“ปิยสวัสดิ์” แนะทางออกคมนาคมชะลอขึ้นค่าโดยสาร ยึดราคาไบโอดีเซล (บี 5 ) แทนดีเซล เหตุรัฐมีทางเลือกให้ใช้ แถมหาเติมได้ง่าย เพราะเปิดขายกว่า 800 ปั๊มแล้ว ยันไม่คิดอุ้มราคาน้ำมันด้วยการลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ป้องกันเกิดปัญหาเหมือนในอดีต เตรียมบังคับแท็กซี่ใหม่หลัง 31 ธ.ค.นี้ ต้องติด NGV การบินไทยสุดอั้น เตรียมปรับราคาค่าตั๋วที่ซื้อในต่างประเทศไปจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ พร้อมหาทางปรับค่าธรรมเนียมน้ำมันเพิ่ม “พาณิชย์”สั่งเจ้าหน้าที่จับตาปั๊มกักตุน ปฏิเสธการขาย หลังน้ำมันขึ้นต่อเนื่อง
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการสัมมนาเรื่อง การส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ วานนี้ (23พ.ย.)ว่า ราคาดีเซลที่ปรับขึ้นล่าสุดไปที่ระดับ 29.34 บาทต่อลิตร และหลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะปรับไปถึงระดับ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะมีผลให้ค่าโดยสารที่กระทรวงคมนาคม ตกลงที่จะให้ปรับเพิ่มได้นั้น กระทรวงคมนาคมควรจะพิจารณาฐานของราคาไบโอดีเซลหรือบี 5 แทนดีเซล เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าดีเซลถึง 1 บาท ต่อลิตร โดยราคาอยู่ที่ 28.34 บาทต่อลิตร เท่านั้น ซึ่งผู้ประกอบการมีทางเลือกที่จะใช้ เพราะมีปั๊มน้ำมันขายมากกว่า 800 แห่งแล้ว
"วันนี้รัฐได้มีทางเลือกให้กับประชาชนทั้งแก๊สโซฮอล์ที่ต่ำกว่าเบนซิน 4 บาทต่อลิตร บี 5 ต่ำกว่าดีเซล 1 บาทต่อลิตร และไม่ต้องการให้ประชาชนไปมองว่า เบนซิน 95 จะ 33 บาทต่อลิตร เพราะวันนี้คนใช้เบนซิน 95 เหลือน้อยมากแล้ว และบี 5 เองคนก็หันมาใช้มากถึง 3 ล้านลิตรต่อวัน ค่ายรถก็ประกันคุณภาพ ซึ่งบี 5 กับไบโอชุมชน คนละเกรดกันต้องเข้าใจด้วย อย่างไรก็ตาม บี 5 ราคาที่ต่ำกว่า ดีเซล 1 บาทต่อลิตรในอนาคตอาจเพิ่มส่วนต่างให้อีกก็เป็นไปได้” นายปิยสวัสดิ์กล่าว
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า สำหรับการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของดีเซลลงอีก หลังจากลดมาแล้ว 60 สตางค์ต่อลิตรนั้น ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นจะต้องลดลงอีกโดยจะยังคงต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกประกอบด้วย ซึ่งแม้ว่าจะลดลง 20-30 สตางค์ต่อลิตรทันที แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้บริโภคจะซื้อน้ำมันได้ต่ำลงได้ตลอดไป เนื่องจากท้ายสุดเงินเหล่านี้ก็จะต้องเก็บเข้ามาคืนกองทุนฯ ซึ่งบางครั้งต้องบวกดอกเบี้ยเพิ่มเข้าไปอีก ดังนั้น รัฐบาลปัจจุบันจึงมุ่งหวังที่จะให้ภาระหนี้กองทุนฯ ที่เกิดจากการตรึงราคาน้ำมันเกือบแสนล้านบาทหมดลงภายในสิ้นปีนี้
“อย่ามองว่ารัฐจะต้องเข้าไปช่วยเหลืออยู่ตลอด เพราะการที่พรรคการเมืองไหนบอกว่าจะลดเก็บเงินกองทุน หรือลดภาษีน้ำมันให้ เขาก็ใช้เงินของประชาชนทั้งนั้น เพราะวันข้างหน้าก็ต้องเรียกเก็บเหมือนกับที่เป็นอยู่ขณะนี้ ซึ่งหากพรรคไหนบอกว่าจะออกเงินเองผมก็พร้อมจะลดให้ ขณะเดียวกันเร็วๆ นี้จะเสนอเพื่อออกเป็นพ.ร.ฎ. แก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องของวัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ชัดเจนของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อป้องกันใช้กันเพลิน จนก่อหนี้มากเช่นรัฐบาลที่ผ่านมา" นายปิยสวัสดิ์กล่าว
สำหรับการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ หรือ NGV ในรถแท็กซี่ จะเป็นมาตรการหนึ่งที่จะช่วยลดภาระแท็กซี่หลังจากรัฐบาลมีนโยบายปรับราคาก๊าซหุงต้มในเร็วๆ นี้เพื่อป้องกันปัญหาการใช้ที่มากกว่าการผลิตในประเทศที่หากปล่อยไว้จะทำให้ขาดแคลนในปี 2552 ได้ ซึ่งขณะนี้ได้เร่งให้ปตท. เร่งแก้ไขปัญหา NGV ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น โดยให้เร่งใน 2 ส่วน คือ เร่งการขนส่งและการสร้างสถานีบริการ NGV ใหม่ให้อยู่ติดกับท่อลำเลียงก๊าซ
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ความต้องการใช้ก๊าซ NGV เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว เนื่องจากผู้ประกอบการรถแท็กซี่หันมาติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV มากขึ้น หลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณ NGV ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ปัจจุบันกำลังการจ่ายก๊าซฯ ของสถานีแม่มีเพียง 740 ตัน/วัน ขณะที่ความต้องการใช้ NGV มีถึง 800 ตัน/วัน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้เร่งเพิ่มปริมาณก๊าซฯสำหรับสถานีจ่ายก๊าซ สถานีแม่เพื่อสนองความต้องการใช้ที่จะเพิ่มขึ้น
**บังคับแท็กซี่ใหม่ 31 ธ.ค.ติด NGV
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ได้หารือกับผู้ประกอบการรถแท็กซี่ เพื่อจูงใจให้เปลี่ยนเชื้อเพลิงจากก๊าซหุงต้มมาติดตั้ง NGV แทนเนื่องจากระยะยาวแล้วจะคุ้มค่ากว่า เพราะรัฐมีนโยบายจะลดการอุดหนุนส่วนของกองทุนน้ำมันฯที่อุดหนุนราคา กก.ละ 1.29 บาท ขณะที่ราคา NGV จะคงที่ 8.50 บาทต่อกก.ไปจนถึงสิ้นปี 51 และหลังจากนั้นหากจะมีการเปลี่ยนราคาคงจะขึ้นไม่เกิน 1 บาทต่อกก. นอกจากนี้คมนาคมยังออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับให้รถแท็กซี่ในกทม.ใหม่ทุกคันต้องติดNGV มีผลตั้งแต่ 31 ธ.ค. 50
ในส่วนเจ้าของปั๊มก๊าซหุงต้มที่ต้องการปรับเปลี่ยนเป็นปั๊ม NGV ปตท.จะลงทุนให้ทั้งหมดแห่งละ 10 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีอยู่ 129 แห่งซึ่งต่างจากปั๊มก๊าซหุงต้มที่จะต้องลงทุนเอง ส่วนคนขับรถแท็กซี่ที่ต้องการเปลี่ยนถังเชื้อเพลิง ปตท.จะลงทุนเปลี่ยนให้ฟรี โดยขณะนี้มีรถแท็กซี่เก่าที่ใช้ก๊าซหุงต้มอยู่ประมาณ 50,000 คัน ตั้งเป้าว่าภายในปี 52 จะเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซหุงต้มมาเป็น NGV ให้ได้ทั้งหมด
**บินไทยเตรียมปรับค่าโดยสาร
เรืออากาศโทอภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมัน ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนี้ว่า ส่งผลให้สายการบินมีต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น 30% และกระทบต่อการทำธุรกิจ จึงต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาค่าโดยสารเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง โดยในปี 2551 การบินไทยจะปรับขึ้นค่าโดยสารในส่วนผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสารจากต่างประเทศ และต่อเครื่องในประเทศไทยไปยังจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งการปรับขึ้นค่าโดยสารครั้งนี้จะไม่กระทบการซื้อตั๋วโดยสารในประเทศ แม้ราคาตั๋วโดยสารในประเทศยังไม่ถึงเพดานที่ได้รับอนุมัติจากกรมการขนส่งทางอากาศก็ตาม
โดยขณะนี้การบินไทยมีอัตราผู้โดยสารเฉลี่ย 79-80 % ต่อเที่ยวบิน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว (High Season) แต่เดือนก.พ.-พ.ค. ซึ่งเป็นฤดูร้อนของยุโรป นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาประเทศไทยน้อยลง ทำให้ช่วงนี้การบินไทยจะขาดทุน ก็จะพิจารณาปรับลดเที่ยวบินในช่วงเวลาดังกล่าวให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสาร พร้อมรณรงค์ขายตั๋วโดยสารเพื่อดึงดูดลูกค้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่มเส้นทางบินไปอินเดียและจีนให้มากขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินกลางคืน
นอกจากนี้ การบินไทยจะพิจารณาปรับกระบวนการขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน (Fuel Surcharge) ให้เร็วขึ้น เพื่อให้การชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบจากราคาน้ำมันเป็นไปตามสถานการณ์จริงที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ที่ผ่านมาแม้ว่าการบินไทยจะมีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน แล้ว แต่สามารถชดเชยต้นทุนที่เกิดจากจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้เพียง 50 % เท่านั้น ในขณะที่ก่อนหน้านี้ การบินไทยสามารถชดเชยต้นทุนน้ำมันด้วยการขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมันได้ถึง70%
ทั้งนี้ การบินไทยได้ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายน้ำมันปี 2549-2550 จำนวน 70,000 ล้านบาท และปีนี้ได้ตั้งงบประมาณสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาสำหรับค่าเชื้อเพลิงน้ำมัน จากเดิมมีสัดส่วนคิดเป็น 15-18 % ของต้นทุนทั้งหมด
**“พาณิชย์”จับตาปั๊มกันกักตุน
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปตรวจสอบปั๊มน้ำมันต่างๆว่ามีการกักตุนน้ำมัน หรือปฏิเสธการขายหรือไม่ เพื่อเก็บน้ำมันไปขายหลังจากที่ได้มีการปรับราคาใหม่แล้ว เพราะขณะนี้น้ำมันมีการปรับขึ้นบ่อยมาก เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งหากมีการตรวจสอบพบจะดำเนินการตามกฎหมาย คือ จำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการสัมมนาเรื่อง การส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ วานนี้ (23พ.ย.)ว่า ราคาดีเซลที่ปรับขึ้นล่าสุดไปที่ระดับ 29.34 บาทต่อลิตร และหลายฝ่ายกังวลว่าอาจจะปรับไปถึงระดับ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะมีผลให้ค่าโดยสารที่กระทรวงคมนาคม ตกลงที่จะให้ปรับเพิ่มได้นั้น กระทรวงคมนาคมควรจะพิจารณาฐานของราคาไบโอดีเซลหรือบี 5 แทนดีเซล เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าดีเซลถึง 1 บาท ต่อลิตร โดยราคาอยู่ที่ 28.34 บาทต่อลิตร เท่านั้น ซึ่งผู้ประกอบการมีทางเลือกที่จะใช้ เพราะมีปั๊มน้ำมันขายมากกว่า 800 แห่งแล้ว
"วันนี้รัฐได้มีทางเลือกให้กับประชาชนทั้งแก๊สโซฮอล์ที่ต่ำกว่าเบนซิน 4 บาทต่อลิตร บี 5 ต่ำกว่าดีเซล 1 บาทต่อลิตร และไม่ต้องการให้ประชาชนไปมองว่า เบนซิน 95 จะ 33 บาทต่อลิตร เพราะวันนี้คนใช้เบนซิน 95 เหลือน้อยมากแล้ว และบี 5 เองคนก็หันมาใช้มากถึง 3 ล้านลิตรต่อวัน ค่ายรถก็ประกันคุณภาพ ซึ่งบี 5 กับไบโอชุมชน คนละเกรดกันต้องเข้าใจด้วย อย่างไรก็ตาม บี 5 ราคาที่ต่ำกว่า ดีเซล 1 บาทต่อลิตรในอนาคตอาจเพิ่มส่วนต่างให้อีกก็เป็นไปได้” นายปิยสวัสดิ์กล่าว
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวว่า สำหรับการลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของดีเซลลงอีก หลังจากลดมาแล้ว 60 สตางค์ต่อลิตรนั้น ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นจะต้องลดลงอีกโดยจะยังคงต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกประกอบด้วย ซึ่งแม้ว่าจะลดลง 20-30 สตางค์ต่อลิตรทันที แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้บริโภคจะซื้อน้ำมันได้ต่ำลงได้ตลอดไป เนื่องจากท้ายสุดเงินเหล่านี้ก็จะต้องเก็บเข้ามาคืนกองทุนฯ ซึ่งบางครั้งต้องบวกดอกเบี้ยเพิ่มเข้าไปอีก ดังนั้น รัฐบาลปัจจุบันจึงมุ่งหวังที่จะให้ภาระหนี้กองทุนฯ ที่เกิดจากการตรึงราคาน้ำมันเกือบแสนล้านบาทหมดลงภายในสิ้นปีนี้
“อย่ามองว่ารัฐจะต้องเข้าไปช่วยเหลืออยู่ตลอด เพราะการที่พรรคการเมืองไหนบอกว่าจะลดเก็บเงินกองทุน หรือลดภาษีน้ำมันให้ เขาก็ใช้เงินของประชาชนทั้งนั้น เพราะวันข้างหน้าก็ต้องเรียกเก็บเหมือนกับที่เป็นอยู่ขณะนี้ ซึ่งหากพรรคไหนบอกว่าจะออกเงินเองผมก็พร้อมจะลดให้ ขณะเดียวกันเร็วๆ นี้จะเสนอเพื่อออกเป็นพ.ร.ฎ. แก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องของวัตถุประสงค์ของการใช้เงินที่ชัดเจนของกองทุนน้ำมันฯ เพื่อป้องกันใช้กันเพลิน จนก่อหนี้มากเช่นรัฐบาลที่ผ่านมา" นายปิยสวัสดิ์กล่าว
สำหรับการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ หรือ NGV ในรถแท็กซี่ จะเป็นมาตรการหนึ่งที่จะช่วยลดภาระแท็กซี่หลังจากรัฐบาลมีนโยบายปรับราคาก๊าซหุงต้มในเร็วๆ นี้เพื่อป้องกันปัญหาการใช้ที่มากกว่าการผลิตในประเทศที่หากปล่อยไว้จะทำให้ขาดแคลนในปี 2552 ได้ ซึ่งขณะนี้ได้เร่งให้ปตท. เร่งแก้ไขปัญหา NGV ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น โดยให้เร่งใน 2 ส่วน คือ เร่งการขนส่งและการสร้างสถานีบริการ NGV ใหม่ให้อยู่ติดกับท่อลำเลียงก๊าซ
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้ความต้องการใช้ก๊าซ NGV เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว เนื่องจากผู้ประกอบการรถแท็กซี่หันมาติดตั้งเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV มากขึ้น หลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณ NGV ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ปัจจุบันกำลังการจ่ายก๊าซฯ ของสถานีแม่มีเพียง 740 ตัน/วัน ขณะที่ความต้องการใช้ NGV มีถึง 800 ตัน/วัน อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้เร่งเพิ่มปริมาณก๊าซฯสำหรับสถานีจ่ายก๊าซ สถานีแม่เพื่อสนองความต้องการใช้ที่จะเพิ่มขึ้น
**บังคับแท็กซี่ใหม่ 31 ธ.ค.ติด NGV
นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า ได้หารือกับผู้ประกอบการรถแท็กซี่ เพื่อจูงใจให้เปลี่ยนเชื้อเพลิงจากก๊าซหุงต้มมาติดตั้ง NGV แทนเนื่องจากระยะยาวแล้วจะคุ้มค่ากว่า เพราะรัฐมีนโยบายจะลดการอุดหนุนส่วนของกองทุนน้ำมันฯที่อุดหนุนราคา กก.ละ 1.29 บาท ขณะที่ราคา NGV จะคงที่ 8.50 บาทต่อกก.ไปจนถึงสิ้นปี 51 และหลังจากนั้นหากจะมีการเปลี่ยนราคาคงจะขึ้นไม่เกิน 1 บาทต่อกก. นอกจากนี้คมนาคมยังออกประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับให้รถแท็กซี่ในกทม.ใหม่ทุกคันต้องติดNGV มีผลตั้งแต่ 31 ธ.ค. 50
ในส่วนเจ้าของปั๊มก๊าซหุงต้มที่ต้องการปรับเปลี่ยนเป็นปั๊ม NGV ปตท.จะลงทุนให้ทั้งหมดแห่งละ 10 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีอยู่ 129 แห่งซึ่งต่างจากปั๊มก๊าซหุงต้มที่จะต้องลงทุนเอง ส่วนคนขับรถแท็กซี่ที่ต้องการเปลี่ยนถังเชื้อเพลิง ปตท.จะลงทุนเปลี่ยนให้ฟรี โดยขณะนี้มีรถแท็กซี่เก่าที่ใช้ก๊าซหุงต้มอยู่ประมาณ 50,000 คัน ตั้งเป้าว่าภายในปี 52 จะเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซหุงต้มมาเป็น NGV ให้ได้ทั้งหมด
**บินไทยเตรียมปรับค่าโดยสาร
เรืออากาศโทอภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำมัน ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนี้ว่า ส่งผลให้สายการบินมีต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น 30% และกระทบต่อการทำธุรกิจ จึงต้องมีการพิจารณาปรับขึ้นราคาค่าโดยสารเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง โดยในปี 2551 การบินไทยจะปรับขึ้นค่าโดยสารในส่วนผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสารจากต่างประเทศ และต่อเครื่องในประเทศไทยไปยังจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งการปรับขึ้นค่าโดยสารครั้งนี้จะไม่กระทบการซื้อตั๋วโดยสารในประเทศ แม้ราคาตั๋วโดยสารในประเทศยังไม่ถึงเพดานที่ได้รับอนุมัติจากกรมการขนส่งทางอากาศก็ตาม
โดยขณะนี้การบินไทยมีอัตราผู้โดยสารเฉลี่ย 79-80 % ต่อเที่ยวบิน เนื่องจากเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยว (High Season) แต่เดือนก.พ.-พ.ค. ซึ่งเป็นฤดูร้อนของยุโรป นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาประเทศไทยน้อยลง ทำให้ช่วงนี้การบินไทยจะขาดทุน ก็จะพิจารณาปรับลดเที่ยวบินในช่วงเวลาดังกล่าวให้สอดคล้องกับจำนวนผู้โดยสาร พร้อมรณรงค์ขายตั๋วโดยสารเพื่อดึงดูดลูกค้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่มเส้นทางบินไปอินเดียและจีนให้มากขึ้น โดยเฉพาะเที่ยวบินกลางคืน
นอกจากนี้ การบินไทยจะพิจารณาปรับกระบวนการขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน (Fuel Surcharge) ให้เร็วขึ้น เพื่อให้การชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบจากราคาน้ำมันเป็นไปตามสถานการณ์จริงที่ราคาน้ำมันปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ที่ผ่านมาแม้ว่าการบินไทยจะมีการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน แล้ว แต่สามารถชดเชยต้นทุนที่เกิดจากจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นได้เพียง 50 % เท่านั้น ในขณะที่ก่อนหน้านี้ การบินไทยสามารถชดเชยต้นทุนน้ำมันด้วยการขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมันได้ถึง70%
ทั้งนี้ การบินไทยได้ตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายน้ำมันปี 2549-2550 จำนวน 70,000 ล้านบาท และปีนี้ได้ตั้งงบประมาณสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาสำหรับค่าเชื้อเพลิงน้ำมัน จากเดิมมีสัดส่วนคิดเป็น 15-18 % ของต้นทุนทั้งหมด
**“พาณิชย์”จับตาปั๊มกันกักตุน
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในไปตรวจสอบปั๊มน้ำมันต่างๆว่ามีการกักตุนน้ำมัน หรือปฏิเสธการขายหรือไม่ เพื่อเก็บน้ำมันไปขายหลังจากที่ได้มีการปรับราคาใหม่แล้ว เพราะขณะนี้น้ำมันมีการปรับขึ้นบ่อยมาก เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ซึ่งหากมีการตรวจสอบพบจะดำเนินการตามกฎหมาย คือ จำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ