ครป.จวกแหลก พลังประชาชนปราศรัยหาเสียงแบบมีวาระซ่อนเร้น ไม่ต่างจากม็อบ นปก. ที่มุ่งฟอกความผิดให้"แม้ว" แทนที่จะเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาของชาติ หวั่นเป็นเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารซ้ำ ชี้หลังเลือกตั้งหากพลังประชาชนชนะ จะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองแน่
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงการปราศรัยหาเสียงของพรรคพลังประชาชน ( พปช.) ว่า ได้พยายามจะขายภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังตกเป็นผู้ต้องหาของแผ่นดิน ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองจากข้อกล่าวหาคอร์รัปชั่น และการเอื้อประโยชน์เครือญาติ แต่แกนนำพรรคพลังประชาชน ก็ไม่ใส่ใจ ซึ่งเป็นการมัดมือชกประชาชน และสมาชิกพรรค กลวิธีแบบนี้เป็นความจงใจของพรรคพลังประชาชนที่ต้องการบิดเบือนการเลือกตั้งให้มีค่าเป็นเพียงการออกเสียงประชามติ เอาหรือไม่เอาทักษิณ หวังจัดฉากเลือกตั้งเอาอดีตมาเดิมพันใหม่ ไม่ใช่การเลือกอนาคต หรือเลือกรัฐบาล เพื่อที่จะทำให้บ้านเมืองลดการเผชิญหน้า และความตึงเครียด เพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้
"ยุทธวิธีการปราศรัยหาเสียงโจมตีรัฐธรรมนูญสารพัดคำหยาบ การเปิดศึกกับ คมช.รายวัน โดยขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และพฤติกรรมหยาบคายของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ไม่แคร์ความรู้สึกของสังคมเลย กลยุทธ์เหล่านี้ เป็นการบั่นทอนเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้เกิดความไร้ระเบียบไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อให้คนไม่ลืมชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะหากการเมืองปรองดองสมานฉันท์ และขับเคลื่อนเดินหน้าไปได้ ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นเพียงอดีตทางการเมือง ไม่มีความหมายอีกต่อไป" นายสุริยะใส กล่าว
ฉะนั้นการจัดขบวนเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนในครั้งนี้ จึงมีวาระซ่อนเร้น หวังใช้บรรยากาศการเลือกตั้งเปิดศึกทำสงครามทวงแค้นไปวันๆ เปรียบเสมือนม็อบ นปก. ภาคต่อเนื่อง หวังฟอกผิดให้กับคนๆ เดียวโดยไม่พยายามขายวิสัยทัศน์และแนวนโยบายในการแก้วิกฤติปัญหาประเทศอย่างแท้จริง
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้เป็นการเผชิญหน้าระว่าง คมช. กับ พปช. 2 ขั้วอำนาจ ที่มีชะตากรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเดิมพันนั้นจะทำให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งไม่ว่า พรรคพลังประชาชน หรือฝ่ายตรงกันข้ามจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ความวุ่นวายทางการเมืองจะยังคงยืดเยื้อ และความแตกแยกในสังคมก็จะยังคงเรื้อรังไม่มีที่สิ้นสุด รัฐบาลใหม่แทบจะไม่มีเวลาให้กับการแก้ปัญหา และผลักดันนโยบายใหม่ๆ ได้ เพราะจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดไปกับการบริหารจัดการความขัดแย้ง และการเผชิญหน้าในสังคม หากยังพยายามปลุกปั่นเอาผลการเลือกตั้งมาอยู่เหนือกระบวนการยุติธรรมของประเทศ สังคมไทยก็ไม่มีอนาคต เป็นสังคมที่ถือเอาการจลาจลทางการเมืองเป็นสาระ และตัวชี้ขาด ซึ่งจะเป็นจุดจบของระบอบประชาธิปไตยตามมา
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ครป.เป็นห่วงสังคมไทยมีความคาดหวังมากว่าการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม จะเป็นบันใดคลี่คลายความขัดแย้งวุ่นวายในสังคมและวิกฤติปัญหาของประเทศได้รับการเยียวยาแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาความแตกแยก ปัญหาทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาความต่อเนื่องของกระบวนการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสื่อ ฯลฯ
หากพรรคการเมืองต่างๆ ยังทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งเป็นเพียง เทศกาลประดิษฐ์คำหยาบ ก็มีความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งอาจถูกล้มเลิก หรือเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด ถึงตอนนั้นพรรคการเมืองและนักการเมืองต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อประชาชน ที่อาจทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้น หรืออาจถูกเลื่อนและล้มไปโดยไม่มีกำหนด
"ครป.ขอเรียกร้องให้ภาคประชาชน และพลังทางสังคมกลุ่มต่างๆ ลุกขึ้นมามีส่วนร่วม ในการจัดการ วาระชาติ อย่าปล่อยให้พรรคการเมือง และนักการเมืองเอาปัญหาประเทศไปเป็นเครื่องเล่น หรือเกมพนันทางการเมือง อย่าปล่อยให้นักการเมืองพูด และเสนอนโยบายฝ่ายเดียว ซึ่งบรรยากาศในขณะนี้มีแต่นักการเมือง และพรรคการเมืองแข่งกันคิดแข่งกันพูดแข่งขันกันคิด ยังไม่มีเวทีให้กับประชาชนผู้ที่ต้องแบกรับผลกระทบที่เกิดจากนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง ทั้งที่นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ประชาชนต้องตกเป็นผู้รับผลกระทบอย่างถาวร" นายสุริยะใสกล่าว
นายสุริยะใส ยังกล่าวถึง กรณีที่พรรคพลังประชาชน ปราศรัยที่สนามหลวง เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมาโดยรระบุว่า หากพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลจะให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็น รมว.มหาดไทย และจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย ตนเห็นว่าเป็นการฝันกลางวัน โดยจะเอาชัยชนะมาอยู่เหนือศาลยุคิธรรม ตนขอถามว่า หากพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลจะบริหารประเทศได้หรือไม่ เพราะหลงผิดว่าได้เสียงข้างมากในสภา จะทำอะไรก็ได้ ซึ่งตนเกรงว่าถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ได้พรรคพลังประชาชนมาเป็นรัฐบาล เกรงว่าจะเจอม็อบประชาชนที่ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
นายสุริยะใส ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ถามตนว่า ที่ออกมาวิจารณ์การทำงานหัวหน้าพรรคพลังประชาชนได้ ทำงานอะไร ตนขอเรียนว่า ตนเป็นคนสามัญชน คนธรรมดา ไม่เคยคิดกอบโกยภาษีของประชาชน และเกลียดที่สุดคือ นักการเมืองรับจ้าง และเป็นนอมินีทางการเมือง ซึ่งมีนักการเมืองบางคนไปรีดไถเงินจากนักธุรกิจ แต่ใช้คำว่า ไปบิณฑบาตร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายนัก
ด้านนายพิภพ ธงไชย ประธาน ครป. กล่าวว่า ตนมีความเป็นห่วงว่า วิธีการหาเสียงของพรรคการเมืองแต่ละพรรคโดยเฉพาะการเมืองใหญ่ๆ จะนำไปสู่เงื่อนไขการล้มการเลือกตั้ง และทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้นได้ เพราะว่าบรรยากาศทางการเมืองขณะนี้ ยังไม่พ้นการรัฐประหาร ซึ่งขณะนี้พรรคพลังประชาชน จะต้องยอมรับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ตัดสินให้กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน เลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้นการที่พรรคพลังประชาชนได้กล่าวปราศรัยหากพรรคได้เป็นรัฐบาล จะมีนิรโทษกรรมให้นั้น เท่ากับเป็นการทำลายระบบยุติธรรม
"ผมเห็นว่า การหาเสียงของพรรคพลังประชาชน มีวาระซ่อนเร้น โดยหากเข้าสู่อำนาจทางการเมืองก็ต้องทำอย่างที่ประกาศ แต่หากเข้าสู่อำนาจไม่ได้ ก็จะสร้างเงื่อนไข โดยจะทำให้ไม่มีการเลือกตั้ง และมีการชูทักษิณ ให้กลับมาต้อสู้คดี เพื่อให้พ้นผิด ซึ่งผมอยากถามว่า ถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาล จะเคารพการตัดสินของศาลหรือไม่ ทั้งนี้หากยังไม่หยุดจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างอำนาจเก่า และอำนาจใหม่" นายพิภพ กล่าว
นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวถึงการปราศรัยหาเสียงของพรรคพลังประชาชน ( พปช.) ว่า ได้พยายามจะขายภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้ง ๆที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังตกเป็นผู้ต้องหาของแผ่นดิน ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองจากข้อกล่าวหาคอร์รัปชั่น และการเอื้อประโยชน์เครือญาติ แต่แกนนำพรรคพลังประชาชน ก็ไม่ใส่ใจ ซึ่งเป็นการมัดมือชกประชาชน และสมาชิกพรรค กลวิธีแบบนี้เป็นความจงใจของพรรคพลังประชาชนที่ต้องการบิดเบือนการเลือกตั้งให้มีค่าเป็นเพียงการออกเสียงประชามติ เอาหรือไม่เอาทักษิณ หวังจัดฉากเลือกตั้งเอาอดีตมาเดิมพันใหม่ ไม่ใช่การเลือกอนาคต หรือเลือกรัฐบาล เพื่อที่จะทำให้บ้านเมืองลดการเผชิญหน้า และความตึงเครียด เพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้
"ยุทธวิธีการปราศรัยหาเสียงโจมตีรัฐธรรมนูญสารพัดคำหยาบ การเปิดศึกกับ คมช.รายวัน โดยขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ และพฤติกรรมหยาบคายของนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ไม่แคร์ความรู้สึกของสังคมเลย กลยุทธ์เหล่านี้ เป็นการบั่นทอนเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้เกิดความไร้ระเบียบไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อให้คนไม่ลืมชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะหากการเมืองปรองดองสมานฉันท์ และขับเคลื่อนเดินหน้าไปได้ ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นเพียงอดีตทางการเมือง ไม่มีความหมายอีกต่อไป" นายสุริยะใส กล่าว
ฉะนั้นการจัดขบวนเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนในครั้งนี้ จึงมีวาระซ่อนเร้น หวังใช้บรรยากาศการเลือกตั้งเปิดศึกทำสงครามทวงแค้นไปวันๆ เปรียบเสมือนม็อบ นปก. ภาคต่อเนื่อง หวังฟอกผิดให้กับคนๆ เดียวโดยไม่พยายามขายวิสัยทัศน์และแนวนโยบายในการแก้วิกฤติปัญหาประเทศอย่างแท้จริง
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้เป็นการเผชิญหน้าระว่าง คมช. กับ พปช. 2 ขั้วอำนาจ ที่มีชะตากรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเดิมพันนั้นจะทำให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งไม่ว่า พรรคพลังประชาชน หรือฝ่ายตรงกันข้ามจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก็ตาม ความวุ่นวายทางการเมืองจะยังคงยืดเยื้อ และความแตกแยกในสังคมก็จะยังคงเรื้อรังไม่มีที่สิ้นสุด รัฐบาลใหม่แทบจะไม่มีเวลาให้กับการแก้ปัญหา และผลักดันนโยบายใหม่ๆ ได้ เพราะจะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดไปกับการบริหารจัดการความขัดแย้ง และการเผชิญหน้าในสังคม หากยังพยายามปลุกปั่นเอาผลการเลือกตั้งมาอยู่เหนือกระบวนการยุติธรรมของประเทศ สังคมไทยก็ไม่มีอนาคต เป็นสังคมที่ถือเอาการจลาจลทางการเมืองเป็นสาระ และตัวชี้ขาด ซึ่งจะเป็นจุดจบของระบอบประชาธิปไตยตามมา
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ครป.เป็นห่วงสังคมไทยมีความคาดหวังมากว่าการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม จะเป็นบันใดคลี่คลายความขัดแย้งวุ่นวายในสังคมและวิกฤติปัญหาของประเทศได้รับการเยียวยาแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาความแตกแยก ปัญหาทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาความต่อเนื่องของกระบวนการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปสื่อ ฯลฯ
หากพรรคการเมืองต่างๆ ยังทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งเป็นเพียง เทศกาลประดิษฐ์คำหยาบ ก็มีความเป็นไปได้ที่การเลือกตั้งอาจถูกล้มเลิก หรือเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด ถึงตอนนั้นพรรคการเมืองและนักการเมืองต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อประชาชน ที่อาจทำให้การเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้น หรืออาจถูกเลื่อนและล้มไปโดยไม่มีกำหนด
"ครป.ขอเรียกร้องให้ภาคประชาชน และพลังทางสังคมกลุ่มต่างๆ ลุกขึ้นมามีส่วนร่วม ในการจัดการ วาระชาติ อย่าปล่อยให้พรรคการเมือง และนักการเมืองเอาปัญหาประเทศไปเป็นเครื่องเล่น หรือเกมพนันทางการเมือง อย่าปล่อยให้นักการเมืองพูด และเสนอนโยบายฝ่ายเดียว ซึ่งบรรยากาศในขณะนี้มีแต่นักการเมือง และพรรคการเมืองแข่งกันคิดแข่งกันพูดแข่งขันกันคิด ยังไม่มีเวทีให้กับประชาชนผู้ที่ต้องแบกรับผลกระทบที่เกิดจากนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง ทั้งที่นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ประชาชนต้องตกเป็นผู้รับผลกระทบอย่างถาวร" นายสุริยะใสกล่าว
นายสุริยะใส ยังกล่าวถึง กรณีที่พรรคพลังประชาชน ปราศรัยที่สนามหลวง เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมาโดยรระบุว่า หากพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลจะให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็น รมว.มหาดไทย และจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย ตนเห็นว่าเป็นการฝันกลางวัน โดยจะเอาชัยชนะมาอยู่เหนือศาลยุคิธรรม ตนขอถามว่า หากพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาลจะบริหารประเทศได้หรือไม่ เพราะหลงผิดว่าได้เสียงข้างมากในสภา จะทำอะไรก็ได้ ซึ่งตนเกรงว่าถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ได้พรรคพลังประชาชนมาเป็นรัฐบาล เกรงว่าจะเจอม็อบประชาชนที่ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
นายสุริยะใส ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ถามตนว่า ที่ออกมาวิจารณ์การทำงานหัวหน้าพรรคพลังประชาชนได้ ทำงานอะไร ตนขอเรียนว่า ตนเป็นคนสามัญชน คนธรรมดา ไม่เคยคิดกอบโกยภาษีของประชาชน และเกลียดที่สุดคือ นักการเมืองรับจ้าง และเป็นนอมินีทางการเมือง ซึ่งมีนักการเมืองบางคนไปรีดไถเงินจากนักธุรกิจ แต่ใช้คำว่า ไปบิณฑบาตร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายนัก
ด้านนายพิภพ ธงไชย ประธาน ครป. กล่าวว่า ตนมีความเป็นห่วงว่า วิธีการหาเสียงของพรรคการเมืองแต่ละพรรคโดยเฉพาะการเมืองใหญ่ๆ จะนำไปสู่เงื่อนไขการล้มการเลือกตั้ง และทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้นได้ เพราะว่าบรรยากาศทางการเมืองขณะนี้ ยังไม่พ้นการรัฐประหาร ซึ่งขณะนี้พรรคพลังประชาชน จะต้องยอมรับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ตัดสินให้กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน เลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ดังนั้นการที่พรรคพลังประชาชนได้กล่าวปราศรัยหากพรรคได้เป็นรัฐบาล จะมีนิรโทษกรรมให้นั้น เท่ากับเป็นการทำลายระบบยุติธรรม
"ผมเห็นว่า การหาเสียงของพรรคพลังประชาชน มีวาระซ่อนเร้น โดยหากเข้าสู่อำนาจทางการเมืองก็ต้องทำอย่างที่ประกาศ แต่หากเข้าสู่อำนาจไม่ได้ ก็จะสร้างเงื่อนไข โดยจะทำให้ไม่มีการเลือกตั้ง และมีการชูทักษิณ ให้กลับมาต้อสู้คดี เพื่อให้พ้นผิด ซึ่งผมอยากถามว่า ถ้าพรรคได้เป็นรัฐบาล จะเคารพการตัดสินของศาลหรือไม่ ทั้งนี้หากยังไม่หยุดจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างอำนาจเก่า และอำนาจใหม่" นายพิภพ กล่าว