“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“แกะดำโลกสวย” ชื่อหนังสือมีความหมายลึกซึ้ง ที่บอกเล่าชีวิตของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ตั้งแต่เกิด ผ่านหน้าที่การงาน จนถึงช่วงชีวิตต้องพลิกผันสู่เส้นทางการเมือง เรียบเรียงเนื้อหาโดย สมเกียรติ รุ่งเรืองวิริยะ
เพื่อนผมหลายคนโชคดี เพราะพวกเขาได้ร่วมงานกับ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ มายาวนาน หลายคนโชคดีมากขึ้นไปอีก! ที่ได้ทำงานทางการเมืองร่วมกับท่านในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะในห้วงหนึ่งของวิกฤติทางการเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม แม้ผมจะเป็นคนไม่ค่อยมีโชค ผมก็ยังมีโอกาสได้ทำงานในบางเรื่องกับท่าน ผมจึงสามารถยืนยันได้ว่า ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เป็นคนดี น้ำใจงาม ท่านให้ความช่วยเหลือคนดีมาตลอด ดูได้จากบุคลากรมากมายในมหาวิทยาลัยรังสิตทั้งในอดีตจรดปัจจุบัน ประกอบด้วยนักกิจกรรมเพื่อสังคม นักวิชาการ อดีตข้าราชการ และอดีตรัฐมนตรี เช่น ศ.ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ศ.(พิเศษ) วิชา มหาคุณ ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ศ.ธีรยุทธ บุญมี รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายกษิต ภิรมย์ อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ผศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา เป็นต้น
เรื่องราวชีวิตของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ในหลายแง่มุม ล้วนน่าสนใจ สมควรแก่การรับรู้ และควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2481 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน โรงเรียนเตรียมอุดม จากนั้นเข้าศึกษาต่อยังคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาควิชาการทูตและการต่างประเทศ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทมหาบัณฑิต สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จาก Fletcher School of Law and Diplomacy มหาวิทยาลัยทัฟส์ รัฐ Massachusetts สหรัฐอเมริกา และ มหาบัณฑิต สาขาบริหารรัฐกิจ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียสเตท เมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ด้วยทุนรัฐบาลไทย และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ดุษฎีบัณฑิตทางรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์ รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลพญาไท และมหาวิทยาลัยรังสิต ดำรงตำแหน่งอธิการบดี มหาวิทยาลัยรังสิต ชีวิตท่านผ่านเรื่องราวมามากมาย ทั้งการรับราชการ ผ่านงานหลายด้าน เป็นนักปฏิรูปหลายองค์กร ก่อนทำธุรกิจด้านการศึกษา การแพทย์ และการสาธารณสุข ฯลฯ
บทความนี้.. ผมขอเน้นเฉพาะบางด้านกับบางช่วงสำคัญทางการเมืองเท่านั้นครับ
ภายหลังจาก “ในหลวงรัชกาลที่ 9” พ่อหลวงผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ทรงพระเมตตายุติความขัดแย้งระหว่าง พล.ต. จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ. สุจินดา คราประยูร ด้วยพระราชดำรัสอันทรงพลังเต็มเปี่ยมด้วยเหตุผล สะท้อนพระอัจฉริยภาพสูงส่ง สมเป็น“มหาราช”ในดวงใจของพสกนิกร การปะทะกันระหว่าง“ทหารของกองทัพ”กับ“ประชาชนในแผ่นดิน”ก็ยุติลงโดยพลัน สองวันต่อมา“บิ๊กสุ”ก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ในช่วงเวลาแห่งความสับสนวุ่นวายทางการเมือง เพื่อเฟ้นหาตัวนายกรัฐมนตรี ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ในฐานะประธานสภาฯ ท่านได้สร้างปรากฏการณ์อันน่าทึ่ง ซึ่งปลดล็อคความตึงเครียดของผู้คนในสังคม จนพากันถอนหายใจโล่งอกไปตามๆ กัน!
สังคมไทยประจักษ์ถึงจิตใจอันกล้าหาญ ผสานความชาญฉลาดอย่างยิ่งยวด ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้คลี่คลายวิกฤติการเมืองไทยครั้งใหญ่ ในสถานการณ์การเมืองเหตุการณ์“พฤษภาทมิฬ” ซึ่งทำให้ประชาชนผู้กล้าและเสียสละ ต้องบาดเจ็บล้มตายมากมาย!!
คุณูปการต่อชาติและประชาชน จากการแก้วิกฤติการเมืองในปี 2535 ทำให้ผู้คนในสังคมไทยต่าง“ยอมรับ” และพร้อม“มอบด้วยใจ” เชิดชูให้ท่านเป็น“วีรบุรุษประชาธิปไตย” สื่อฯ และประชาชนล้วนยกย่องว่า เป็นการตัดสินใจที่ “พลิกชะตาประเทศไทย”!
ต้องยอมรับว่า ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เป็น“คนดีของชาติ และ นักการเมืองดีของประชาชน” เป็น “บุรุษผู้เป็นแบบอย่างอันดีงาม” ทั้งในด้านทำธุรกิจสร้างสรรค์ อีกทั้งยังเป็นนักการเมืองมาจากการเลือกตั้ง ที่ไม่คอร์รัปชั่นโกงกินชาติบ้านเมือง ทุ่มเททำงานให้กับส่วนรวมตลอดมา ท่านเป็นบุคคลที่หาได้ยากอย่างยิ่ง.. ยากมากจนแทบหาไม่ได้ในสังคมไทยยุคปัจจุบัน
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้เผยนาทีการตัดสินใจใต้บันไดพระตำหนักจิตรลดาฯ โดยยอมรับว่า เป็นความยากลำบากครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเป็นเรื่องที่มีส่วนชี้เป็นชี้ตายของบ้านเมือง...
โดยนับตั้งแต่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง ท่ามกลางการต่อต้านของมวลชนนอกสภา ซึ่งปะทุขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ และบัญญัติว่าน
ายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งไม่ต้องการให้มีการสืบทอดอำนาจของ รสช. โดยรัฐบาลสั่งการให้ปราบปรามผู้ชุมนุมต่อต้านอย่างรุนแรง ประชาชนต้องตายและบาดเจ็บจำนวนมาก สุดท้าย“นายกฯ สุจินดา”ต้องลาออก
การเลือกตั้งครั้งใหม่ก็เกิดแบ่งขั้วเป็น“พรรคเทพ”กับ“พรรคมาร” โดยพรรคสามัคคีธรรมของ รสช. ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่ง แต่ นายณรงค์ วงศ์วรรณ ถูกรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต่อต้านเปิดโปงจนไม่อาจเป็นนายกฯ ได้ ต้องให้พรรคอันดับสองคือ“พรรคชาติไทย” ซึ่งได้เสนอ “พล.อ.อ สมบุญ ระหงษ์” เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ช่วงนั้น ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ กลายเป็น“ผู้ถือดุลทางการเมือง” บรรดาผู้ใหญ่ในพรรคร่วมรัฐบาล ต่างหว่านล้อมพร้อมเสนอตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญอย่าง“มหาดไทย”ให้ โดย ดร.อาทิตย์ ได้เปิดเผยว่า “พ่อเลี้ยงณรงค์ก็บอกผมว่า เฮ้ย! น้อง น้องจะเอาอะไร น้องเสนอคุณสมบุญ ระหงษ์แล้วลาออกจากประธานสภา เดี๋ยวพี่จะให้โควต้าของพี่ โควต้ารัฐมนตรีมหาดไทยให้เลย ถ้าท่านไม่เอา หรืออยากจะเป็นรองนายกฯ ฝ่ายไหนๆ ก็ว่ามา”
แต่ ดร.อาทิตย์ ไม่ยอมตกปากรับคำกับตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะรู้ว่า หากนายกฯ คนต่อไปชื่อ “สมบุญ ระหงษ์” เรื่องต้องไม่จบแน่! มองยังไงก็เป็นการสืบทอดอำนาจ รสช.
ท่ามกลางภาวะติดล็อก ดร.อาทิตย์ คิดหาทางออกดังต่อไปนี้..
ทางออกแรกคือ พึ่งพระบารมี “ผมโทรศัพท์ไปหาอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ซึ่งเป็นประธานองคมนตรีตอนนั้นว่า ขอเข้าเฝ้าในหลวงนอกรอบได้ไหม อาจารย์ท่านก็โทรไปหาหม่อมทวีสันต์ ลดาวัลย์ ราชเลขาฯ สักชั่วโมงกว่าหม่อมทวีสันต์ก็แจ้งกลับมาว่า ไม่โปรดให้เข้าเฝ้าฯ”
ทางออกที่สอง ขอคำปรึกษาจากองคมนตรี “พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์” ท่านแนะนำว่า “พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ”เป็นคนดี แต่ผมก็มาคิดว่า พรรคความหวังใหม่เป็นพรรคฝ่ายค้านอันดับสอง แล้วทำไมไม่ให้สิทธิ์ “คุณชวน หลีกภัย” ซึ่งเป็นฝ่ายค้านอันดับหนึ่ง
ทางออกที่สามจึงตามมา จึงเชิญ “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” มาพบ “ผมถามคุณชวนว่า ท่านรับที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเสียงข้างน้อยไหม แต่นายชวนปฏิเสธ เพราะสถานการณ์การเมืองไม่เข้ารูปเข้ารอย รัฐบาลเสียงข้างน้อยนั้นทำงานไม่ได้ โหวตเมื่อไหร่ แพ้เมื่อนั้น”
ระหว่างนั้นข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลมายัง ดร.อาทิตย์ อย่างมืดฟ้ามัวดิน ทั้งแสดงตัวและไม่แสดงตัว หลายครั้งได้รับโทรศัพท์ในห้องทำงานจากบุคคลที่ไม่ประสงค์ออกนาม โทรศัพท์บอกในทำนองว่า “ขออย่าเสนอชื่อสมบุญเป็นนายกฯ”
ดร.อาทิตย์ เล่าว่า มีกรณีหนึ่งที่ฝังใจ ระหว่างกำลังดื่มกาแฟอยู่ในคอฟฟีช็อปที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพูดว่า “ถ้ายังเสนอชื่อพวก รสช. เขาจะไปอยู่ออสเตรเลีย จะไปทำงานที่โน่นเลย เลิกกันทีประเทศไทยไม่เอาแล้ว แต่ถ้าไม่เสนอพวก รสช. เค้าจะไปทำงานที่โรงพยาบาลพญาไทให้ฟรี”
ดร.อาทิตย์ ยอมรับว่า คำพูดของชายคนดังกล่าว มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนความต้องการจริงๆ ของประชาชน!!!