ศูนย์ข่าวศรีราชา - โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา จับมือร่วมกับโรงพยาบาลวัฒโนสถ จัดตั้งโครงการศูนย์รักษามะเร็งและส่งต่อผู้ป่วย หวังพัฒนาศักยภาพการดูแลคนไข้โรคมะเร็ง เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโรค ที่สำคัญยังพัฒนาศักยภาพในการเป็นศูนย์รักษามะเร็งและส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทาง ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาและวินิจฉัยโรคมะเร็งในระยะต่างๆ
เมื่อเร็วๆ นี้โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา ได้เปิดตัวโครงการศูนย์รักษามะเร็งและส่งต่อผู้ป่วย ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา และโรงพยาบาล วัฒโนสถ สถานพยาบาลโรคเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและให้การรักษาโรคมะเร็ง โดยที่ผ่านมาได้ลงทุนจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีความทันสมัยและมีศักยภาพสูง ภายใต้การลงทุนมากถึง 1.3 พันล้านบาท
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์สมชาย พัฒนะเอนก ผู้อำนวยการโรงพยา บาลสมิติเวช ศรีราชา เผยถึงการจัดตั้งโครงการดังกล่าวว่าเพื่อเป็นการบอกถึงศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลฯ และบอกถึงการเป็นศูนย์มะเร็งและส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลวัฒโนสถ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่รักษาเฉพาะทางด้านมะเร็ง ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้ความเพียบพร้อมของเครื่องมือทางการแพทย์และเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย รวมทั้งทีมงานที่มีความรู้ความสามารถระดับสากล
ด้านนายแพทย์สุรพงษ์ ลูกหนุมารเจ้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัฒโนสถ เผยถึงการร่วมมือจัดตั้งโครงการศูนย์รักษามะเร็งและส่งต่อผู้ป่วย ร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชาว่า เพื่อเป็นการขยายพื้นที่ในการดูแลคนไข้ในภาคตะวันออก และยังเป็นการสร้างความคุ้มค่าทางการลงทุนด้านเครื่องมือแพทย์ เนื่องจากที่ผ่านมาโรงพยาบาลฯได้ใช้งบประมาณจำนวนมากในการนำเข้าเครื่องมือวินิจฉัยโรคจากต่างประเทศ รวมทั้งจัดหาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ จากการทำงานร่วมกันพบว่าคนไข้ ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งที่เข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลสมิติเวช สามารถรักษาต่อกับโรงพยาบาลได้ประมาณ 70-80% และในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา พบว่าสาเหตุการตายอันดับ 1 ของประชากรในประเทศไทยเกิดจากการป่วยเป็นโรคมะเร็ง และปัจจุบันจะมีคนไข้ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งเฉลี่ย 10-15 คนต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตจากการเป็นโรคมะเร็งประมาณ 5 คนต่อวัน
ดังนั้น การจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์ที่สามารถสแกนมะเร็งได้ทุกส่วนของร่างกายจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และยังเป็นการรักษาแบบตรงจุดซึ่งจะทำให้คนไข้ได้รับความเจ็บปวดจากการรักษาน้อยลงและมีโอกาสหายขาดมากขึ้น หากมีการวินิจฉัยตั้งแต่ผู้ป่วยอยู่ในระยะขั้นต้น ซึ่งเครื่องมือที่ทันสมัยของโรงพยาบาลจะทำให้การรักษาและวินิจฉัยโรคมีความคคาดเคลื่อนน้อยมาก
เมื่อเร็วๆ นี้โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา ได้เปิดตัวโครงการศูนย์รักษามะเร็งและส่งต่อผู้ป่วย ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา และโรงพยาบาล วัฒโนสถ สถานพยาบาลโรคเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญในการวินิจฉัยและให้การรักษาโรคมะเร็ง โดยที่ผ่านมาได้ลงทุนจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีความทันสมัยและมีศักยภาพสูง ภายใต้การลงทุนมากถึง 1.3 พันล้านบาท
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์สมชาย พัฒนะเอนก ผู้อำนวยการโรงพยา บาลสมิติเวช ศรีราชา เผยถึงการจัดตั้งโครงการดังกล่าวว่าเพื่อเป็นการบอกถึงศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งของโรงพยาบาลฯ และบอกถึงการเป็นศูนย์มะเร็งและส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลวัฒโนสถ ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่รักษาเฉพาะทางด้านมะเร็ง ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้ความเพียบพร้อมของเครื่องมือทางการแพทย์และเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย รวมทั้งทีมงานที่มีความรู้ความสามารถระดับสากล
ด้านนายแพทย์สุรพงษ์ ลูกหนุมารเจ้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัฒโนสถ เผยถึงการร่วมมือจัดตั้งโครงการศูนย์รักษามะเร็งและส่งต่อผู้ป่วย ร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชาว่า เพื่อเป็นการขยายพื้นที่ในการดูแลคนไข้ในภาคตะวันออก และยังเป็นการสร้างความคุ้มค่าทางการลงทุนด้านเครื่องมือแพทย์ เนื่องจากที่ผ่านมาโรงพยาบาลฯได้ใช้งบประมาณจำนวนมากในการนำเข้าเครื่องมือวินิจฉัยโรคจากต่างประเทศ รวมทั้งจัดหาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ จากการทำงานร่วมกันพบว่าคนไข้ ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งที่เข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลสมิติเวช สามารถรักษาต่อกับโรงพยาบาลได้ประมาณ 70-80% และในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา พบว่าสาเหตุการตายอันดับ 1 ของประชากรในประเทศไทยเกิดจากการป่วยเป็นโรคมะเร็ง และปัจจุบันจะมีคนไข้ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งเฉลี่ย 10-15 คนต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตจากการเป็นโรคมะเร็งประมาณ 5 คนต่อวัน
ดังนั้น การจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์ที่สามารถสแกนมะเร็งได้ทุกส่วนของร่างกายจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และยังเป็นการรักษาแบบตรงจุดซึ่งจะทำให้คนไข้ได้รับความเจ็บปวดจากการรักษาน้อยลงและมีโอกาสหายขาดมากขึ้น หากมีการวินิจฉัยตั้งแต่ผู้ป่วยอยู่ในระยะขั้นต้น ซึ่งเครื่องมือที่ทันสมัยของโรงพยาบาลจะทำให้การรักษาและวินิจฉัยโรคมีความคคาดเคลื่อนน้อยมาก