึงไม่ใช่การสู้กันระหว่าง “ชาวสลาฟ”ด้วยกัน หรือระหว่างชาวยูเครนกับชาวรัสเซียเท่านั้น แต่นับวันจะยิ่งกลายเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่าง “โลกตะวันตก”หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว”อันมีบรรดาชาติยุโรปตะวันตกที่อเมริกาเป็นผู้นำ กับ “โลกตะวันออก”หรือ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ที่รัสเซียถือเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รายสำคัญอย่างมิอาจแยกออกจากกันได้ สงครามที่ไม่ว่าเกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังจะเกิดขึ้น ใน “แนวรบ” แต่ละแนว มันจึงกลายเป็น “สงครามโลก” ที่อุบัติขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังขยายตัว กำลังจะยกระดับไปเป็นขั้นๆ หรือดังที่นักคิด-นักวิชาการรายนี้ถึงกับสรุปไว้ว่า...“เรา(รัสเซีย)กำลังอยู่ในสงครามระยะยาว ที่ไม่ได้จบลงไปในปี ค.ศ.1945 (สงครามโลกครั้งที่2)
หรือไม่ได้กลายสภาพไปเป็นสงครามเย็นในเวลาต่อมา ดังนั้น...ในทศวรรษข้างหน้าคือช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวาย ที่ชาวรัสเซียจะต้องต่อสู้เพื่อความถูกต้องในโลกที่ระเบียบโลกแบบใหม่กำลังจะเกิดขึ้น”...

นี่...เมื่อมันชักไปไกล ไปโลด ไปได้ถึงขั้นนั้น ก็จึงไม่ถึงกับถือเป็นเรื่องแปลกมากมายสักเท่าไหร่ ที่ศาสตราจารย์ชาวรัสเซียอย่าง Dmitry Trenin”ท่านเลยออกจะคิดคล้ายๆ กับอดีตประธานาธิบดีรัสเซียและรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติคนปัจจุบัน อย่าง “นายDmitry Medvedev”คือมองว่า... “ถ้าการยกระดับสถานการณ์มันไปไกลถึงจุดที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
เราอาจต้องพิจารณาถึงปฏิบัติการในแบบ...ชิงโจมตีก่อน(pre-emptive action) ไม่ว่าด้วยอาวุธในแบบแผน หรือถ้าจำเป็นอาจต้องพร้อมที่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ด้วยความตระหนักและรับรู้ถึงผลกระทบที่จะตามมา ทั้งในแง่การป้องกันการกระทำและถูกกระทำ” อันนี้...ต้องเรียกว่า เล่นเอาสงครามไทย-กัมพูชา หรือสงครามระหว่าง “ทักษิณ-ฮวยเซ็ง” กลายเป็นเรื่องจิ๊บๆ
จ๊อยๆ ไปโดยทันที...

แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ “เป้านิ่ง” ภายใต้ความเคลื่อนไหวของฉากสถานการณ์ที่ยังคงต้องเปลี่ยนไป-เปลี่ยนมา ต่างฝ่ายต่างก็ยังพอมี “ทางเลือก” ในการตัดสินใจอีกเยอะ โดยเฉพาะเมื่อผู้นำสูงสุดแห่ง “โลกขั้วอำนาจเดียว”หรือ “พระจักรพรรดิโลก” อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้มุ่งหวังให้ใครต่อใครทั่วทั้งโลกต้องหันมาศิโรราบ สยบยอม หรือถึงขั้นต้องคลานมา “จูบตูด” ตัวเองกันไปเป็นรายๆ ด้วยการงัดมาตรการ “ภาษี” มาใช้เป็นอาวุธ หรือเป็นเครื่องมือชิ้นสุดท้าย การผนึกรวมตัวของผู้ที่ต้องการจะให้โลกใบนี้เป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ”ไม่ใช่โลกที่ถูกควบคุมบังคับ โดยคุณพ่ออเมริกาอีกต่อไป ด้วยการไปหยิบเอาแนวคิดของอดีตรัฐบุรุษรัสเซียอย่าง “นายYevgeny Primakov” ที่เคยนำเสนอไว้เมื่อช่วงปี ค.ศ.1999 ถึงการก่อรูป ก่อร่างกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ ให้เป็น geopolitics troika” หรือเพื่อให้เกิดป้อมปราการแห่งสันติภาพ ด้วยการผนึกกำลังประเทศ “รัสเซีย-จีน-อินเดีย”หรือRIC”ก็ดูท่าจะเริ่มเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมามั่งแล้ว และนั่น...ก็น่าจะทำให้ความกระเหี้ยนกระหือรือในการเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ด้วยการคิดจะเก็บภาษีใครต่อใครที่ทำมา-ค้าขายกับประเทศ รัสเซีย ไม่ว่าในระดับ 500 หรือ 100 เปอร์เซ็นต์ก็แล้วแต่ ก็น่าจะ “แห้วกระป๋อง”ไปอีกจนได้!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น