สรุปภาพรวมปี 2550 ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด อาหาร เครื่องดื่ม ยังบูม ทัพแฟรนไชส์ทั้งอินเตอร์เชนและเชนคนไทย ดาหน้าแห่เปิดตัว นับสิบ ล้วนชูจุดแตกต่างหวังแจ้งเกิด หลีกหนีปัญหาแข่งขันรุนแรงจากรายใหญ่ในแต่ละเซ็กเม้นท์
ช่วงปี 2550 แม้ว่าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในยุคซบเซา กำลังซื้อไม่สะพัดก็ตาม แต่ก็ถือเป็นอีกปีหนึ่งที่วงการฟาสต์ฟู้ดหรือธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มมีความเคลื่อนไหวที่คึกคัก มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆทั้งจากเชนอินเตอร์และแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นโดยคนไทยเอง โดยจะมีทั้งเซ็กเม้นท์เดิมที่มีอยู่แล้วในตลาดและที่ยังไม่มีมาก่อนในไทย
ขณะเดียวกันกลุ่มทุนผู้ประกอบการที่กระโดดเข้มาก็มีทั้งยักษ์ใหญ่รายเก่าในตลาดอยู่แล้ว กับรายใหม่ที่หาญกล้าเข้ามาเล่นในตลาดฟาสต์ฟู้ดนี้ เนื่องจากมูลค่าตลาดฟาสต์ฟู้ดในไทยมีสูงถึง 12,000 ล้านบาท ต่อปี และมีอัตราการเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี จึงเป็นเสน่ห์อันหอมหวนชวนให้มีผู้เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งเสมอ
โดยที่ทุกรายต่างก็สร้างจุดเด่นหรือชูจุดแตกต่าง เพื่อเป็นเอกลักษณ์ที่หวังจแจ้งเกิดให้ได้
“ผู้จัดการรายวัน” ฉบับนี้ จึงขอสรุปความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของบางแบรนด์ที่รุกตลาดในปีนี้
อาหารญี่ปุ่นยังมาแรง หลายรายแจ้งเกิด
ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ผู้เล่นหน้าใหม่กระโดดเข้ามาร่วมมากที่สุด โดยเฉพาะที่น่าจับตามองคือ รายใหญ่อย่าง ซีอาร์จี ที่เพิ่งซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่น “เปปเปอร์ลันช์” จากบริษัท ซันโตรี เอฟ แอนด์ บี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เข้ามาเปิดในไทย เป็นอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่แบบสเต็ค ไม่ซ้ำกับที่มีในตลาดอยู่แล้ว สาขาแรกเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ จับกลุ่มระดับบน
เป้าหมายเบื้องต้นนี้จะเปิดให้ได้ครบ 20 สาขา ภายใน 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งในปีนี้เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ ลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท คาดหวังยอดขายปีแรกที่ 100 ล้านบาท ซึ่งสูงพอสมควร ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะเปิดอีกอย่างต่ำ 3-5 สาขา
นายธีระเดช จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซีอาร์จี มั่นใจว่า เปปเปอร์ลันช์จะประสบความสำเร็จด้วยจุดเด่นที่แตกต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นเดิมทั่วไป เพราะมีทั้งข้าวและสเต๊กสไตล์ญี่ปุ่น ด้วยจุดเด่นของระบบอีเลคโทรนิค ที่ให้ความร้อน 260 องศา ทำให้อาหารมีความร้อนนานกว่าทั่วไป
ส่วนค่ายโออิชิ ที่เป็นผู้นำตลาดอาหารญี่ปุ่นก็แหวกแนวด้วยการซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์เข้ามาเช่นกัน แม้ว่าตัวเองจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นหลายแบรนด์อยู่แล้วก็ตาม โดยเพิ่งเซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้าน “ไมโดะ โอกินิ โชกุโด” จากบริษัท เวนเจอร์ ลิ้งค์ จำกัด ซึ่งเตรียมที่จะเปิดเผยโฉมหน้าสาขาแรกในปีหน้า ซึ่งการบุกครั้งนี้ ทำให้โออิชิ สามารถขยายฐานตลาดอาหารญี่ปุ่นได้เพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งนายตัน ภาสกรนที กรรมการู้จัดการ โออิชิกรุ๊ป ยืนยันว่า แบรนด์ใหม่นี้จะไม่ซ้ำซ้อนหรือมาแย่งลูกค้าเดิมของโออิชิในระยะยาวแน่นอน
โดยงบลงทุนปีหน้าของโออิชิกรุ๊ป มีประมาณ 200 ล้านบาท รวมทั้งแบรนด์เก่าและแบรนด์ใหม่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นงบที่มากกว่าปกติที่ใช้เฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท ชิบูย่า ฟู้ด จำกัด ก็เปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์ “ชิบูย่า” ขึ้นในไทย โดยอาศัยประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงอาหารอยู่แล้ว ซึ่งนางสาวปาริชาติ อัศวเศรณี กรรมการผู้จัดการ ของชิบูย่า กล่าวว่า การรุกเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นครั้งนี้แม้งว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่มั่นใจว่าด้วยความโดดเด่นและจุดขายที่เฉพาะของชิบูย่า จะสามารถสอดแทรกเข้าสู่ตลาดได้
ทั้งนี้ชิบูย่า เน้นการทำตลาดอาหารจานเดี่ยวเป็นหลัก เช่น ราเมง สร้างจุดเด่นด้วยการทำเส้นสดโชว์ทุกวัน เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าไปในตัวด้วย ราคาเฉลี่ย 59-119 บาทต่อเมนู กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ครอบครัวและคนทำงาน ซึ่งปีนี้เปิดบริการไปแล้ว 3 สาขาเช่น ที่ ซีคอนสแควร์และเอสพละนาด และตั้งเป้าหมายรายได้ปีแรกนี้ไว้ที่ 50 ล้านบาท
อีกแบรนด์ที่แม้จะยังไม่ค่อยชินหูคือ “วาซาบิ” แต่ก็น่าสนใจเหมือนกัน ซึ่งเป็นการลงทุนของบริษัท ไทย คูซีน เวิลด์ไวด์ จำกัด ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างนักลงทุนไทยกับกลุ่มทุนญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดสาขาแรกทดลองไปที่ เอสพละนาด เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งทีมผู้บริหารคาดหวังที่จะทำยอดขายสาขาแรกนี้ที่ 2 ล้านบาทต่อเดือน
ตามแผนงานแล้ว ในปีหน้าคาดว่าจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขา ด้วยงบประมาณลฃงทุนรวมกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้ พยายามที่จะเกาะติดไปกับศูนย์การค้าของกลุ่มบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เช่นเดียวกับที่เปิดสาขาแรกที่เอสพละนาด เพราะมองว่ามีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
ร้านกาแฟ แข่งดุแต่ยังบูม
สำหรับธุรกิจร้านกาแฟยังเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ตลาดหนึ่งที่ยังคงมีผู้สนใจเข้ามาร่วมสังฆกรรมไม่ขาดสายทั้งรายใหญ่รายเล็ก แบรนด์ไทยและอินเตอร์แบรนด์ แม้ว่าจะเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการหลายรายประเมินว่า แข่งขันกันรุนแรงและเริ่มอิ่มตัวแล็วก็ตาม
ปีนี้บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจ ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต ในเครือซีอาร์ซี ได้ซื้อแฟรรนไชส์ ร้านกาแฟ เซกราเฟรโดจากอิตาลีเข้ามาเปิดบริการในไทย ซึ่งถือเป็นแบรนด์พรีเมียมของอิตาลีและเป็นที่รู้จักอย่างดีสำหรับคอกาแฟ
โดยแผนลงทุนระยะยาว 5 ปีจะเปิดให้ได้ 40 สาขาทั่วประเทศ ด้วยงบลงทุนเบื้องต้นกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีแล้วไม่ต่ำกว่า 4 สาขาเช่น เซ็นทรัลเวิลด์, ทองหล่อ และสุขุมวิท 41 ซึ่งเซกาเฟรโดคาดหวังที่จะเป็นผู้นำในตลาดระดับพรีเมี่ยม โดยขยายสาขาเกาะติดไปกับเครือข่ายเซ็นทรัลเป็นหลัก พร้อมกับสแตนด์อโลนด้วย
จุดแข็งหรือจุดขายของเซกาเฟรโดก็คือ การย้ำว่าเป็นกาแฟพรีเมี่ยมจากอิตาลีที่ชัดเจนในตลาดเมืองไทย
ส่วนรายใหญ่อีกรายที่เดินเข้าสู่ตลาดร้านกาแฟคือ กลุ่มไมเนอร์ ในนามบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่เปิดเกมรุกไม่ใช่การซื้อแฟรนไชส์เข้ามา แต่เป็นการเข้าถือหุ้นด้วยการซื้อหุ้นในบริษัท คอฟฟี่ คลับ โฮลดิ้ง จำกัด ร้านกาแฟรายใหญ่ของประเทศออสเตรเลีย และเตรียมรุกธุรกิจในประเทศไทยปี 2551
กลุ่มไมเนอร์กลายเป็นเจ้าของ “คอฟฟี่คลับ” ไปแล้วหลังจากการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 50% หรือคิดเป็นเงินลงทุนกว่า 23 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งได้เปิดเผยไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ผู้ถือหุ้นเดิมทั้ง 3 รายเดิมนั้น ยังคงถือหุ้นรวมกันจำนวน 50%
โดยคอฟฟี่คลับเป็นแบรนด์ร้านกาแฟที่เติบโตเร็วมาก มียอดขายมากกว่า 145 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ปัจจุบันมีสาขาภายใต้แบรนด์คอฟี่คลับกว่า 180 แห่งแล้ว และมีการ ขยายสาขาไม่ต่ำกว่า 25-30 สาขาต่อปี คาดว่าอีก 5 ปีจากนี้จะมีสาขาในออสเตรเลียมากกว่า 300 สาขา
อาหารแนวใหม่ดาหน้าเปิดตัว
ส่วนที่เป็นอาหารรูปแบบแนวใหม่ที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้น โคนพิซซ่า หรือพิซซ่าที่อยู่ในรูปของโคน แตกต่างจากพิซซ่าทั่วไปที่เห็นกันเป็นถาดกลมๆ
โคนพิซซ่า อยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท ฟู๊ดสไตล์ จำกัด ที่คนในตระกูลหวั่งหลีเป็นผู้บริหาร โดยซื้อโนว์ฮาว์มาจากผู้ประกอบการพิซซ่าแบโคนนี้รายหนึ่งจากประเทศอิตาลี ซึ่งขณะนี้พิซซ่าแบบโคนเป็นที่นิยมอย่างมากในอิตาลี
ทั้งนี้โคนพิซซ่าสาขาแรกเปิดบริการแล้วในเดือนธันวาคมนี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นแบบเคานต์เตอร์คีออส ลงทุน 5 ล้านบาท พื้นที่ 30 ตารางเมตร และปีหน้าตั้งเป้าหมายที่จะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา โดยเป็นแบบร้านเต็มรูปแบบที่มีที่นั่งทานด้วย พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 50 ตารางเมตรขึ้นไป
นายวุฒิพล หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู๊ดสไตล์ จำกัด กล่าวว่า คาดว่าจะแจ้งเกิดโคนพิซซ่าในไทยได้ไม่ยาก ด้วยรูปแบบของสินค้าและการทานที่แตกต่างจากพิซซ่าแบบเดิมๆที่มีอยู่ในท้องตลาด อีกทั้งยังสะดวกสามารถเดินทานได้ด้วย กลุ่มเป้าหมายหลักคือ วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ รวมทั้งคนทำงานด้วย โดยคาดว่าจะมียอดขาย 350,000 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 150 โคนต่อวัน
เรียกว่าเป็นการสร้างตลาดใหม่ หนีการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดพิซซ่าจาก 2 ยักษ์ใหญ่
อีกรายที่เริ่มมาแรงแม้เพิ่งเปิดตัวปีนี้คือ ไอศกรีมเรดแมงโก้ โดยบริษัท เคอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้บริหาร ซึ่งมาจากเกาหลีโดยตรง โดยจุดขายของเรดแมงโก้คือ การวางตำแหน่งเป็นไอศกรีมโยเกิร์ตระดับพรีเมี่ยม โดยขณะนี้เปิดสาขาไปแล้วในไทย 3 แห่งคือ ตึกซีอาร์ซี พื้นที่ขนาด 30 ตารางเมตร สยามเซ็เตอร์และเดอะมอลล์บางกะปิ ซึ่งตั้งเป้าหมายในปี 2551 จะมีทั้งหมด 30 สาขา ด้วยรูปแบบ 3 อย่าง คือ ขนาดเล็กไม่เกิน 30 ตารางเมตร ค่าแฟรนไชส์ 2.5 ล้านบาท 2.ขนาดกลาง ไม่เกิน 100 ตารางเมตร ค่าแฟรนไชส์ 5-6 ล้านบาท ขนาดใหญ่ ไม่เกิน 150 ตารางเมตร ค่าแฟรนไชส์ 10 ล้านบาท
ที่มาแรงและคงเห็นภาพการเข้าแถวของผู้บริโภคที่รอคิวซื้อกันแล้วคือ “มอสเบอร์เกอร์” เบอร์เกอร์พันธ์ซามูไร ซึ่งบริษัทแม่เจ้าของลิขสิทธิ์เข้ามาดำเนินการเอง ร่วมทุนกับคนไทยบางส่วน สขาแรกเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์
มอสเบอร์เกอร์วางแผนเปิดสาขาภายใน 3 ปีแรกจากนี้ทั้งหมด 12 สาขา ด้วยงบลงทุนรวม 100 ล้านบาทโดยประมาณ โดยชูจุดแข็งที่เน้นเมนูสุขภาพเป็นหลัก ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ห่วงใยสุขภาพ โดยจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าเบอร์เกอร์แบรนด์อื่นในตลาด
สำหรับร้าน แดรี่ควีน ซึ่งเป็นร้านเก่าที่อยู่ในไทยมานานแล้วโดยการบริหารของกลุ่มไมเนอร์
แต่ปีนี้ ได้มีการฉลองเปิดครบ 200 สาขา เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งบริษัทแม่ก็มาร่วมงานด้วย พร้อมกับการขยายสิทธิ์ให้กับกลุ่มไมเนอร์ในการทำตลาด แดรี่ควีนอีกรูปแบบหนึ่งคือ
“ร้าน ดีคิว กริลล์ แอนด์ ชิลด์” ซึ่งอาหารที่จำหน่ายในร้านจะเน้นในส่วนของ แฮมเบอร์เกอร์ ชิคเก้นสตริปบาสเก็ต สลัด เป็นต้น แตกต่างจากร้านแดรี่ควีนเดิมที่จำหน่าย ไอศกรีม และเครื่องดื่มเป็นหลัก
โดยกลุ่มไมเนอร์เตรียมที่จะเปิดสาขาแรกในปีหน้า ด้วยเป้าหมายที่ตั้งไว้ระยะยาว 5 ปีจากนี้ จะมีสาขาที่เป็นของ ดีคิว กริลล์แอนด์ชิลด์ ไม่ต่ำกว่า 30 จุดขาย จากงบประมาณกว่า 450 ล้านบาท ที่ไม่รวมการลงทุนเปิดร้านแดรี่ควีนที่จำหน่ายไอศกรีมอีกกว่า 50 สาขาด้วยงบ 100 ล้านบาท
ร้านอาหารอีกรายที่จะกล่าวคือ “มองโกส” ร้านอาหารสไตล์มองโกเลียจากประเทศเยอรมัน ซึ่งบริษัท มองโกสไทย จำกัด ในกลุ่มของบริษัท แอลบีซี แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นผู้รับลิขสิทธิ์เข้ามาเปิดดำเนินการ และยังได้รับสิทธิ์ในภูมิภาคเอเซียด้วย
สาขาแรกในไทยลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ถนนสุขุมวิท จับกลุ่มเป้าหมายบีบวกขึ้นไป ราคาอาหารอยู่ที่ระดับ 250-1,000 บาท และมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มเช่นที่ พัทยา และเตรียมที่จะขายแฟรนไชส์ด้วยเช่นกัน
ถือเป็นร้านอาหารมองโกล อินเตอร์เชนรายแรกๆที่เข้ามารุกกิจการไทยก็ว่าได้ และเป็นการสร้างตลาดใหม่ในไทยที่น่าสนใจด้วย
นี่เป็นเพียงการนำเสนอเฉพาะเชนใหญ่ๆที่มีบทบาทและเกมรุกที่น่าสนใจเท่านั้น ยังมินับรวมอีกหลายรายที่เข้ามาโลดแล่นในตลาดไทยอีกมาก
ช่วงปี 2550 แม้ว่าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในยุคซบเซา กำลังซื้อไม่สะพัดก็ตาม แต่ก็ถือเป็นอีกปีหนึ่งที่วงการฟาสต์ฟู้ดหรือธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มมีความเคลื่อนไหวที่คึกคัก มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆทั้งจากเชนอินเตอร์และแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นโดยคนไทยเอง โดยจะมีทั้งเซ็กเม้นท์เดิมที่มีอยู่แล้วในตลาดและที่ยังไม่มีมาก่อนในไทย
ขณะเดียวกันกลุ่มทุนผู้ประกอบการที่กระโดดเข้มาก็มีทั้งยักษ์ใหญ่รายเก่าในตลาดอยู่แล้ว กับรายใหม่ที่หาญกล้าเข้ามาเล่นในตลาดฟาสต์ฟู้ดนี้ เนื่องจากมูลค่าตลาดฟาสต์ฟู้ดในไทยมีสูงถึง 12,000 ล้านบาท ต่อปี และมีอัตราการเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี จึงเป็นเสน่ห์อันหอมหวนชวนให้มีผู้เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งเสมอ
โดยที่ทุกรายต่างก็สร้างจุดเด่นหรือชูจุดแตกต่าง เพื่อเป็นเอกลักษณ์ที่หวังจแจ้งเกิดให้ได้
“ผู้จัดการรายวัน” ฉบับนี้ จึงขอสรุปความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของบางแบรนด์ที่รุกตลาดในปีนี้
อาหารญี่ปุ่นยังมาแรง หลายรายแจ้งเกิด
ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นตลาดที่ผู้เล่นหน้าใหม่กระโดดเข้ามาร่วมมากที่สุด โดยเฉพาะที่น่าจับตามองคือ รายใหญ่อย่าง ซีอาร์จี ที่เพิ่งซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่น “เปปเปอร์ลันช์” จากบริษัท ซันโตรี เอฟ แอนด์ บี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เข้ามาเปิดในไทย เป็นอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่แบบสเต็ค ไม่ซ้ำกับที่มีในตลาดอยู่แล้ว สาขาแรกเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์ จับกลุ่มระดับบน
เป้าหมายเบื้องต้นนี้จะเปิดให้ได้ครบ 20 สาขา ภายใน 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งในปีนี้เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ ลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท คาดหวังยอดขายปีแรกที่ 100 ล้านบาท ซึ่งสูงพอสมควร ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะเปิดอีกอย่างต่ำ 3-5 สาขา
นายธีระเดช จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซีอาร์จี มั่นใจว่า เปปเปอร์ลันช์จะประสบความสำเร็จด้วยจุดเด่นที่แตกต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นเดิมทั่วไป เพราะมีทั้งข้าวและสเต๊กสไตล์ญี่ปุ่น ด้วยจุดเด่นของระบบอีเลคโทรนิค ที่ให้ความร้อน 260 องศา ทำให้อาหารมีความร้อนนานกว่าทั่วไป
ส่วนค่ายโออิชิ ที่เป็นผู้นำตลาดอาหารญี่ปุ่นก็แหวกแนวด้วยการซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์เข้ามาเช่นกัน แม้ว่าตัวเองจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นหลายแบรนด์อยู่แล้วก็ตาม โดยเพิ่งเซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ร้าน “ไมโดะ โอกินิ โชกุโด” จากบริษัท เวนเจอร์ ลิ้งค์ จำกัด ซึ่งเตรียมที่จะเปิดเผยโฉมหน้าสาขาแรกในปีหน้า ซึ่งการบุกครั้งนี้ ทำให้โออิชิ สามารถขยายฐานตลาดอาหารญี่ปุ่นได้เพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งนายตัน ภาสกรนที กรรมการู้จัดการ โออิชิกรุ๊ป ยืนยันว่า แบรนด์ใหม่นี้จะไม่ซ้ำซ้อนหรือมาแย่งลูกค้าเดิมของโออิชิในระยะยาวแน่นอน
โดยงบลงทุนปีหน้าของโออิชิกรุ๊ป มีประมาณ 200 ล้านบาท รวมทั้งแบรนด์เก่าและแบรนด์ใหม่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นงบที่มากกว่าปกติที่ใช้เฉลี่ยปีละ 100 ล้านบาท
ขณะที่บริษัท ชิบูย่า ฟู้ด จำกัด ก็เปิดตัวร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์ “ชิบูย่า” ขึ้นในไทย โดยอาศัยประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงอาหารอยู่แล้ว ซึ่งนางสาวปาริชาติ อัศวเศรณี กรรมการผู้จัดการ ของชิบูย่า กล่าวว่า การรุกเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นครั้งนี้แม้งว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่มั่นใจว่าด้วยความโดดเด่นและจุดขายที่เฉพาะของชิบูย่า จะสามารถสอดแทรกเข้าสู่ตลาดได้
ทั้งนี้ชิบูย่า เน้นการทำตลาดอาหารจานเดี่ยวเป็นหลัก เช่น ราเมง สร้างจุดเด่นด้วยการทำเส้นสดโชว์ทุกวัน เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าไปในตัวด้วย ราคาเฉลี่ย 59-119 บาทต่อเมนู กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ครอบครัวและคนทำงาน ซึ่งปีนี้เปิดบริการไปแล้ว 3 สาขาเช่น ที่ ซีคอนสแควร์และเอสพละนาด และตั้งเป้าหมายรายได้ปีแรกนี้ไว้ที่ 50 ล้านบาท
อีกแบรนด์ที่แม้จะยังไม่ค่อยชินหูคือ “วาซาบิ” แต่ก็น่าสนใจเหมือนกัน ซึ่งเป็นการลงทุนของบริษัท ไทย คูซีน เวิลด์ไวด์ จำกัด ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างนักลงทุนไทยกับกลุ่มทุนญี่ปุ่น ซึ่งได้เปิดสาขาแรกทดลองไปที่ เอสพละนาด เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งทีมผู้บริหารคาดหวังที่จะทำยอดขายสาขาแรกนี้ที่ 2 ล้านบาทต่อเดือน
ตามแผนงานแล้ว ในปีหน้าคาดว่าจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขา ด้วยงบประมาณลฃงทุนรวมกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มนี้ พยายามที่จะเกาะติดไปกับศูนย์การค้าของกลุ่มบริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เช่นเดียวกับที่เปิดสาขาแรกที่เอสพละนาด เพราะมองว่ามีกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
ร้านกาแฟ แข่งดุแต่ยังบูม
สำหรับธุรกิจร้านกาแฟยังเป็นอีกหนึ่งตลาดใหญ่ตลาดหนึ่งที่ยังคงมีผู้สนใจเข้ามาร่วมสังฆกรรมไม่ขาดสายทั้งรายใหญ่รายเล็ก แบรนด์ไทยและอินเตอร์แบรนด์ แม้ว่าจะเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการหลายรายประเมินว่า แข่งขันกันรุนแรงและเริ่มอิ่มตัวแล็วก็ตาม
ปีนี้บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจ ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต ในเครือซีอาร์ซี ได้ซื้อแฟรรนไชส์ ร้านกาแฟ เซกราเฟรโดจากอิตาลีเข้ามาเปิดบริการในไทย ซึ่งถือเป็นแบรนด์พรีเมียมของอิตาลีและเป็นที่รู้จักอย่างดีสำหรับคอกาแฟ
โดยแผนลงทุนระยะยาว 5 ปีจะเปิดให้ได้ 40 สาขาทั่วประเทศ ด้วยงบลงทุนเบื้องต้นกว่า 80 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีแล้วไม่ต่ำกว่า 4 สาขาเช่น เซ็นทรัลเวิลด์, ทองหล่อ และสุขุมวิท 41 ซึ่งเซกาเฟรโดคาดหวังที่จะเป็นผู้นำในตลาดระดับพรีเมี่ยม โดยขยายสาขาเกาะติดไปกับเครือข่ายเซ็นทรัลเป็นหลัก พร้อมกับสแตนด์อโลนด้วย
จุดแข็งหรือจุดขายของเซกาเฟรโดก็คือ การย้ำว่าเป็นกาแฟพรีเมี่ยมจากอิตาลีที่ชัดเจนในตลาดเมืองไทย
ส่วนรายใหญ่อีกรายที่เดินเข้าสู่ตลาดร้านกาแฟคือ กลุ่มไมเนอร์ ในนามบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่เปิดเกมรุกไม่ใช่การซื้อแฟรนไชส์เข้ามา แต่เป็นการเข้าถือหุ้นด้วยการซื้อหุ้นในบริษัท คอฟฟี่ คลับ โฮลดิ้ง จำกัด ร้านกาแฟรายใหญ่ของประเทศออสเตรเลีย และเตรียมรุกธุรกิจในประเทศไทยปี 2551
กลุ่มไมเนอร์กลายเป็นเจ้าของ “คอฟฟี่คลับ” ไปแล้วหลังจากการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 50% หรือคิดเป็นเงินลงทุนกว่า 23 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งได้เปิดเผยไปเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ขณะที่ผู้ถือหุ้นเดิมทั้ง 3 รายเดิมนั้น ยังคงถือหุ้นรวมกันจำนวน 50%
โดยคอฟฟี่คลับเป็นแบรนด์ร้านกาแฟที่เติบโตเร็วมาก มียอดขายมากกว่า 145 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ปัจจุบันมีสาขาภายใต้แบรนด์คอฟี่คลับกว่า 180 แห่งแล้ว และมีการ ขยายสาขาไม่ต่ำกว่า 25-30 สาขาต่อปี คาดว่าอีก 5 ปีจากนี้จะมีสาขาในออสเตรเลียมากกว่า 300 สาขา
อาหารแนวใหม่ดาหน้าเปิดตัว
ส่วนที่เป็นอาหารรูปแบบแนวใหม่ที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้น โคนพิซซ่า หรือพิซซ่าที่อยู่ในรูปของโคน แตกต่างจากพิซซ่าทั่วไปที่เห็นกันเป็นถาดกลมๆ
โคนพิซซ่า อยู่ภายใต้การบริหารของ บริษัท ฟู๊ดสไตล์ จำกัด ที่คนในตระกูลหวั่งหลีเป็นผู้บริหาร โดยซื้อโนว์ฮาว์มาจากผู้ประกอบการพิซซ่าแบโคนนี้รายหนึ่งจากประเทศอิตาลี ซึ่งขณะนี้พิซซ่าแบบโคนเป็นที่นิยมอย่างมากในอิตาลี
ทั้งนี้โคนพิซซ่าสาขาแรกเปิดบริการแล้วในเดือนธันวาคมนี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เป็นแบบเคานต์เตอร์คีออส ลงทุน 5 ล้านบาท พื้นที่ 30 ตารางเมตร และปีหน้าตั้งเป้าหมายที่จะเปิดเพิ่มอีก 3 สาขา โดยเป็นแบบร้านเต็มรูปแบบที่มีที่นั่งทานด้วย พื้นที่ไม่ต่ำกว่า 50 ตารางเมตรขึ้นไป
นายวุฒิพล หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู๊ดสไตล์ จำกัด กล่าวว่า คาดว่าจะแจ้งเกิดโคนพิซซ่าในไทยได้ไม่ยาก ด้วยรูปแบบของสินค้าและการทานที่แตกต่างจากพิซซ่าแบบเดิมๆที่มีอยู่ในท้องตลาด อีกทั้งยังสะดวกสามารถเดินทานได้ด้วย กลุ่มเป้าหมายหลักคือ วัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ รวมทั้งคนทำงานด้วย โดยคาดว่าจะมียอดขาย 350,000 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 150 โคนต่อวัน
เรียกว่าเป็นการสร้างตลาดใหม่ หนีการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดพิซซ่าจาก 2 ยักษ์ใหญ่
อีกรายที่เริ่มมาแรงแม้เพิ่งเปิดตัวปีนี้คือ ไอศกรีมเรดแมงโก้ โดยบริษัท เคอาร์ซี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้บริหาร ซึ่งมาจากเกาหลีโดยตรง โดยจุดขายของเรดแมงโก้คือ การวางตำแหน่งเป็นไอศกรีมโยเกิร์ตระดับพรีเมี่ยม โดยขณะนี้เปิดสาขาไปแล้วในไทย 3 แห่งคือ ตึกซีอาร์ซี พื้นที่ขนาด 30 ตารางเมตร สยามเซ็เตอร์และเดอะมอลล์บางกะปิ ซึ่งตั้งเป้าหมายในปี 2551 จะมีทั้งหมด 30 สาขา ด้วยรูปแบบ 3 อย่าง คือ ขนาดเล็กไม่เกิน 30 ตารางเมตร ค่าแฟรนไชส์ 2.5 ล้านบาท 2.ขนาดกลาง ไม่เกิน 100 ตารางเมตร ค่าแฟรนไชส์ 5-6 ล้านบาท ขนาดใหญ่ ไม่เกิน 150 ตารางเมตร ค่าแฟรนไชส์ 10 ล้านบาท
ที่มาแรงและคงเห็นภาพการเข้าแถวของผู้บริโภคที่รอคิวซื้อกันแล้วคือ “มอสเบอร์เกอร์” เบอร์เกอร์พันธ์ซามูไร ซึ่งบริษัทแม่เจ้าของลิขสิทธิ์เข้ามาดำเนินการเอง ร่วมทุนกับคนไทยบางส่วน สขาแรกเปิดที่เซ็นทรัลเวิลด์
มอสเบอร์เกอร์วางแผนเปิดสาขาภายใน 3 ปีแรกจากนี้ทั้งหมด 12 สาขา ด้วยงบลงทุนรวม 100 ล้านบาทโดยประมาณ โดยชูจุดแข็งที่เน้นเมนูสุขภาพเป็นหลัก ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ห่วงใยสุขภาพ โดยจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าเบอร์เกอร์แบรนด์อื่นในตลาด
สำหรับร้าน แดรี่ควีน ซึ่งเป็นร้านเก่าที่อยู่ในไทยมานานแล้วโดยการบริหารของกลุ่มไมเนอร์
แต่ปีนี้ ได้มีการฉลองเปิดครบ 200 สาขา เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งบริษัทแม่ก็มาร่วมงานด้วย พร้อมกับการขยายสิทธิ์ให้กับกลุ่มไมเนอร์ในการทำตลาด แดรี่ควีนอีกรูปแบบหนึ่งคือ
“ร้าน ดีคิว กริลล์ แอนด์ ชิลด์” ซึ่งอาหารที่จำหน่ายในร้านจะเน้นในส่วนของ แฮมเบอร์เกอร์ ชิคเก้นสตริปบาสเก็ต สลัด เป็นต้น แตกต่างจากร้านแดรี่ควีนเดิมที่จำหน่าย ไอศกรีม และเครื่องดื่มเป็นหลัก
โดยกลุ่มไมเนอร์เตรียมที่จะเปิดสาขาแรกในปีหน้า ด้วยเป้าหมายที่ตั้งไว้ระยะยาว 5 ปีจากนี้ จะมีสาขาที่เป็นของ ดีคิว กริลล์แอนด์ชิลด์ ไม่ต่ำกว่า 30 จุดขาย จากงบประมาณกว่า 450 ล้านบาท ที่ไม่รวมการลงทุนเปิดร้านแดรี่ควีนที่จำหน่ายไอศกรีมอีกกว่า 50 สาขาด้วยงบ 100 ล้านบาท
ร้านอาหารอีกรายที่จะกล่าวคือ “มองโกส” ร้านอาหารสไตล์มองโกเลียจากประเทศเยอรมัน ซึ่งบริษัท มองโกสไทย จำกัด ในกลุ่มของบริษัท แอลบีซี แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นผู้รับลิขสิทธิ์เข้ามาเปิดดำเนินการ และยังได้รับสิทธิ์ในภูมิภาคเอเซียด้วย
สาขาแรกในไทยลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ถนนสุขุมวิท จับกลุ่มเป้าหมายบีบวกขึ้นไป ราคาอาหารอยู่ที่ระดับ 250-1,000 บาท และมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มเช่นที่ พัทยา และเตรียมที่จะขายแฟรนไชส์ด้วยเช่นกัน
ถือเป็นร้านอาหารมองโกล อินเตอร์เชนรายแรกๆที่เข้ามารุกกิจการไทยก็ว่าได้ และเป็นการสร้างตลาดใหม่ในไทยที่น่าสนใจด้วย
นี่เป็นเพียงการนำเสนอเฉพาะเชนใหญ่ๆที่มีบทบาทและเกมรุกที่น่าสนใจเท่านั้น ยังมินับรวมอีกหลายรายที่เข้ามาโลดแล่นในตลาดไทยอีกมาก