แฉวุฒิพงษ์โกหกคำโต อ้างบอร์ดปลดพ้นทีโอทีเพราะขวางโครงการเพื่อความมั่นคง ทั้งๆที่เกิดจากปัญหาบุคลิกภาพและขาดวุฒิภาวะในการทำงานตามสายการบังคับบัญชา โฆษกบอร์ดทีโอทีย้ำ 5 เหตุผลวุฒิพงษ์ไร้สาระ คลาดเคลื่อนข้อเท็จจริง พยายามกลบเกลื่อนหวังสร้างภาพ ยันโครงการสนับสนุนอุปกรณ์เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์มีการประสานงานกับบอร์ด 2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้วุฒิพงษ์รู้เห็นและไม่คัดค้านตั้งแต่ต้น
นายชิต เหล่าวัฒนา โฆษกบอร์ดบริษัท ทีโอที กล่าวถึงกรณีนายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ หลังจากที่ถูกบอร์ดทีโอทีปลดจากทุกตำแหน่งแล้วกลับนำวาระลับเรื่องโครงการขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับความมั่นคง มาเปิดเผยกับสาธารณะชนซึ่งทำให้เกิดผลกระทบกับความมั่นคงของประเทศว่าข้อมูลทั้งหมดที่นายวุฒิพงษ์ออกมาแถลงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และบางส่วนเป็นความเท็จ เนื่องจากนายวุฒิพงษ์ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นที่แท้จริงของการถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในทีโอที
“นายวุฒิพงษ์ถูกปลดเพราะมีแนวทางการทำงานไม่สอดคล้องกับผู้บังคับบัญชา และมีการปฏิบัติตนไม่เหมาะสมต่อการเป็นรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ และตำแหน่งกรรมการบริษัท ที่ได้มีการแสดงออกทางวาจา หรือ ใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมอีกทั้งยังแสดงถึงความบกพร่องทางด้านบุคลิกภาพทางการบริหารงาน”
หากไล่เรียงลำดับเหตุการณ์จะพบว่าบอร์ดทีโอทีมีการประชุมวาระลับโครงการเกี่ยวกับความมั่นคงในวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยแค่อนุมัติในหลักการเพื่อให้การสนับสนุน และให้ทีโอทีกลับไปพิจารณารายละเอียดว่าจะให้การสนับสนุนในลักษณะเช่นใดบ้าง โดยไม่ได้ระบุจำนวนเงินงบประมาณที่จะสนับสนุนใดๆทั้งสิ้น ซึ่งนายวุฒิพงษ์เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับการอนุมัติในหลักการเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ และหลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นนายวุฒิพงษ์ได้เดินทางไปยังจ.นครศรีธรรมราชเพื่อพูดกับพนักงานในหัวข้อการขับเคลื่อนทีโอทีสู่การเป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งในระหว่างการพูดกับพนักงานนายวุฒิพงษ์เกิดอารมณ์ฟุ้งกระจายคิดไปว่าอยู่บนเวทีไฮปาร์คสนามหลวง ถึงกับกล่าวจาบจ้วงไปถึงนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีทีซึ่งหากมองตามสายการบังคับบัญชา ต้องถือว่านายสิทธิชัยเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง
นายวุฒิพงษ์กล่าวออกจากปากในทำนองว่าหากประชาชนเห็นด้วยกับเทเลคอมพูล ซึ่งนายสิทธิชัยขัดขวางและระบุว่าหากจะทำต้องข้ามศพไปก่อน ตนก็พร้อมจะสนองให้ ซึ่งปรากฏว่าสิ่งที่นายวุฒิพงษ์พูดเป็นความเท็จทั้งสิ้น เนื่องจากรมว.ไอซีทีไม่เคยกล่าวคัดค้านเทเลคอมพูลหรือบอกว่าต้องให้ข้ามศพตัวเองไปก่อน ในขณะที่นายวุฒิพงษ์ก็ยอมรับภายหลังว่าต้องการพูดเพื่อปลุกอารมณ์พนักงานเท่านั้น
ประกอบกับพฤติกรรมส่วนตัวและบุคลิกภาพของนายวุฒิพงษ์ซึ่งทำให้บอร์ดเห็นว่าไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เนื่องจากการขาดวุฒิภาวะไม่รู้จักสายการบังคับบัญชาทำให้บอร์ดทีโอทีต้องปลดนายวุฒิพงษ์จากทุกตำแหน่ง ในวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องโครงการเพื่อความมั่นคงเลย แต่ในการประชุมบอร์ดวันนั้น หลังจากที่นายวุฒิพงษ์แสดงความปรารถนาให้บอร์ดปลด โดยปฏิเสธที่จะลาออกเอง พร้อมทั้งมีการก้มกราบลาพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ดทีโอที
แต่เมื่อเดินออกจากห้องก็แถลงข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างภาพตัวเองเป็นฮีโร่อ้างว่าเป็นเพราะขวางโครงการเพื่อความมั่นคงทำให้บอร์ดไม่พอใจสั่งปลด และยังแสดงเหตุผล 5 ข้อ ที่ค้านโครงการขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับความมั่นคงมูลค่า 800 ล้านบาท แบ่งเป็น 400 ล้านบาทจากงบประมาณ ปี 2550 และอีก 400 ล้านบาทจากงบประมาณปี2551 ที่เรียกได้ว่าเป็นเท็จทั้งสิ้นประกอบด้วย
1. หากโครงการนี้มีความจำเป็นทางด้านความมั่นคงในระดับคอขาดบาดตายจริง ทำไมจึงต้องมาใช้เงินของ ทีโอที ซึ่งงบสำคัญขนาดนี้น่าจะปรากฏงบของกองทัพหรือกลาโหม ซึ่งมีทั้งงบปกติและงบลับจำนวนมหาศาลอยู่แล้ว
2.โครงการนี้มิได้ใช้แค่อุปกรณ์ แต่ต้องมีการเตรียมบุคลากรจำนวนมากเพื่อปฏิบัติการถ้าไม่มีการเตรียมเจ้าหน้าที่อย่างพร้อมมูล อุปกรณ์ก็กลายเป็นเศษเหล็กไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่หากได้มีการตระเตรียมบุคลากรมาอย่างพร้อมพรั่งสมบรูณ์ดีแล้ว มูลค่าอุปกรณ์ก็น่าจะถูกรวมไว้ในงบประมาณด้านความมั่งคงเรียบร้อยแล้วจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินบริจาคของทีโอที
3.ถ้ามีความสำคัญอย่างที่กล่าวอ้างจริง ทำไมถึงไม่มีจดหมายจากหน่วยงานหลักเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ อาทิ คณะมนตรีความมั่นคง หรือคมช. กองทัพบก สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ หรือ กอ.รมน.หรือกระทรวงกลาโหม แต่กลับออกมาจากหน่วยงานภายในของกองทัพ/กลาโหม ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล นอกจากนั้น ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องวิธีการเบิกจ่ายผู้รับเงิน วิธี จัดซื้อจัดจ้าง ตลอดจนถึงรูปแบบของความช่วยเหลือ ว่าจะเป็นเงินสดหรืออุปกรณ์
4. ทีโอทีไม่ได้มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งแต่ประการใดงบประมาณ จำนวน 800 ล้านบาท จะเป็นตัวเลขที่ถ่วงผลประกอบการของบริษัท
5.ถ้าเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวรั่วไหลสู่สาธารณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก จะส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของพนักงาน และประชาชน ที่มีต่อกรรมการบริษัทฯ ในการกวาดล้างคอร์รัปชั่นและสร้างความโปร่งใสให้กับทีโอที โดยเฉพาะต่อพล.อ.สพรั่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญใน คมช. ซึ่งพล.อ.สพรั่ง กัลยาณนิมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานบอร์ด ทีโอที
นายชิตกล่าวว่าเหตุผลทั้ง 5 เรื่องเป็นสิ่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง อย่าง1.มูลค่าโครงการยังไม่ได้มีการกำหนดว่าเป็น 800 ล้านบาท และที่สำคัญทีโอทียังเป็นของรัฐ 100% และภารกิจสำคัญของทีโอทีก็คือต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องความมั่นคงของระบบสื่อสารภายในประเทศซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักในการจัดตั้งหน่วยงานนี้ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน แต่ยังถือว่ากระทรวงการคลังถือหุ้น 100% ดังนั้นภารกิจเพื่อความมั่นคงยังถือเป็นภารกิจหลักของทีโอทีเช่นกัน ซึ่งการสนับสนุนโครงการดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับระบบโครงข่ายของทีโอที ดังนั้นถือเป็นความชอบธรรมที่ทีโอทีสามารถให้การสนับสนุนได้
2.โครงการนี้มีการเตรียมบุคลากรไว้เรียบร้อยแล้วโดยเฉพาะในส่วนของทหาร แต่สิ่งที่อาจต้องเตรียมกำลังพลเพิ่มเติมก็เพื่อมารักษาชุมสายโทรศัพท์ของทีโอที หลังจากที่นายวุฒิพงษ์นำเรื่องความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติมาเปิดเผยซึ่งทำให้ฝ่ายไม่หวังดีกับประเทศรู้ความเคลื่อนไหวของทหารว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง
3.มีการประสานงานผ่านกรรมการบอร์ดทีโอทีมาล่วงหน้า 2-3 สัปดาห์แล้ว และนายวุฒิพงษ์ก็รับทราบและไม่มีทีท่าว่าจะคัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้หน่วยงานที่ประสานงานมายังทีโอทีก็มีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นหน่วยงานเกี่ยวกับความมั่นคงที่มีที่มาที่ไป มีรายละเอียดนำเสนอมาอย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งนายวุฒิพงษ์ได้รับแจ้งมาโดยตลอด
4.ตัวเลข 800 ล้านบาทยังไม่ได้เป็นข้อสรุปและไม่มีรายละเอียดมารองรับ และถ้าหากทีโอทีจะต้องสนับสนุนงบประมาณเพื่อความมั่นคง บอร์ดทีโอทีก็จะพิจารณาอย่างรอบคอบไม่ให้เกิดผลกระทบกับฐานะการเงินของบริษัทแน่นอน ซึ่งปัจจุบันทีโอทีมีรายได้ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท เป็นรายได้จากสัญญาสัมปทานประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท หากทีโอทีมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย งบประมาณที่จะนำมาสนับสนุนความมั่นคงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมาทีโอทีใช้งบเพื่อการบริจาค การกุศล หรือการโฆษณาไปจำนวนมาก
5.การรั่วไหลของโครงการดังกล่าวเกิดจากนายวุฒิพงษ์เอง ที่ไม่หวังดีกับประเทศชาติ ซึ่งโครงการเพื่อความมั่นคงทั้งรมว.ไอซีทีและประธานบอร์ดทีโอทีต่างเห็นด้วยและเห็นว่าเป็นภารกิจของทีโอทีในการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งภาวะที่เกิดสถานการณ์ไม่ปกติจะใช้วิธีคิดแบบปกติไม่ได้
“โครงการนี้ให้สตง.ตรวจสอบความโปร่งใสได้ทุกขั้นตอน แต่การที่นายวุฒิพงษ์เอาเรื่องที่เป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ ออกมาเปิดเผยที่สาธารณะ ทำให้ฝ่ายไม่หวังดีล่วงรู้ข้อมูลด้วยว่าทหารกำลังจะทำอะไร นายวุฒิพงษ์กำลังเอาชีวิตทหารที่เสี่ยงภัยทุกวัน มาเป็นเดิมพัน เพื่อสร้างภาพการเป็นฮีโร่ของตัวเอง ทั้งๆที่นายวุฒิพงษ์รับรู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้น และเหตุผลที่นำมากล่าวอ้างก็ไม่เป็นความจริง”
นายชิต เหล่าวัฒนา โฆษกบอร์ดบริษัท ทีโอที กล่าวถึงกรณีนายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ หลังจากที่ถูกบอร์ดทีโอทีปลดจากทุกตำแหน่งแล้วกลับนำวาระลับเรื่องโครงการขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับความมั่นคง มาเปิดเผยกับสาธารณะชนซึ่งทำให้เกิดผลกระทบกับความมั่นคงของประเทศว่าข้อมูลทั้งหมดที่นายวุฒิพงษ์ออกมาแถลงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และบางส่วนเป็นความเท็จ เนื่องจากนายวุฒิพงษ์ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นที่แท้จริงของการถูกปลดออกจากทุกตำแหน่งในทีโอที
“นายวุฒิพงษ์ถูกปลดเพราะมีแนวทางการทำงานไม่สอดคล้องกับผู้บังคับบัญชา และมีการปฏิบัติตนไม่เหมาะสมต่อการเป็นรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ และตำแหน่งกรรมการบริษัท ที่ได้มีการแสดงออกทางวาจา หรือ ใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมอีกทั้งยังแสดงถึงความบกพร่องทางด้านบุคลิกภาพทางการบริหารงาน”
หากไล่เรียงลำดับเหตุการณ์จะพบว่าบอร์ดทีโอทีมีการประชุมวาระลับโครงการเกี่ยวกับความมั่นคงในวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยแค่อนุมัติในหลักการเพื่อให้การสนับสนุน และให้ทีโอทีกลับไปพิจารณารายละเอียดว่าจะให้การสนับสนุนในลักษณะเช่นใดบ้าง โดยไม่ได้ระบุจำนวนเงินงบประมาณที่จะสนับสนุนใดๆทั้งสิ้น ซึ่งนายวุฒิพงษ์เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับการอนุมัติในหลักการเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ และหลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นนายวุฒิพงษ์ได้เดินทางไปยังจ.นครศรีธรรมราชเพื่อพูดกับพนักงานในหัวข้อการขับเคลื่อนทีโอทีสู่การเป็นบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ ซึ่งในระหว่างการพูดกับพนักงานนายวุฒิพงษ์เกิดอารมณ์ฟุ้งกระจายคิดไปว่าอยู่บนเวทีไฮปาร์คสนามหลวง ถึงกับกล่าวจาบจ้วงไปถึงนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีทีซึ่งหากมองตามสายการบังคับบัญชา ต้องถือว่านายสิทธิชัยเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง
นายวุฒิพงษ์กล่าวออกจากปากในทำนองว่าหากประชาชนเห็นด้วยกับเทเลคอมพูล ซึ่งนายสิทธิชัยขัดขวางและระบุว่าหากจะทำต้องข้ามศพไปก่อน ตนก็พร้อมจะสนองให้ ซึ่งปรากฏว่าสิ่งที่นายวุฒิพงษ์พูดเป็นความเท็จทั้งสิ้น เนื่องจากรมว.ไอซีทีไม่เคยกล่าวคัดค้านเทเลคอมพูลหรือบอกว่าต้องให้ข้ามศพตัวเองไปก่อน ในขณะที่นายวุฒิพงษ์ก็ยอมรับภายหลังว่าต้องการพูดเพื่อปลุกอารมณ์พนักงานเท่านั้น
ประกอบกับพฤติกรรมส่วนตัวและบุคลิกภาพของนายวุฒิพงษ์ซึ่งทำให้บอร์ดเห็นว่าไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เนื่องจากการขาดวุฒิภาวะไม่รู้จักสายการบังคับบัญชาทำให้บอร์ดทีโอทีต้องปลดนายวุฒิพงษ์จากทุกตำแหน่ง ในวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องโครงการเพื่อความมั่นคงเลย แต่ในการประชุมบอร์ดวันนั้น หลังจากที่นายวุฒิพงษ์แสดงความปรารถนาให้บอร์ดปลด โดยปฏิเสธที่จะลาออกเอง พร้อมทั้งมีการก้มกราบลาพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ดทีโอที
แต่เมื่อเดินออกจากห้องก็แถลงข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างภาพตัวเองเป็นฮีโร่อ้างว่าเป็นเพราะขวางโครงการเพื่อความมั่นคงทำให้บอร์ดไม่พอใจสั่งปลด และยังแสดงเหตุผล 5 ข้อ ที่ค้านโครงการขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับความมั่นคงมูลค่า 800 ล้านบาท แบ่งเป็น 400 ล้านบาทจากงบประมาณ ปี 2550 และอีก 400 ล้านบาทจากงบประมาณปี2551 ที่เรียกได้ว่าเป็นเท็จทั้งสิ้นประกอบด้วย
1. หากโครงการนี้มีความจำเป็นทางด้านความมั่นคงในระดับคอขาดบาดตายจริง ทำไมจึงต้องมาใช้เงินของ ทีโอที ซึ่งงบสำคัญขนาดนี้น่าจะปรากฏงบของกองทัพหรือกลาโหม ซึ่งมีทั้งงบปกติและงบลับจำนวนมหาศาลอยู่แล้ว
2.โครงการนี้มิได้ใช้แค่อุปกรณ์ แต่ต้องมีการเตรียมบุคลากรจำนวนมากเพื่อปฏิบัติการถ้าไม่มีการเตรียมเจ้าหน้าที่อย่างพร้อมมูล อุปกรณ์ก็กลายเป็นเศษเหล็กไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่หากได้มีการตระเตรียมบุคลากรมาอย่างพร้อมพรั่งสมบรูณ์ดีแล้ว มูลค่าอุปกรณ์ก็น่าจะถูกรวมไว้ในงบประมาณด้านความมั่งคงเรียบร้อยแล้วจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินบริจาคของทีโอที
3.ถ้ามีความสำคัญอย่างที่กล่าวอ้างจริง ทำไมถึงไม่มีจดหมายจากหน่วยงานหลักเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ อาทิ คณะมนตรีความมั่นคง หรือคมช. กองทัพบก สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ หรือ กอ.รมน.หรือกระทรวงกลาโหม แต่กลับออกมาจากหน่วยงานภายในของกองทัพ/กลาโหม ซึ่งไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคล นอกจากนั้น ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องวิธีการเบิกจ่ายผู้รับเงิน วิธี จัดซื้อจัดจ้าง ตลอดจนถึงรูปแบบของความช่วยเหลือ ว่าจะเป็นเงินสดหรืออุปกรณ์
4. ทีโอทีไม่ได้มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งแต่ประการใดงบประมาณ จำนวน 800 ล้านบาท จะเป็นตัวเลขที่ถ่วงผลประกอบการของบริษัท
5.ถ้าเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวรั่วไหลสู่สาธารณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก จะส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของพนักงาน และประชาชน ที่มีต่อกรรมการบริษัทฯ ในการกวาดล้างคอร์รัปชั่นและสร้างความโปร่งใสให้กับทีโอที โดยเฉพาะต่อพล.อ.สพรั่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญใน คมช. ซึ่งพล.อ.สพรั่ง กัลยาณนิมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานบอร์ด ทีโอที
นายชิตกล่าวว่าเหตุผลทั้ง 5 เรื่องเป็นสิ่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง อย่าง1.มูลค่าโครงการยังไม่ได้มีการกำหนดว่าเป็น 800 ล้านบาท และที่สำคัญทีโอทียังเป็นของรัฐ 100% และภารกิจสำคัญของทีโอทีก็คือต้องมีความรับผิดชอบในเรื่องความมั่นคงของระบบสื่อสารภายในประเทศซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักในการจัดตั้งหน่วยงานนี้ ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน แต่ยังถือว่ากระทรวงการคลังถือหุ้น 100% ดังนั้นภารกิจเพื่อความมั่นคงยังถือเป็นภารกิจหลักของทีโอทีเช่นกัน ซึ่งการสนับสนุนโครงการดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับระบบโครงข่ายของทีโอที ดังนั้นถือเป็นความชอบธรรมที่ทีโอทีสามารถให้การสนับสนุนได้
2.โครงการนี้มีการเตรียมบุคลากรไว้เรียบร้อยแล้วโดยเฉพาะในส่วนของทหาร แต่สิ่งที่อาจต้องเตรียมกำลังพลเพิ่มเติมก็เพื่อมารักษาชุมสายโทรศัพท์ของทีโอที หลังจากที่นายวุฒิพงษ์นำเรื่องความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติมาเปิดเผยซึ่งทำให้ฝ่ายไม่หวังดีกับประเทศรู้ความเคลื่อนไหวของทหารว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง
3.มีการประสานงานผ่านกรรมการบอร์ดทีโอทีมาล่วงหน้า 2-3 สัปดาห์แล้ว และนายวุฒิพงษ์ก็รับทราบและไม่มีทีท่าว่าจะคัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้หน่วยงานที่ประสานงานมายังทีโอทีก็มีฐานะเป็นนิติบุคคล เป็นหน่วยงานเกี่ยวกับความมั่นคงที่มีที่มาที่ไป มีรายละเอียดนำเสนอมาอย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งนายวุฒิพงษ์ได้รับแจ้งมาโดยตลอด
4.ตัวเลข 800 ล้านบาทยังไม่ได้เป็นข้อสรุปและไม่มีรายละเอียดมารองรับ และถ้าหากทีโอทีจะต้องสนับสนุนงบประมาณเพื่อความมั่นคง บอร์ดทีโอทีก็จะพิจารณาอย่างรอบคอบไม่ให้เกิดผลกระทบกับฐานะการเงินของบริษัทแน่นอน ซึ่งปัจจุบันทีโอทีมีรายได้ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท เป็นรายได้จากสัญญาสัมปทานประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท หากทีโอทีมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน มีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุน ประหยัดค่าใช้จ่าย งบประมาณที่จะนำมาสนับสนุนความมั่นคงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมาทีโอทีใช้งบเพื่อการบริจาค การกุศล หรือการโฆษณาไปจำนวนมาก
5.การรั่วไหลของโครงการดังกล่าวเกิดจากนายวุฒิพงษ์เอง ที่ไม่หวังดีกับประเทศชาติ ซึ่งโครงการเพื่อความมั่นคงทั้งรมว.ไอซีทีและประธานบอร์ดทีโอทีต่างเห็นด้วยและเห็นว่าเป็นภารกิจของทีโอทีในการสนับสนุนเพื่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งภาวะที่เกิดสถานการณ์ไม่ปกติจะใช้วิธีคิดแบบปกติไม่ได้
“โครงการนี้ให้สตง.ตรวจสอบความโปร่งใสได้ทุกขั้นตอน แต่การที่นายวุฒิพงษ์เอาเรื่องที่เป็นยุทธศาสตร์ความมั่นคงของชาติ ออกมาเปิดเผยที่สาธารณะ ทำให้ฝ่ายไม่หวังดีล่วงรู้ข้อมูลด้วยว่าทหารกำลังจะทำอะไร นายวุฒิพงษ์กำลังเอาชีวิตทหารที่เสี่ยงภัยทุกวัน มาเป็นเดิมพัน เพื่อสร้างภาพการเป็นฮีโร่ของตัวเอง ทั้งๆที่นายวุฒิพงษ์รับรู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้น และเหตุผลที่นำมากล่าวอ้างก็ไม่เป็นความจริง”