xs
xsm
sm
md
lg

แม้กาสาวพัสตร์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ใจผู้สวมเสื่อมสมดุล: ว่าด้วยวิกฤตศรัทธาและบทเรียนจากสีกากอล์ฟ / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"

 ผ้าจีวรเหลืองที่ควรเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ กลับกลายเป็นเพียงผืนผ้าคลุมความเสื่อมทรามที่แอบซ่อนอยู่ภายใน ความศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นเสมือนเกราะแห่งศีลธรรม บัดนี้กลับถูกตั้งคำถามด้วยเรื่องราวที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป


ในโลกยุคดิจิทัลที่ข่าวสารแพร่กระจายเร็วกว่าสายฟ้า เรื่องของ “สีกากอล์ฟ” ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวฉาวของปัจเจกบุคคล แต่เป็นดั่งพายุที่โหมกระหน่ำศรัทธาของพุทธศาสนิกชนไทย สะเทือนถึงรากแก้วของโครงสร้างทางศีลธรรมที่เคยมั่นคง เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และแน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ความถี่ที่เพิ่มขึ้น ความรุนแรงของภาพ และความเงียบงันของบางกลุ่มผู้นำศาสนา ทำให้คำถามเก่ากลับมาอีกครั้ง เราศรัทธาในอะไร และยังควรศรัทธาได้อยู่หรือไม่

ดั่งใบโพธิ์ที่ไหวเอนเมื่อถูกกระหน่ำสายน้ำและลมอันรุนแรงแห่งฤดูฝน ความเชื่อมั่นในระบบวินัยสงฆ์ก็ดูเหมือนจะถูกเขย่าอย่างไม่ปรานี ใบโพธิ์แห่งศรัทธาในใจผู้คนมากมายจึงเริ่มร่วงหล่นทีละใบ ในความเงียบและความเศร้าหมอง

เรื่องราวของสีกากอล์ฟอาจดูเป็นเพียง “ข่าวเชิงละคร” สำหรับบางคน แต่ในระดับโครงสร้าง มันคือ สัญญาณของวิกฤต ที่ลึกกว่าการละเมิดศีลธรรมส่วนตัว มันสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบกำกับดูแล ความเป็นสถาบันของศาสนา ที่ไม่สามารถต้านทานแรงล่อลวงของอำนาจ ทรัพย์ กาม และกิเลสได้อีกต่อไป
หากพระพุทธศาสนาเป็นสายน้ำใสในจิตใจชาวไทย เรื่องอื้อฉาวครั้งนี้เหมือนหินก้อนโตที่ถูกขว้างลงไป ทำให้เกิดระลอกคลื่นความไม่ไว้วางใจที่แผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง เมื่อพระราชาคณะชั้นสูงหลายรูป ผู้ที่ควรจะเป็นต้นแบบแห่งความบริสุทธิ์ กลับตกเป็นตัวอย่างของความเสื่อมทราม ความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาหลายร้อยปีก็ดูจะหวั่นไหวเหมือนใบโพธิ์อันบอบบางในพายุ

ยิ่งน่าเศร้า เมื่อ “ผู้ควรเป็นที่พึ่งทางจิตใจ” กลับกลายเป็น “ผู้ก่อความปั่นป่วนทางจิตใจ” แทน สิ่งนี้มิใช่เพียงการทำลายภาพลักษณ์ แต่คือการกัดเซาะรากฐานของความศรัทธา ซึ่งเป็นแก่นแกนของวัฒนธรรมและความเป็นมนุษย์ในสังคมไทย ความเชื่อ ความเคารพ และความสงบใจที่เคยได้จากการพึ่งพาศาสนา กำลังถูกแทนที่ด้วยความสับสน ความเคลือบแคลง และความเจ็บปวดทางจิตวิญญาณ

 น่าขบขันโดยแท้ที่ในแผ่นดินที่มีกฎหมายมากมายถึงขนาดที่นักกฎหมายต้องใช้หลายปีในการศึกษา แต่เมื่อถึงเวลาจัดการกับพระสงฆ์ที่ล่วงละเมิดอาบัติปาราชิก กลับดูเหมือนจะขาดเครื่องมือที่เหมาะสม เป็นเหมือนมีดหั่นขนมที่ใช้ฟันต้นไม้ใหญ่ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล แต่ยังทำให้เกิดความยุ่งเหยิงมากขึ้น

พระธรรมวินัยที่กำหนดให้พระสงฆ์ผู้กระทำผิดต้องลาสิกขานั้น เป็นเหมือนดาบที่คมกริบ แต่เมื่อเอาขึ้นเทียบกับกฎหมายอาญาที่ควรจะเป็นอีกชั้นการป้องกัน กลับพบว่าเป็นเพียงดาบไม้ที่ไม่อาจตัดปัญหาได้จริง ความจริงที่ว่า “การดำเนินคดีไม่สามารถลงโทษได้อย่างเด็ดขาด” นั้น ทำให้เราได้เห็นภาพของระบบยุติธรรมที่มีช่องโหว่ใหญ่พอที่ช้างจะผ่านได้

การทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและมหาเถรสมาคมในการตรวจสอบพฤติกรรมพระสงฆ์ ดูเหมือนจะมีลักษณะของการ “ตรวจสอบแบบมองไม่เห็น” อย่างมีศิลปะ เป็นเหมือนผู้พิทักษ์ที่หลับใหลขณะที่ทรัพย์สินถูกขโมย การที่ปัญหาการทุจริต “มักถูกมองข้ามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่” นั้น แสดงให้เห็นถึงปรัชญาการทำงานที่น่าสนใจ ว่าหากไม่เห็นปัญหา ปัญหาก็จะไม่มีอยู่จริง

วิธีการบริหารจัดการแบบนี้ อาจจะเหมาะสำหรับการดูแลสวนดอกไม้ที่ปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติ แต่เมื่อนำมาใช้กับสถาบันศาสนาที่มีความซับซ้อนและผลกระทบต่อสังคม กลับกลายเป็นสูตรสำเร็จสำหรับความวุ่นวายเสียนั่นเอง

ในสังคมไทยที่มีการเคารพพระสงฆ์อย่างลึกซึ้ง บางครั้งความเคารพนั้นกลับกลายเป็นความบอดบังที่ไม่เฉลียวฉลาด เหมือนกับผู้ที่ให้อาหารแก่เสือเพราะเข้าใจว่าเป็นแมวใหญ่ ๆ การ “ถวายเงินทองโดยไม่คำนึงถึงวินัยสงฆ์” นั้น เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาที่งดงาม แต่ขาดปัญญาในการพิจารณาผลที่ตามมา

เป็นสิ่งน่าใคร่ครวญที่การกระทำด้วยเจตนาดี กลับอาจเป็นเหมือนการปูทางไปสู่นรกด้วยหินที่สวยงาม ความไม่เข้าใจในพระธรรมวินัยของทั้งคฤหัสถ์และพระสงฆ์บางรูป ทำให้เกิดวัฏจักรแห่งการกระทำผิดที่เริ่มจากความไม่รู้ และลงท้ายด้วยความเสียใจ

การปฏิรูปคณะสงฆ์ก่อนที่ผ้าเหลืองจะกลายเป็นสีเทา

การแก้ไข พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ไม่ใช่เพียงวาระทางกฎหมาย แต่คือภารกิจเร่งด่วนระดับชาติ เสมือนการเร่งซ่อมแซมเขื่อนที่แตกร้าวก่อนที่สายน้ำแห่งความเสื่อมศรัทธาจะไหลทะลักท่วมบ้านเรือนแห่งคุณธรรม หากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินการ โครงสร้างแห่งศาสนาอาจพังครืนลงมาพร้อมกับการสูญสิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน

การมีบทลงโทษทางกฎหมายสำหรับพระภิกษุที่กระทำความผิดร้ายแรงจึงไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ หรือการลงทัณฑ์ด้วยความแค้น หากแต่เป็นการจัดวาง “ความยุติธรรม” ไว้ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น เพื่อให้ศีลธรรมไม่กลายเป็นเพียงเครื่องประดับวาทกรรม และเพื่อยืนยันว่าผู้สวมครองจีวรต้องรับผิดชอบต่อศีลไม่ต่างจากผู้สวมเครื่องแบบอื่นในสังคม

กลไกการตรวจสอบที่โปร่งใสควรถูกออกแบบอย่างมีกลไกถ่วงดุล ไม่ใช่เพื่อจับผิด แต่เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เปรียบได้กับการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างโลกทางโลกและทางธรรม ที่ทำให้ “ศรัทธา” ไม่ต้องตกลงไปในร่องน้ำแห่งความเงียบเฉยของระบบราชการศาสนาอีกต่อไป




 มหาเถรสมาคมซึ่งควรเป็นศูนย์กลางของธรรมวินัย จำเป็นต้องมีระบบตรวจสอบที่เข้มแข็ง เปรียบได้กับแสงแดดที่ส่องผ่านแก้วใส มองเห็นได้ทุกมุม ไม่ใช่แสงเทียนริบหรี่ที่ลอดผ่านกระดาษบางซึ่งพร้อมจะลุกไหม้ได้ทุกเมื่อ หลักการพื้นฐานอย่างการ “พักการปฏิบัติหน้าที่เมื่อมีข้อกล่าวหาร้ายแรง” ควรได้รับการตราเป็นหลักเกณฑ์สากล เหมือนกับการให้คนขับรถลงจากพวงมาลัยชั่วคราวเมื่อมีหลักฐานว่าอาจกำลังมึนเมา

การเปิดช่องทางร้องเรียนออนไลน์และระบบติดตามผลแบบเปิดเผย เป็นการระบายอากาศในห้องที่อับชื้นมานาน แสงแห่งความจริงย่อมต้องการหน้าต่างเปิด ดอกไม้แห่งธรรมย่อมต้องการแดดเพื่อเบิกบาน และเสียงของญาติโยมย่อมต้องได้รับการรับฟัง ไม่ใช่เพียงการสวดรับไปตามพิธี

การให้ความรู้แก่ทั้งพระสงฆ์และคฤหัสถ์ในเรื่องพระธรรมวินัยอย่างต่อเนื่อง ก็เปรียบได้กับการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาในดินที่เตรียมไว้ดี ความรู้ที่ถูกต้องคือวัคซีนทางศีลธรรม ที่สามารถป้องกัน “โรคแห่งความไม่รู้” ซึ่งเป็นต้นเหตุของการหลงผิดทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ

ในระยะยาว หลักสูตรการศึกษาพระสงฆ์ควรเน้นทั้งจริยธรรม ศีลธรรม และการบริหารจัดการอย่างโปร่งใส เปรียบเหมือนการวางเสาเข็มอย่างมั่นคง ไม่ใช่แค่ปลูกต้นกล้วยที่โยกไหวไปตามลม หากแต่เป็นต้นโพธิ์ที่ยืดหยัด แม้เจอลมพายุฝนซัดกระหน่ำ

การรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจบทบาทที่แท้จริงของพระสงฆ์นั้น เป็นภารกิจที่มิอาจมองข้ามหรือผลักให้เป็นเรื่องรองจากการปฏิรูปโครงสร้างภายในของคณะสงฆ์ เพราะในท้ายที่สุด ศาสนจักรจะมั่นคงหรือเปราะบางก็ขึ้นอยู่กับฐานรากของศรัทธา และศรัทธานั้นมิใช่สิ่งที่จะประกาศตนลอย ๆ หากต้องอาศัย “การรู้เท่าทัน” จากประชาชนผู้เป็นเจ้าของศาสนาด้วย

 การแยกแยะระหว่าง “พระแท้” กับ “พระปลอม” เปรียบได้กับการแยก “ทองแท้” จาก “ทองเหลืองชุบ” ซึ่งในทางปฏิบัติไม่อาจกระทำได้ด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว หากต้องใช้ปัญญา ข้อมูล และการฝึกฝนจิตสำนึกเชิงวิพากษ์ เพื่อให้การสนับสนุนศาสนาไม่กลายเป็นเชื้อเพลิงให้ผู้แอบอ้างเอาเปรียบศรัทธาโดยไร้การตรวจสอบ เพราะเมื่อศรัทธาถูกใช้เป็นฉากบังตากิเลส อำนาจของศาสนาก็จะกลายเป็นอาวุธของผู้ไม่บริสุทธิ์

ในบริบทนี้ สื่อมวลชน จึงมิใช่เพียงผู้รายงานเหตุการณ์ หากแต่เป็น กลไกประชาธิปไตยเชิงศีลธรรม ที่ทำหน้าที่เป็น “กระจกเงาแห่งสาธารณะ” สะท้อนทั้งความดีงามและความเสื่อมทรามของผู้สวมจีวรโดยไม่ลำเอียง ไม่บิดเบือน และไม่ละเลย การทำหน้าที่ของสื่อต้องไม่ใช่เพื่อสร้างดรามาข่าวฉาว แต่เพื่อเปิดพื้นที่ให้สังคมได้ตั้งคำถามอย่างมีสติ ได้เห็นบริบท ได้เรียนรู้ และได้ตัดสินใจอย่างมีข้อมูล

ศาสนาไม่ควรอยู่ภายใต้ม่านแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้ หากแต่ควรเป็นพื้นที่สาธารณะที่เปิดรับการถกเถียง ตรวจสอบ และพัฒนาได้อย่างมีสติ สื่อมวลชนจึงต้องกล้าชี้ให้เห็นเมื่อเกิดความเสื่อม แต่ก็ต้องกล้าส่งเสริมเมื่อเกิดสิ่งดีงาม เพื่อให้ศาสนาเดินต่อไปบนเส้นทางที่มีทั้ง ศรัทธา และ สติปัญญา เดินเคียงกันอย่างสมดุล

 ข้อเสนอเรื่องการ “ปฏิวัติโครงสร้างการบริหารคณะสงฆ์” อาจฟังดูรุนแรงเกินไปในหูของบางคน โดยเฉพาะผู้ที่ยึดถือความมั่นคงของรูปแบบสถาบันดั้งเดิมเป็นสรณะ แต่หากเรากล้าพอที่จะพิจารณาจากระดับความเสียหายที่ปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งเรื่องอื้อฉาว การทุจริต ความไร้ประสิทธิภาพของกลไกควบคุมภายใน และความเงียบเฉยของผู้นำในห้วงเวลาวิกฤต ก็จะเห็นชัดเจนว่า “การเปลี่ยนแปลงผิวเผิน” มิอาจเยียวยารากโรคที่ฝังลึกในโครงสร้างอำนาจได้อีกต่อไป

“การปฏิวัติ” ที่พูดถึงนี้ มิใช่การทำลาย แต่คือการรื้อสร้าง (reconstruction) โครงสร้างการบริหารที่รวมศูนย์และขาดกลไกตรวจสอบ ให้กลายเป็นระบบที่กระจายอำนาจ มีความโปร่งใส และเปิดพื้นที่ให้ “สาธารณะ” เข้ามามีบทบาทอย่างแท้จริง เป็นการเปลี่ยนจากระบบ “เสียงเดียว อำนาจเดียว” ที่รวมศูนย์ไว้ในมือกลุ่มผู้นำไม่กี่รูป ไปสู่ “ระบบหลายเสียง อำนาจสมดุล” ที่ทุกภาคส่วน ทั้งพระสงฆ์ ชาวบ้าน นักวิชาการ สื่อมวลชน และองค์กรอิสระ สามารถมีส่วนร่วมในการกำกับ ตรวจสอบ และเสนอแนะแนวนโยบายของสถาบันศาสนาได้อย่างเป็นระบบ

ในระบอบเช่นนี้ ความศักดิ์สิทธิ์จะไม่ใช่ข้อยกเว้นจากความรับผิด แต่เป็นพันธสัญญาต่อสังคม และความไว้วางใจที่ได้รับจะไม่ใช่เครื่องบังหน้าอำนาจ แต่เป็นความรับผิดชอบที่ต้องส่งมอบผลลัพธ์ที่ชัดเจน

 หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้คือ “การคืนวัดให้ชุมชน” โดยการทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด ให้ประชาชนมีบทบาทในการดูแล ร่วมตัดสินใจ และร่วมกำหนดแนวทางการใช้ทรัพยากรของวัด วัดไม่ควรเป็น “หอคอยงาช้าง” ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความเคารพ แต่แยกขาดจากชีวิตของผู้คน หากควรเป็น “บ้านกระจกใส” ที่เปิดเผยทุกแง่มุม ทั้งการบริหารจัดการ การเงิน การรับบริจาค และการจัดกิจกรรม โดยไม่มีมุมมืดของอภิสิทธิ์หรืออำนาจลับ

การเปิดเผยบัญชีการเงินและทรัพย์สินของวัดต่อสาธารณะไม่ควรถูกมองว่าเป็นการทำลายเกียรติ แต่คือการสร้างเกียรติอย่างยั่งยืน ด้วยความโปร่งใสและความกล้าในการตอบคำถามของสังคม การมีระบบบัญชีวัดที่ตรวจสอบได้ในทุกตำบล อำเภอ จังหวัด คือการคืนความศรัทธาให้กับประชาชนในยุคที่ผู้คนตั้งคำถามกับศาสนามากกว่าการสวดมนต์โดยไม่ไตร่ตรอง

ท้ายที่สุด การปฏิรูปที่แท้จริงไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางกฎหมาย แต่คือการเปลี่ยนวัฒนธรรมอำนาจจากแนวตั้งสู่แนวนอน เปลี่ยนศาสนจักรจากสถาบันที่อยู่นอกเหนือการตรวจสอบ มาเป็นสถาบันที่รับฟังสังคมและเติบโตไปกับสังคม โดยไม่สูญเสียสาระของธรรม แต่กลับคืนจิตวิญญาณของธรรมให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
บทสรุป

เรื่องราวของ “สีกากอล์ฟ” เป็นมากกว่าข่าวอื้อฉาวที่จะผ่านไปด้วยกาลเวลา มันเป็นเสียงระฆังเตือนภัยที่ดังก้องในยามเมื่อมีอันตรายใกล้ตัว เป็นการเตือนให้เราตื่นตัวก่อนที่เรือจะจมลงในมหาสมุทรแห่งความไม่ไว้วางใจ

การแก้ไขปัญหาครั้งนี้ต้องอาศัยปัญญาร่วมของทุกฝ่าย เหมือนกับการประกอบเรือลำใหญ่ที่ต้องใช้ช่างฝีมือหลายสาขา ทั้งคณะสงฆ์ที่ต้องกลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ หน่วยงานรัฐที่ต้องสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพ และประชาชนที่ต้องมีส่วนร่วมอย่างชาญฉลาด

การลงมือแก้ไขอย่างจริงจังและโปร่งใสในวันนี้ จะเป็นการรักษา “รอยร้าว” ไม่ให้กลายเป็น “รอยแยก” ที่ยากจะประสาน หากเราปล่อยให้ปัญหานี้คลี่คลายไปตามธรรมชาติ เราอาจต้องเผชิญกับการสูญเสียมรดกทางจิตวิญญาณที่สืบทอดมานับพันปี

 ในที่สุด พุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าเหลืองหรือตำแหน่งทางศาสนา แต่อยู่ที่หัวใจที่บริสุทธิ์และการกระทำที่สุจริต การฟื้นฟูศรัทธาจึงต้องเริ่มจากการฟื้นฟูความซื่อสัตย์ต่อหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ เมื่อนั้น แสงแห่งธรรมะจึงจะกลับมาส่องสว่างในใจของผู้คนอีกครั้งหนึ่ง


กำลังโหลดความคิดเห็น