xs
xsm
sm
md
lg

ศาลให้ประกัน“มานิตย์-หมอเหวง”ยังไม่ออกหมายจับ นปก.รุ่น 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศาลสั่งปล่อยตัวชั่วคราว “มานิตย์-หมอเหวง” หลังภรรยาของทั้งสองยื่นขอประกันตัวจากศาล โดยศาลสั่งหุบปาก และห้ามออกไปก่อความวุ่ยวายอีก ขณะที่ทนายความผู้ต้องหา นปก.เดินหน้ายื่นอุทธรณ์ ขอให้ศาลปล่อยตัวลูกความ ด้านตำรวจสั่งเร่งรัดสำนวนคดี เตรียมส่งฟ้องให้ทันภายใน 48 วันตามกำหนด พร้อมดีเดย์รื้อเวทีสนามหลวงมาเป็นของกลางวันนี้ ส่วนลิ่วล้ออีก 6 คน ตำรวจนำตัวไปฝากขังเป็นผลัดที่สอง และยังไม่ออกหมายจับ นปก.รุ่น 2

วานนี้ (3 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นางธิดาโตจิราการ และนางพัชรินทร์ จิตต์จันทร์กลับ ภรรยาของนพ.เหวง โตจิราการ และนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ 2 ใน 8 แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตามคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และข้อหาสั่งการหรือยั่วยุปลุกระดมให้กลุ่มบุคคลกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงาน กรณีนำกลุ่มผู้ชุมนุมก่อความวุ่นวายที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อคืนวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 แสนบาท เพื่อขอประกันตัวนายแพทย์เหวง และนายมานิตย์ ออกจากเรือนจำ

นางพัชรินทร์ กล่าวถึงสาเหตุที่ต้องยื่นขอประกันตัวสามีว่า นายมานิตย์ เริ่มประสบปัญหาด้านสุขภาพ เพราะทนต่อสภาพแวดล้อมภายในเรือนจำไม่ไหว ทางแกนนำทั้ง 8 คนจึงหารือร่วมกันและเห็นว่าควรให้สามีของตน และนายแพทย์เหวงซึ่งมีอายุมากแล้วยื่นขอประกันตัวเพื่ออกมาต่อสู้คดีภายนอกเรือนจำ

ต่อมา ศาลได้พิจารณาอนุญาตตามคำร้องขอปล่อยตัว นพ.เหวง โตจิราการ ผู้ต้องหาที่ 6 และนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ผู้ต้องหาที่ 9 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกกระทำการดังกล่าวแล้วไม่เลิก และร่วมกันต่อสู่หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป โดยตีหลักทรัพย์การประกันตัวเป็นเงินสดคนละ 200,000 บาท

ทั้งนี้ ศาลยังได้มีคำสั่งกำหนดเงื่อนไขห้าม ผู้ต้องหาทั้งสองคน ประพฤติตนตามลักษณะในคำร้องขอฝากขังอันนำไปสู่การกระทำความผิด ในทำนองเดียวกันอีก และห้ามให้ข่าวในลักษณะ ยั่วยุ ให้ประชาชนเข้าใจผิด เกิดความแตกแยกมิฉะนั้นจะถอนประกัน

ขณะเดียวกันที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร บรรดาญาติของแกนนำ นปก.ต่างทยอยกันเดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจกันตามปกติ โดยในวันนี้มีกลุ่มผู้ขับขี่รถแท็กซี่เอื้ออาทร ประมาณ 50 คน นำดอกกุหลาบเข้าร่วมให้กำลังใจ ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยนั้น ในวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เข้มงวดเป็นพิเศษ หลังเมื่อวานที่ผ่านมา (2 ส.ค.) มีกระแสข่าวว่า กลุ่มผู้สนับสนุนจะเดินทางมากดดัน หากศาลไม่อนุญาตปล่อยตัว 8 แกนนำ โดยมีการประสานเจ้าหน้าที่คอมมานโด ของกรมราชทัณฑ์ 1 กองร้อย ตรึงกำลังโดยรอบ เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวาย พร้อมกำหนดเวลาเยี่ยมแกนนำ นปก.ทั้ง 8 คน เหลือเพียง 2 รอบ ตั้งแต่เวลา 09.30-10.00 น.และเวลา 13.30-14.00 น. เท่านั้น

ต่อมา เมื่อเวลา 15.30 น. นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายวีระ มุสิกพงศ์ กับพวกรวม 9 คน ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้ศาลไต่สวนผู้ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายและขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญามาตรา 90 พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนเป็นการด่วนและขอให้เบิกตัวผู้ถูกคุมขังทั้ง 8 คนจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพื่อไต่สวน

โดยคำอุทธรณ์มีเนื้อหารวม 20 หน้า สรุปว่าผู้ถูกคุมขังที่ 1-7 และ 9 ยืนยันไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 2 ส.ค.50 เพราะยังคลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการ ผู้ถูกคุมขัง 1-7 และ 9 จึงขออุทธรณ์ 7 ประเด็นดังนี้ 1. การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย โดยดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เพราะไม่ได้มีการไต่สวนผู้ถูกคุมขังตามที่กำหนดไว้ใน ป.วิอาญา ม.90

โดยเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ศาลชั้นต้นเพียงสอบถามทนายผู้ถูกคุมขังถึงจำนวนคำร้องที่ยื่นต่อศาลเท่านั้น ไม่ได้เป็นการไต่สวนผู้ถูกคุมขังแต่อย่างใด 2. การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ถูกคุมขังซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาได้ลงลายมือชื่อรับทราบกระบวนพิจารณาของศาลเมื่อวันที่ 25 ก.ค.50 ถึงการขอออกหมายจับนั้น ในข้อเท็จจริงผู้ถูกคุมขังยืนยันว่าในข้อตกลงการเข้าพบพนักงานสอบสวนต่อหน้าศาลจะได้รับการปล่อยตัวไป แต่ต่อมาศาลมีคำสั่งออกหมายขังตามคำร้องของพนักงานสอบสวนจึงถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งใช้ศาลเป็นเครื่องมือ

3.การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการที่ผู้ถูกคุมขังเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 26 ก.ค.50 นั้นถือว่าได้มีการแจ้งข้อหาให้ทราบแล้วนั้น ผู้ถูกคุมขังยืนยันว่าการเข้าพบพนักงานสอบสวนเป็นไปตามข้อตกลงและตามคำสั่งที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาในการไต่สวนคำร้องขอออกหมายจับเท่านั้น นอกจากนี้ศาลไม่ใช่สถานที่ที่จะใช้เป็นที่รับแจ้งข้อกล่าวหาหรือจับกุมผู้ถูกคุมขังไว้ กรณีนี้จึงเป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อข้อบังคับของประธานศาลฎีกา พ.ศ.2548

4.การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดียังอยู่ระหว่างการฝากขัง ซึ่งจะต้องพิสูจน์กันในชั้นพิจารณาว่าผู้ถูกคุมขังกระทำความผิดหรือไม่ เห็นว่าเมื่อผู้ถูกคุมขังทั้งหมดไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายอื่นใด จึงแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกคุมขังไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดตามที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาเพื่อขอออกหมายจับแต่อย่างใด กรณีจึงเป็นการนำความเท็จมากล่าวอ้างต่อศาลโดยมีเจตนาให้ต้องถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

5.การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าความผิดที่พนักงานสอบสวนแจ้งมีอัตราโทษสูงเกิน 3 ปี จึงถือเป็นความผิดอาญาร้ายแรงที่ศาลใช้ดุลยพินิจออกหมายขังได้ตาม ป.วิอาญา มาตรา 71 และ 66 นั้น ผู้ถูกคุมขังเห็นว่าข้อกล่าวหาตามที่พนักงานสอบสวนอ้างนั้น กฎหมายบัญญัติอัตราโทษขั้นสูงไม่เกิน 5 ปีเท่านั้น โดยไม่ได้บัญญัติอัตราโทษขั้นต่ำไว้ ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ ซึ่งผู้ถูกคุมขังเป็นผู้ที่ทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติมานาน ไม่เป็นผู้มีอิทธิพลใดๆ อีกทั้งการชุมนุมดังกล่าวเป็นการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองโดยสงบปราศจากอาวุธอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นความผิดตามข้อกล่าวหาจึงไม่ได้เป็นความผิดร้ายแรงดังที่ศาลวินิจฉัย

6.ประเด็นที่ศาลวินิจฉัยว่าศาลออกหมายขังได้ตาม ป.วิอาญามาตรา 71 และ 66 นั้นผู้ถูกคุมขังยืนยันว่าแม้กฎหมายจะให้ศาลมีอำนาจออกหมายขัง แต่การใช้ดุลยพินิจตาม ป.วิอาญา มาตรา 71 ศาลจะต้องพิจารณาถึงเหตุการณ์ออกหมายจับตามมาตรา 66 ก่อน ซึ่งเมื่อพนักงานสอบสวนยืนยันต่อศาลว่าการชุมนุมไม่ได้เป็นความผิดตามกฎหมายและผู้ถูกคุมขังไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด อีกทั้งผู้ถูกคุมขังไม่มีพฤติการณ์หลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายอื่นใด จึงแสดงให้เห็นว่าพฤติการณ์ของผู้ถูกคุมขังทั้งหมดไม่มีเหตุขอให้ศาลออกหมายจับได้ตาม ป.วิอาญา มาตรา 66 ดังนั้นคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ควบคุมผู้ถูกคุมขังทั้งหมดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

และ 7.เมื่อรายงานกระบวนพิจารณาคดีดำที่ พ.1650/2550 ลงวันที่ 25 ก.ค.50 พนักงานสอบสวนอ้างเหตุการณ์ควบคุมตัวว่าจำเป็นต้องพิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประจำวัน โดยพนักงานสอบสวนยังยืนยันข้อเท็จจริงในคำร้องว่าจะขอส่งตัวผู้ถูกคุมขังคืนศาล จึงแสดงให้เห็นว่าไม่มีเหตุจำเป็นหรือพฤติการณ์อื่นใดที่จะควบคุมตัวผู้ถูกคุมขังทั้งหมดไว้ในระหว่างการสอบสวนอีกต่อไป ดังนั้นการคุมขังหลังจากที่ได้ดำเนินการพิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประจำวันแล้วจึงเป็นการคุมขังที่เกินกว่าความจำเป็นตามพฤติการณ์แห่งคดีในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 วรรคแรก

ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายดังกล่าว ผู้ถูกคุมขังจึงขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้เพิกถอนหมายขังที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีคำสั่งให้ออกหมายปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังทั้งหมดเป็นการด่วนต่อไปทันที โดยไม่ต้องไต่สวนผู้ถูกคุมขังทั้งหมดอีกตาม ป.วิอาญา มาตรา 90 อย่างไรก็ตาม ศาลได้รับคำร้องไว้เพื่อดำเนินการส่งศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป

นายจรัล ดิษฐาอภิชัย หนึ่งในแกนนำ นปก.ที่ได้รับการประกันตัวไปก่อนหน้านี้ เผยว่า เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องก็ต้องยื่นอุทธรณ์ต่อไป ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย และตนได้ติดต่อกับนายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อประสานขอไม่ให้แยกคุมขังแกนนำทั้ง 8 คน แต่จะจัดให้คุมขังในแดนไหนก็ได้ และต้องปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้ดี เพราะแกนนำทั้ง 8 คน เป็นผู้ต้องหาทางการเมือง และตราบใดที่ศาลยังไม่ตัดสิน ก็ถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่

วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ก่อเหตุจลาจลที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ได้เรียกประชุมพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าทางคดีของ 15 แกนนำ นปก.ที่อยู่ระหว่างฝากขัง พร้อมเร่งรัดให้รวบรวมพยานหลักฐานอย่างแน่นหนาเพื่อดำเนินคดีต่อผู้ร่วมกระทำความผิดที่เหลือ โดยใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง

พ.ต.ต.เจตน์ กล่าวว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐานพร้อมตรวจสอบพฤติกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมที่เหลือ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะมีการออกหมายจับใครเพิ่มเติมอีกหรือไม่ โดยจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมกับแกนนำ 15 รายที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ก่อน ซึ่งต้องให้แล้วเสร็จภายใน 28 ส.ค.นี้ ตามเวลาที่กำหนดไว้เพื่อสรุปสำนวนคดีส่งให้อัยการพิจารณาเสร็จสิ้น ภายใน 48 วัน อย่างไรก็ตาม ในการยื่นฝากขังครั้งที่สองกับแกนนำ นปก.ทั้งสองชุด นั้นพนักงานสอบสวนจะคัดค้านการประกันตัวแน่นอน

“ตำรวจมีพยานหลักฐานชัดเจนที่จะดำเนินคดีต่อผู้ชุมนุมที่ก่อการจลาจลอยู่แล้ว แต่ยังไม่ดำเนินการออกหมายจับใครในตอนนี้ ซึ่งการออกหมายจับต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐานว่า หากสาวไปถึงใคร ก็ต้องดำเนินคดี ตอนนี้ต้องเร่งดำเนินการในส่วนของแกนนำที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ให้เสร็จสิ้นก่อน ส่วนคนอื่นนั้นสั่งการให้พนักงานสอบสวนเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุดก่อน"พล.ต.ต.เจตน์ กล่าว

สำหรับการรื้อเวทีปราศรัยบริเวณท้องสนามหลวงนั้น พล.ต.ต.เจตน์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วว่าเป็นหลักฐานส่วนหนึ่งในการดำเนินคดีซึ่งผู้ชุมนุมก็เข้าใจและยอมที่จะรื้อเวทีดังกล่าว ในวันที่ 4 ส.ค. โดยสั่งการให้พนักงานสอบสวนได้บันทึกภาพเวทีปราศรัยไว้แล้วเพื่อใช้เป็นหลักฐานไม่น่ามีปัญหาอะไร และหากผู้ชุมนุมจะขออนุญาตตั้งเวทีปราศรัยใหม่ ก็สามารถทำได้แต่ต้องทำหนังสือผ่าน กทม.เพื่อความถูกต้องและคงต้องรอให้เสร็จสิ้นกิจกรรมวันแม่ 12 ส.ค.ไปก่อน

พล.ต.ต.จุตติ ธรรมโนวานิช รอง ผบช.น.ในฐานะ พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ยื่นคำร้องขออำนาจศาลฝากขังครั้งที่สอง 6 ผู้ต้องหาม็อบแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ได้แก่ นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อายุ 37 ปี แกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 นายบรรธง สมคำ อายุ 32 ปี นายวีระยุทธ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา อายุ 44 ปี นายศราวุฒิ หลงเส็ง อายุ 25 ปี นายวีระศักดิ์ เหมะธุริน อายุ 57 ปี และนายวันชัย นาพุทธา อายุ 39 ปี ผู้ชุมนุมในกลุ่ม นปก. ที่ถูกจับกุมไปก่อนแกนนำทั้ง 9 คน โดยท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนยังขอคัดค้านการประกันตัว เพราะเกรงว่าผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือไปก่อเหตุอันตรายอื่นๆ หรือทำลายพยานหลักฐาน ข่มขู่พยาน ซึ่งผู้ต้องหาเหล่านี้อยู่ในกลุ่มแกนนำ นปก.ที่อาจไปร่วมชุมนุมปลุกระดมประชาชนทำให้เกิดความวุ่นวายได้

ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น. ที่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำหมายปล่อยตัวจากศาลอาญาไปทำการปล่อยตัว นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ และนพ.เหวง โตจิราการ สองแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) โดยทั้งคู่มีสีหน้ายิ้มแย้มโบกมือทักทาย และยกมือไหว้ขอบคุณกลุ่มญาติที่มารอรับ และกลุ่มผู้สนับสนุนอีกประมาณ 30 คนที่นำช่อดอกไม้มาให้กำลังใจ

นายมานิตย์ กล่าวให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า จะขอต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด ส่วนที่ขอประกันตัวออกมาเพียงแค่ 2 คน เพราะเป็นมติของกลุ่ม นปก.เนื่องจากต้องการให้พวกตนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ ออกมาต่อสู้คดีนอกเรือนจำ สำหรับแกนนำที่เหลือจะยังไม่ประกันตัวเนื่องจากเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ต้องหาปลอม เพราะไม่ได้เซ็นรับทราบข้อกล่าวหา ส่วนตนยังมีอาการป่วยอยู่ ขอไปพักรักษาตัวสักระยะก่อนจะกลับมาร่วมหาแนวทางต่อสู้คดีต่อไป

ด้าน นพ.เหวง กล่าวให้สัมภาษณ์สั้นๆ เช่นกัน เนื่องจากเกรงว่าจะละเมิดอำนาจศาล โดยระบุจะเดินหน้าสร้างสรรค์ประชาธิปไตยต่อไป ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น ขอปรึกษากับแนวร่วม นปก.อีกครั้ง ขณะนี้ตนป่วย มีอาการเป็นไข้หวัดและเจ็บคอ ส่วนทิศทางการต่อสู้ทางคดีต่อไปนั้น ยังคงให้นายมานิตย์ ดูและเรื่องข้อกฎหมาย ส่วนตนจะดูข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นการแบ่งหน้าที่ตามความถนัดของแต่ละคน
กำลังโหลดความคิดเห็น