“พาณิชย์” แจ้งจับ “เพรซิเดนท์” ฐานยักยอกข้าวหลวงส่งมอบอิหร่าน-อิเหนา กว่า 3.4 หมื่นตัน มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ฉีกสัญญาจ้างปรับปรุงข้าวส่วนที่เหลือพร้อมให้ชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น และงดจ่ายค่าปรับปรุงที่ทำไปแล้วก่อนหน้านี้ “อภิรดี” ยันไม่กระทบการส่งมอบข้าวในส่วนที่เหลือ เพราะได้ให้ผู้ส่งออกรายอื่นปรับปรุงแทนแล้ว สั่งจับตาบริษัทใหม่นอมินี เพรซิเดนท์ “อรนุช” ย้ำใครรับซื้อข้าวที่ยักยอกไป เจอข้อหารับซื้อของโจร ขณะที่ “อภิชาต” โต้ไม่ได้ยักยอกข้าว แต่รัฐส่งให้ไม่ครบตามจำนวน แนะไปตรวจสอบให้ดีก่อนกล่าวหา
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีที่ บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ยักยอกข้าวสารรัฐบาลที่ต้องปรับปรุงคุณภาพเพื่อส่งมอบให้รัฐบาลอิหร่าน และอินโดนีเซีย รวม 34,150 ตัน มูลค่ากว่า 300 ล้านบาทว่า กรมฯ ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรตำบลสำโรงใต้ กล่าวหา เพรซิเดนท์ ฐานยักยอกทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อให้สืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด ขณะเดียวกัน กรมฯ ได้ขอยกเลิกสัญญาจ้างปรับปรุงคุณภาพข้าวสาร ส่งมอบรัฐบาลอิหร่าน และอินโดนีเซียในส่วนที่คงเหลืออยู่ทั้งหมดของเพรซิเดนท์แล้ว
“ได้สั่งห้ามเพรซิเดนท์เคลื่อนย้ายข้าวสารที่ได้รับไว้ตามสัญญาจ้างปรับปรุงคุณภาพทั้งหมดที่อยู่ในความครอบครองตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.เป็นต้นไป และจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้าวในความครอบครองของเพรซิเดนท์ รวมทั้งเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดแก่ทางราชการ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท พร้อมกันนั้น กรมฯ ได้ริบเงินค้ำประกันของเพรซิเดนท์ 10.3 ล้านบาท และจะไม่จ่ายค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวที่เพรซิเดนท์ปรับปรุง และส่งมอบให้ 2 ประเทศแล้วรวม 64 ล้านบาท”นางอภิรดี กล่าว
สำหรับการส่งมอบข้าวให้ 2 ประเทศในส่วนที่เหลือนั้น รัฐบาลไทยมีข้าวพร้อมที่จะส่งมอบ โดยได้มอบหมายให้ผู้ส่งออกรายอื่นรับปรับปรุงคุณภาพข้าวแทนเพรซิเดนท์แล้ว และขอยืนยันว่า กรณีดังกล่าวไม่กระทบต่อสัญญาซื้อขายข้าวของไทยกับรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศแน่นอน อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าว เพรซิเดนท์ ได้ส่งทนายความมาเจรจากับกรมฯ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว
“กรณีที่เกิดขึ้นไม่กระทบต่อสัญญาข้าวที่รัฐบาลไทยมีต่อ 2 ประเทศ เพราะไทยมีข้าวเตรียมจะส่งมอบให้แล้ว โดยอิหร่านจะส่งเรือเข้ามารับมอบวันที่ 5 ก.ย.นี้ แต่อินโดนีเซีย ยังไม่ส่งเรือเข้ามารับ โดยข้าวส่วนที่เหลือที่กรมฯได้บอกเลิกสัญญาจ้างปรับปรุงกับเพรซิเดนท์นั้น กรมฯ ได้เฉลี่ยแบ่งให้ผู้ส่งออกรายอื่นปรับปรุงส่งมอบให้ 2 ประเทศแล้ว โดยให้ค่าจ้างเท่ากับที่ให้เพรซิเดนท์”นางอภิรดี กล่าว
ทั้งนี้ เพรซิเดนท์ได้เข้าร่วมยื่นซองเสนอราคาปรับปรุงคุณภาพข้าวขาว 15 % กับกรมฯ เพื่อส่งมอบรัฐบาลอินโดนีเซีย 175,000 ตัน เมื่อ 26 มี.ค.50 ได้รับจัดสรร 20,380 ตัน ส่งมอบอิหร่านสัญญาที่ 1 จำนวน 200,000 ตันเมื่อ 23 ม.ค.50 ได้รับจัดสรร 45,000 ตัน และสัญญาที่ 2 จำนวน 100,000 ตันเมื่อ 26 เม.ย.50 ได้รับจัดสรร 20,000 ตัน โดยข้าวอินโดนีเซีย เพรซิเดนท์ได้ค่าจ้างปรับปรุงตันละ 890 บาท ส่งมอบแล้ว 10,100 ตัน คงเหลืออีก 10,280 ตัน ส่วนข้าวอิหร่าน สัญญาที่ 1 ได้ค่าปรับปรุงตันละ 1,322 บาท ส่งมอบแล้ว 39,344 ตัน คงเหลืออีก 6,870 ตัน และสัญญาที่ 2 ส่งมอบแล้ว 3,600 ตัน คงเหลืออีก 17,000 ตัน
นางอภิรดี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ถือว่า เพรซิเดนท์หมดความน่าเชื่อทางธุรกิจ อีกทั้งทราบข่าวว่า รัฐบาลอิหร่านได้ขึ้นบัญชีดำเพรซิเดนท์ไปแล้ว สำหรับกรณีที่มีข่าวว่า เพรซิเดนท์ ได้ตั้งบริษัทใหม่คือ บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด และจดทะเบียนเป็นผู้ค้าข้าวได้รับอนุญาตกับกรมฯ ตั้งแต่ต้นปีนั้น กรมฯ คงไม่สามารถห้ามการเข้าร่วมโครงการต่างๆ ของรัฐบาลได้ เพราะยังไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่จะจับตามดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด เพราะในวงการค้าข้าวทราบดีว่า บริษัทนี้เป็นนอมินีของใคร
ด้าน นางอรนุช โอสถานนท์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า กรณีเพรซิเดนท์ยักยอกข้าว เป็นหน้าที่ของกรมการค้าต่างประเทศ ที่จะต้องดำเนินการ เพราะเป็นคู่สัญญาโดยตรง ส่วนข้าวที่เพรซิเดนท์ยักยอกไป รวมทั้งข้าวที่หายไปจากโกดังอื่นๆ ซึ่งถือเป็นข้าวของหลวง และหากมีใครรับซื้อไป ถ้าสืบได้ก็จะดำเนินคดีในข้อหารับซื้อของโจร ไม่มีการยกเว้น เพราะคนในวงการค้าข้าว ส่วนใหญ่จะรู้กันดีว่า ข้าวมาจากไหน
ส่วนการตรวจสอบการทุจริตกรณีข้าวหายนั้นได้สั่งการให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อเข้าไปตรวจสอบ และควรจะกระทำให้ถี่ขึ้น ขณะเดียวกัน ขอให้มีการหมุนเวียนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในจังหวัดต่างๆ เพื่อป้องกันการทุจริต
สำหรับโครงการรับจำนำข้าวนาปี ที่มีการเสนอว่าจะเว้นวรรค นางอรนุชกล่าวว่า ในแง่ของนโยบายจะต้องมีต่อไป เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดึงราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำ และเป็นเครื่องมือในการป้องกันไม่ให้พ่อค้าคนกลางกดราคารับซื้อข้าวจากเกษตรกร แม้การรับจำนำจะไม่ใช้การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด แต่ต้องทำ โดยตามยุทธศาสตร์ข้าว การรับจำนำจะต้องค่อยยกเลิกไปในที่สุดก็ตาม
นายสกล หาญสุทธิวารินทร์ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ ได้ให้นโยบายไว้ว่าจะให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวน้อยที่สุด หรือไม่มีเลย แต่กรณีที่เกิดขึ้น ขอให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด หรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด และลงโทษขั้นสูงสุด ไม่มีการไว้หน้าใครทั้งนั้น
“อภิชาติ”โต้ ไม่ได้ยักยอกข้าว
ขณะที่นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ประธานกรรมการ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อกล่าวหาว่า ที่ระบุว่าเพรซิเดนท์ยักยอกข้าวที่รับมาปรับปรุงให้กับรัฐบาลอิหร่านและอินโดนีเซียนั้น ข้อเท็จจริงเป็นเพราะกรมการค้าส่งมอบข้าวมาให้ไม่ครบตามจำนวน โดยมีการระบุว่าส่งข้าวมาให้ 45,000 ตัน แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะโกดังไทยชูการ์ที่ใส่ข้าว มีพื้นที่ 4,444 ตารางเมตร บรรจุข้าวได้เต็มที่ 13,332 ตัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับมอบข้าวตามที่ระบุมา
ส่วนกรณีการรับมอบข้าวที่ได้ทำการปรับปรุงแล้ว ข้อเท็จจริง ทางการจะมีเจ้าหน้าที่มารับข้าวเอง สั่งลงข้าวเอง มีการคุมลงเรือเอง และนั่งเฝ้าสต๊อกที่โกดังตลอดเวลา และที่สำคัญ กุญแจโกดังกลับให้แขวนไว้ที่ออฟฟิศ ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติ ข้าวหลวง คนถือกุญแจควรจะเป็นคนของรัฐกับบริษัท เมื่อจะเบิกของก็ต้องเบิกพร้อมกัน แต่ข้าวหมดไปจากโกดังนานแล้ว ไม่เห็นมีใครพูดอะไร และการขนต้องใช้คนขน ทำได้เฉพาะกลางวัน และต้องใช้รถสิบล้อถึง 2,000 คันมาขน จึงจะหมด แต่นี่ใช้ระยะเวลาแค่เดือนกว่าๆ จึงเป็นไปไม่ได้
“ผมฟันธงได้อย่างเดียวคือ รับข้าวมาไม่ครบตามจำนวน เมื่อรัฐส่งข้าวมาไม่ครบ จะบอกว่าผมยักยอกทรัพย์ได้อย่างไร และในส่วนของกรรมการคนใหม่ เมื่อลงไปดู ก็บอกว่าไม่มีข้าวตามที่กรมการค้าต่างประเทศแจ้ง ก็ไปแจ้งความไว้แล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้แถลงข่าวเท่านั้น อยู่ๆ มากล่าวหาผมขโมยข้าวไปขาย ผมแบกไม่ไหวหรอก ผมอยากแก้ข้อกล่าวหาตรงนี้ โดยท่านควรจะต้องไปดูขบวนการให้ดีว่าผมยักยอกหรือมีคนเอาไปขายระหว่างทางเสียก่อน ไม่ได้นำข้าวเข้าโกดังจริง”นายอภิชาติ กล่าว
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงกรณีที่ บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ยักยอกข้าวสารรัฐบาลที่ต้องปรับปรุงคุณภาพเพื่อส่งมอบให้รัฐบาลอิหร่าน และอินโดนีเซีย รวม 34,150 ตัน มูลค่ากว่า 300 ล้านบาทว่า กรมฯ ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรตำบลสำโรงใต้ กล่าวหา เพรซิเดนท์ ฐานยักยอกทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อให้สืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิด ขณะเดียวกัน กรมฯ ได้ขอยกเลิกสัญญาจ้างปรับปรุงคุณภาพข้าวสาร ส่งมอบรัฐบาลอิหร่าน และอินโดนีเซียในส่วนที่คงเหลืออยู่ทั้งหมดของเพรซิเดนท์แล้ว
“ได้สั่งห้ามเพรซิเดนท์เคลื่อนย้ายข้าวสารที่ได้รับไว้ตามสัญญาจ้างปรับปรุงคุณภาพทั้งหมดที่อยู่ในความครอบครองตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย.เป็นต้นไป และจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้าวในความครอบครองของเพรซิเดนท์ รวมทั้งเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดแก่ทางราชการ ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 300 ล้านบาท พร้อมกันนั้น กรมฯ ได้ริบเงินค้ำประกันของเพรซิเดนท์ 10.3 ล้านบาท และจะไม่จ่ายค่าปรับปรุงคุณภาพข้าวที่เพรซิเดนท์ปรับปรุง และส่งมอบให้ 2 ประเทศแล้วรวม 64 ล้านบาท”นางอภิรดี กล่าว
สำหรับการส่งมอบข้าวให้ 2 ประเทศในส่วนที่เหลือนั้น รัฐบาลไทยมีข้าวพร้อมที่จะส่งมอบ โดยได้มอบหมายให้ผู้ส่งออกรายอื่นรับปรับปรุงคุณภาพข้าวแทนเพรซิเดนท์แล้ว และขอยืนยันว่า กรณีดังกล่าวไม่กระทบต่อสัญญาซื้อขายข้าวของไทยกับรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศแน่นอน อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าว เพรซิเดนท์ ได้ส่งทนายความมาเจรจากับกรมฯ เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว
“กรณีที่เกิดขึ้นไม่กระทบต่อสัญญาข้าวที่รัฐบาลไทยมีต่อ 2 ประเทศ เพราะไทยมีข้าวเตรียมจะส่งมอบให้แล้ว โดยอิหร่านจะส่งเรือเข้ามารับมอบวันที่ 5 ก.ย.นี้ แต่อินโดนีเซีย ยังไม่ส่งเรือเข้ามารับ โดยข้าวส่วนที่เหลือที่กรมฯได้บอกเลิกสัญญาจ้างปรับปรุงกับเพรซิเดนท์นั้น กรมฯ ได้เฉลี่ยแบ่งให้ผู้ส่งออกรายอื่นปรับปรุงส่งมอบให้ 2 ประเทศแล้ว โดยให้ค่าจ้างเท่ากับที่ให้เพรซิเดนท์”นางอภิรดี กล่าว
ทั้งนี้ เพรซิเดนท์ได้เข้าร่วมยื่นซองเสนอราคาปรับปรุงคุณภาพข้าวขาว 15 % กับกรมฯ เพื่อส่งมอบรัฐบาลอินโดนีเซีย 175,000 ตัน เมื่อ 26 มี.ค.50 ได้รับจัดสรร 20,380 ตัน ส่งมอบอิหร่านสัญญาที่ 1 จำนวน 200,000 ตันเมื่อ 23 ม.ค.50 ได้รับจัดสรร 45,000 ตัน และสัญญาที่ 2 จำนวน 100,000 ตันเมื่อ 26 เม.ย.50 ได้รับจัดสรร 20,000 ตัน โดยข้าวอินโดนีเซีย เพรซิเดนท์ได้ค่าจ้างปรับปรุงตันละ 890 บาท ส่งมอบแล้ว 10,100 ตัน คงเหลืออีก 10,280 ตัน ส่วนข้าวอิหร่าน สัญญาที่ 1 ได้ค่าปรับปรุงตันละ 1,322 บาท ส่งมอบแล้ว 39,344 ตัน คงเหลืออีก 6,870 ตัน และสัญญาที่ 2 ส่งมอบแล้ว 3,600 ตัน คงเหลืออีก 17,000 ตัน
นางอภิรดี กล่าวอีกว่า ขณะนี้ถือว่า เพรซิเดนท์หมดความน่าเชื่อทางธุรกิจ อีกทั้งทราบข่าวว่า รัฐบาลอิหร่านได้ขึ้นบัญชีดำเพรซิเดนท์ไปแล้ว สำหรับกรณีที่มีข่าวว่า เพรซิเดนท์ ได้ตั้งบริษัทใหม่คือ บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด และจดทะเบียนเป็นผู้ค้าข้าวได้รับอนุญาตกับกรมฯ ตั้งแต่ต้นปีนั้น กรมฯ คงไม่สามารถห้ามการเข้าร่วมโครงการต่างๆ ของรัฐบาลได้ เพราะยังไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่จะจับตามดูพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด เพราะในวงการค้าข้าวทราบดีว่า บริษัทนี้เป็นนอมินีของใคร
ด้าน นางอรนุช โอสถานนท์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า กรณีเพรซิเดนท์ยักยอกข้าว เป็นหน้าที่ของกรมการค้าต่างประเทศ ที่จะต้องดำเนินการ เพราะเป็นคู่สัญญาโดยตรง ส่วนข้าวที่เพรซิเดนท์ยักยอกไป รวมทั้งข้าวที่หายไปจากโกดังอื่นๆ ซึ่งถือเป็นข้าวของหลวง และหากมีใครรับซื้อไป ถ้าสืบได้ก็จะดำเนินคดีในข้อหารับซื้อของโจร ไม่มีการยกเว้น เพราะคนในวงการค้าข้าว ส่วนใหญ่จะรู้กันดีว่า ข้าวมาจากไหน
ส่วนการตรวจสอบการทุจริตกรณีข้าวหายนั้นได้สั่งการให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ตั้งทีมเฉพาะกิจขึ้นมา เพื่อเข้าไปตรวจสอบ และควรจะกระทำให้ถี่ขึ้น ขณะเดียวกัน ขอให้มีการหมุนเวียนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในจังหวัดต่างๆ เพื่อป้องกันการทุจริต
สำหรับโครงการรับจำนำข้าวนาปี ที่มีการเสนอว่าจะเว้นวรรค นางอรนุชกล่าวว่า ในแง่ของนโยบายจะต้องมีต่อไป เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดึงราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำ และเป็นเครื่องมือในการป้องกันไม่ให้พ่อค้าคนกลางกดราคารับซื้อข้าวจากเกษตรกร แม้การรับจำนำจะไม่ใช้การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด แต่ต้องทำ โดยตามยุทธศาสตร์ข้าว การรับจำนำจะต้องค่อยยกเลิกไปในที่สุดก็ตาม
นายสกล หาญสุทธิวารินทร์ เลขานุการ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ ได้ให้นโยบายไว้ว่าจะให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวน้อยที่สุด หรือไม่มีเลย แต่กรณีที่เกิดขึ้น ขอให้ดำเนินการอย่างเต็มที่ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด หรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด และลงโทษขั้นสูงสุด ไม่มีการไว้หน้าใครทั้งนั้น
“อภิชาติ”โต้ ไม่ได้ยักยอกข้าว
ขณะที่นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ประธานกรรมการ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อกล่าวหาว่า ที่ระบุว่าเพรซิเดนท์ยักยอกข้าวที่รับมาปรับปรุงให้กับรัฐบาลอิหร่านและอินโดนีเซียนั้น ข้อเท็จจริงเป็นเพราะกรมการค้าส่งมอบข้าวมาให้ไม่ครบตามจำนวน โดยมีการระบุว่าส่งข้าวมาให้ 45,000 ตัน แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะโกดังไทยชูการ์ที่ใส่ข้าว มีพื้นที่ 4,444 ตารางเมตร บรรจุข้าวได้เต็มที่ 13,332 ตัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับมอบข้าวตามที่ระบุมา
ส่วนกรณีการรับมอบข้าวที่ได้ทำการปรับปรุงแล้ว ข้อเท็จจริง ทางการจะมีเจ้าหน้าที่มารับข้าวเอง สั่งลงข้าวเอง มีการคุมลงเรือเอง และนั่งเฝ้าสต๊อกที่โกดังตลอดเวลา และที่สำคัญ กุญแจโกดังกลับให้แขวนไว้ที่ออฟฟิศ ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติ ข้าวหลวง คนถือกุญแจควรจะเป็นคนของรัฐกับบริษัท เมื่อจะเบิกของก็ต้องเบิกพร้อมกัน แต่ข้าวหมดไปจากโกดังนานแล้ว ไม่เห็นมีใครพูดอะไร และการขนต้องใช้คนขน ทำได้เฉพาะกลางวัน และต้องใช้รถสิบล้อถึง 2,000 คันมาขน จึงจะหมด แต่นี่ใช้ระยะเวลาแค่เดือนกว่าๆ จึงเป็นไปไม่ได้
“ผมฟันธงได้อย่างเดียวคือ รับข้าวมาไม่ครบตามจำนวน เมื่อรัฐส่งข้าวมาไม่ครบ จะบอกว่าผมยักยอกทรัพย์ได้อย่างไร และในส่วนของกรรมการคนใหม่ เมื่อลงไปดู ก็บอกว่าไม่มีข้าวตามที่กรมการค้าต่างประเทศแจ้ง ก็ไปแจ้งความไว้แล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้แถลงข่าวเท่านั้น อยู่ๆ มากล่าวหาผมขโมยข้าวไปขาย ผมแบกไม่ไหวหรอก ผมอยากแก้ข้อกล่าวหาตรงนี้ โดยท่านควรจะต้องไปดูขบวนการให้ดีว่าผมยักยอกหรือมีคนเอาไปขายระหว่างทางเสียก่อน ไม่ได้นำข้าวเข้าโกดังจริง”นายอภิชาติ กล่าว