วงประชุมลับ คมช.-ครม.เชื่อได้ผลดีเลิกประกาศ คปค. ฉบับ 15 ดีกว่าปิดกั้นพรรคการเมือง แถมไม่หนักใจภาพรวมเรื่องม็อบ ขี้คุยจะมาเรือนแสน นครบาล ยันดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมได้ “บุญสร้าง” ย้ำต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย “สุริยะใส” เย้ยพีทีวี ลอกเลียนได้แค่รูปแบบการเคลื่อนไหว ชุมนุมเพื่อ“ทักษิณ”
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการประชุมระหว่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กับ คณะรัฐมนตรีนอกรอบ มีการรายงานถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ซึ่งเห็นว่า เป็นเหตุการณ์ธรรมดาไม่มีอะไรน่าหนักใจ ส่วนสถานการณ์ผู้ชุมนุมนั้นก็ไม่ได้มีการหารืออะไรกันเป็นพิเศษ แต่มีเน้นพูดคุยกันในเรื่องประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 ซึ่ง ครม.มีมติออกมาแล้ว ซึ่งตนมองภาพรวมแล้วคิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น หลังครม.มีมติเรื่องนี้ เรื่องการนิรโทษกรรมนั้น ที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึงแต่อย่างใด เพราะถือว่าจบไปแล้ว ไม่มีใครอย่างฟื้นฝอยหาตะเข็บ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประธาน คมช.เห็นด้วยกับการยกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 หรือไม่ นพ. พลเดช กล่าวว่า ประธาน คมช.ก็เห็นด้วย ซึ่งก็แล้วแต่ ครม. จะตัดสินใจ ซึ่งเราก็เห็นร่วมกันว่าตรงนี้น่าจะมีการแก้ไข คือมีมติ ครม.เพื่อเปิดให้ มีกิจกรรมทางการเมืองได้ ซึ่งก็ต้องออก พ.ร.บ.ไปแก้ไขประกาศ คปค.ดังกล่าว ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็รับที่จะไปยกร่างแก้ไขในเรื่องนี้ เพื่อนำกลับเข้า ครม.ในสัปดาห์หน้า
ส่วนประธาน คมช. มีการประเมินผลกระทบหากมีการยกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 หรือไม่ว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวในลักษณะใดบ้าง รมช.พัฒนาสังคมฯ กล่าวว่า พูดกันอยู่เหมือนกันแต่ว่า เราประเมินกันแล้วน่าจะเป็นผลดีมากกว่า คือแทนที่จะไปปิดกั้นกันไว้ ก็เปิดไป ส่วนพรรคหรือกลุ่มไหนจะเคลื่อนไหว หรือจะทำผิดกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบกันไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข้อถกเถียงแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์หลังการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ หรือไม่ นพ.พลเดช กล่าวว่า ก็มีความเห็นในลักษณะที่ว่า ถ้าดำเนินการตามนั้นแล้วจะทำให้มีม็อบเป็นจำนวนแสนๆ คนหรือไม่ แต่เมื่อคุยกันรอบด้านแล้ว ก็เห็นว่าไม่น่าเป็นห่วงจนเกินไป เมื่อถามว่าประธานคมช. ได้เสนอมาตรการในการดูแลสถานการณ์ด้านความมั่นคงหรือไม่ รมช.พัฒนาสังคมกล่าวว่า ท่านไม่ได้หยิบยกมาตรการมาหารือขนาดนั้น แต่ดูท่านไม่ได้หนักใจ เพราะประเมินดูแล้วภาพรวมไม่น่าหนักใจ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร.เปิดเผยถึงการชุมนุมของ กลุ่มพีทีวี และเปลี่ยนชื่อเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการที่มีทีท่าจะชุมนุมยื้ดเยื้อ ว่าตอนนี้ตำรวจได้เข้าไปดูแลควบคุมจนเป็นหน้าที่ประจำอยู่แล้ว และขณะนี้การชุมนุมยังอยู่ในกรอบกฎหมาย แต่หากรักบ้านเมืองไม่อยากให้บ้านเมือง วุ่นวายก็อย่ามาชุมนุมกันมาก เนื่องจากตำรวจจะได้ทำงานด้านอื่นบ้าง ตอนนี้กำลังตำรวจและงบประมาณได้ใช้จ่ายจนเกือบหมดแล้ว จะไม่ให้ก็ไม่ได้เพราะเป็นการทำงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่าตำรวจมีวิธีการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้ยืดเยื้อ เพื่อป้องกันการเสียกำลังพลและงบประมาณหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า จะให้ตนสั่งอะไรได้อย่างไรเพราะตนมีหน้าที่แค่นี้ ก็ทำได้เท่านี้ ตนไม่ใช่ผู้มีอำนาจ เมื่อตนคุมนโยบายค่อยมาถาม
ด้าน พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.น.เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่าได้มีการปรับเปลี่ยนเวทีปราศรัยกลับมาที่เดิม คือทางด้านทิศเหนือของสนามหลวง ส่วนเครื่องเสียงจะหันไปทางด้านศาลอาญา ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการประเมินสถานการณ์และปรับกำลังให้มีความเหมาะสมต่อไป
“ดูจากเมื่อวานสถานการณ์ในเรื่องการชุมนุมก็เรียบร้อยดี ไม่มีความรุนแรงอะไร โดยมีประชาชนที่มาเข้าร่วมชุมนุมไม่เกิน 5 พันคน อย่างก็ไรก็ตาม อยากจะให้การชุมนุมอยู่ในลักษณะที่ไม่เร่งเร้ารุนแรง ถ้าตรงนี้เราก็จะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาตรการคุมเข้มผู้เข้าร่วมชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัดกุม เพียงพอหรือไม่ พล.ต.ท.อดิศร กล่าวว่า ขอเรียนว่ามาตรการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ปฏิบัติมาอยู่ในขั้นที่เรียบร้อยคุมเข้มมาตลอด มีเครื่องตรวจอาวุธและวัตถุระเบิด ทางเจ้าหน้าที่ก็ประจำจุดทางเข้าออกตลอดเวลา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้ประชาชน
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า ประชาชนจะต้องดูว่า เรามีอะไรที่จะต้องทำให้สร้างสรรค์ และสำคัญสำหรับเรา เพราะชาติไทยเรา ต้องการความสงบสุข และต้องการความนิ่งในเรื่องต่าง ๆ มากกว่า การเมืองทุกคนก็ต้องสนใจเรื่องการเมือง
“แต่ขอให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย อยู่ในกติกากฎหมาย ก็ขอร้องกันไว้อย่างนั้นเพราะไม่อย่างนั้นก็จะกลับไปสู่เหตุการณ์เดิม ๆ อย่างนั้นหรือประเทศชาติของเรา เราจะดูเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ หรือจะดูประโยชน์ของบุคคลเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติเราแย่”
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพีทีวี และอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่มีกระบวนการคล้ายคลึงกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า กลุ่มพีทีวี ก็เลียนแบบได้เฉพาะรูปแบบการเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่ไม่มีแนวทางการเรียกร้องที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาก็พอจะเห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ก็เพื่อขับไล่เผด็จการ ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับประเทศ และเร่งให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่เป็นการผ่าทางตันทางการเมืองตามที่สังคมต้องการ
“การชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มพีทีวี ถึงแม้จะเป็นสิทธิ์ที่ทำได้และทุกฝ่าย ต้องเคารพในการแสดงออกตามวิถีในระบอบประชาธิปไตย แต่ควรให้ความสำคัญกับการสะสางปัญหาที่ผ่านมาในสมัยรัฐบาลระบอบทักษิณ แต่พฤติกรรมของผู้ชุมนุม ดูเหมือนกับว่าพยายามทำให้ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นโฆษะ เสมือนกับว่า ไม่เคยทำผิดหรือไม่ ส่วนอดีตส.ส.ไทยรักไทยที่เข้าไปร่วมเวทีปราศรัย นั้นก็ต้องอธิบายให้สังคมรับรู้ว่าเป็นการชุมนุมส่วนตัวหรือเพื่อส่วนรวม”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมอย่างยืดเยื้อของกลุ่มพีทีวี ในอนาคตจะสร้างปัญหาให้กับประเทศ จนก่อเป็นความรุนแรงที่บานปลาย หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า มีปัญหาแน่นอน เพราะมีต้นขั้วมาจากความแตกแยกในสังคมที่รุนแรง มีการแยกขั้ว แบ่งฝ่าย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าบรรยากาศการเมืองที่เป็นเช่นดังกล่าวจะคงอยู่ไปจนถึงมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในระยะหนึ่ง แต่ภายหลังจากที่มีรัฐบาลที่มีผู้นำ ที่มีธรรมรัฐ ธรรมาภิบาล มีรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้า มีรัฐบาลที่มีนโยบายที่มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผล เชื่อว่าความขัดแย้งในประเทศก็จะคลี่คลาย
นพ.พลเดช ปิ่นประทีป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการประชุมระหว่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กับ คณะรัฐมนตรีนอกรอบ มีการรายงานถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ซึ่งเห็นว่า เป็นเหตุการณ์ธรรมดาไม่มีอะไรน่าหนักใจ ส่วนสถานการณ์ผู้ชุมนุมนั้นก็ไม่ได้มีการหารืออะไรกันเป็นพิเศษ แต่มีเน้นพูดคุยกันในเรื่องประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 ซึ่ง ครม.มีมติออกมาแล้ว ซึ่งตนมองภาพรวมแล้วคิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น หลังครม.มีมติเรื่องนี้ เรื่องการนิรโทษกรรมนั้น ที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึงแต่อย่างใด เพราะถือว่าจบไปแล้ว ไม่มีใครอย่างฟื้นฝอยหาตะเข็บ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประธาน คมช.เห็นด้วยกับการยกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 หรือไม่ นพ. พลเดช กล่าวว่า ประธาน คมช.ก็เห็นด้วย ซึ่งก็แล้วแต่ ครม. จะตัดสินใจ ซึ่งเราก็เห็นร่วมกันว่าตรงนี้น่าจะมีการแก้ไข คือมีมติ ครม.เพื่อเปิดให้ มีกิจกรรมทางการเมืองได้ ซึ่งก็ต้องออก พ.ร.บ.ไปแก้ไขประกาศ คปค.ดังกล่าว ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็รับที่จะไปยกร่างแก้ไขในเรื่องนี้ เพื่อนำกลับเข้า ครม.ในสัปดาห์หน้า
ส่วนประธาน คมช. มีการประเมินผลกระทบหากมีการยกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 15 หรือไม่ว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวในลักษณะใดบ้าง รมช.พัฒนาสังคมฯ กล่าวว่า พูดกันอยู่เหมือนกันแต่ว่า เราประเมินกันแล้วน่าจะเป็นผลดีมากกว่า คือแทนที่จะไปปิดกั้นกันไว้ ก็เปิดไป ส่วนพรรคหรือกลุ่มไหนจะเคลื่อนไหว หรือจะทำผิดกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบกันไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข้อถกเถียงแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์หลังการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆ หรือไม่ นพ.พลเดช กล่าวว่า ก็มีความเห็นในลักษณะที่ว่า ถ้าดำเนินการตามนั้นแล้วจะทำให้มีม็อบเป็นจำนวนแสนๆ คนหรือไม่ แต่เมื่อคุยกันรอบด้านแล้ว ก็เห็นว่าไม่น่าเป็นห่วงจนเกินไป เมื่อถามว่าประธานคมช. ได้เสนอมาตรการในการดูแลสถานการณ์ด้านความมั่นคงหรือไม่ รมช.พัฒนาสังคมกล่าวว่า ท่านไม่ได้หยิบยกมาตรการมาหารือขนาดนั้น แต่ดูท่านไม่ได้หนักใจ เพราะประเมินดูแล้วภาพรวมไม่น่าหนักใจ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร.เปิดเผยถึงการชุมนุมของ กลุ่มพีทีวี และเปลี่ยนชื่อเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการที่มีทีท่าจะชุมนุมยื้ดเยื้อ ว่าตอนนี้ตำรวจได้เข้าไปดูแลควบคุมจนเป็นหน้าที่ประจำอยู่แล้ว และขณะนี้การชุมนุมยังอยู่ในกรอบกฎหมาย แต่หากรักบ้านเมืองไม่อยากให้บ้านเมือง วุ่นวายก็อย่ามาชุมนุมกันมาก เนื่องจากตำรวจจะได้ทำงานด้านอื่นบ้าง ตอนนี้กำลังตำรวจและงบประมาณได้ใช้จ่ายจนเกือบหมดแล้ว จะไม่ให้ก็ไม่ได้เพราะเป็นการทำงาน
ผู้สื่อข่าวถามว่าตำรวจมีวิธีการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้ยืดเยื้อ เพื่อป้องกันการเสียกำลังพลและงบประมาณหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า จะให้ตนสั่งอะไรได้อย่างไรเพราะตนมีหน้าที่แค่นี้ ก็ทำได้เท่านี้ ตนไม่ใช่ผู้มีอำนาจ เมื่อตนคุมนโยบายค่อยมาถาม
ด้าน พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.น.เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมทราบว่าได้มีการปรับเปลี่ยนเวทีปราศรัยกลับมาที่เดิม คือทางด้านทิศเหนือของสนามหลวง ส่วนเครื่องเสียงจะหันไปทางด้านศาลอาญา ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการประเมินสถานการณ์และปรับกำลังให้มีความเหมาะสมต่อไป
“ดูจากเมื่อวานสถานการณ์ในเรื่องการชุมนุมก็เรียบร้อยดี ไม่มีความรุนแรงอะไร โดยมีประชาชนที่มาเข้าร่วมชุมนุมไม่เกิน 5 พันคน อย่างก็ไรก็ตาม อยากจะให้การชุมนุมอยู่ในลักษณะที่ไม่เร่งเร้ารุนแรง ถ้าตรงนี้เราก็จะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบได้”
ผู้สื่อข่าวถามว่า มาตรการคุมเข้มผู้เข้าร่วมชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจรัดกุม เพียงพอหรือไม่ พล.ต.ท.อดิศร กล่าวว่า ขอเรียนว่ามาตรการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ปฏิบัติมาอยู่ในขั้นที่เรียบร้อยคุมเข้มมาตลอด มีเครื่องตรวจอาวุธและวัตถุระเบิด ทางเจ้าหน้าที่ก็ประจำจุดทางเข้าออกตลอดเวลา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้ประชาชน
พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)กล่าวถึงเรื่องเดียวกันว่า ประชาชนจะต้องดูว่า เรามีอะไรที่จะต้องทำให้สร้างสรรค์ และสำคัญสำหรับเรา เพราะชาติไทยเรา ต้องการความสงบสุข และต้องการความนิ่งในเรื่องต่าง ๆ มากกว่า การเมืองทุกคนก็ต้องสนใจเรื่องการเมือง
“แต่ขอให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย อยู่ในกติกากฎหมาย ก็ขอร้องกันไว้อย่างนั้นเพราะไม่อย่างนั้นก็จะกลับไปสู่เหตุการณ์เดิม ๆ อย่างนั้นหรือประเทศชาติของเรา เราจะดูเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ หรือจะดูประโยชน์ของบุคคลเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติเราแย่”
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพีทีวี และอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่มีกระบวนการคล้ายคลึงกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า กลุ่มพีทีวี ก็เลียนแบบได้เฉพาะรูปแบบการเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่ไม่มีแนวทางการเรียกร้องที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาก็พอจะเห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ก็เพื่อขับไล่เผด็จการ ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับประเทศ และเร่งให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่เป็นการผ่าทางตันทางการเมืองตามที่สังคมต้องการ
“การชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มพีทีวี ถึงแม้จะเป็นสิทธิ์ที่ทำได้และทุกฝ่าย ต้องเคารพในการแสดงออกตามวิถีในระบอบประชาธิปไตย แต่ควรให้ความสำคัญกับการสะสางปัญหาที่ผ่านมาในสมัยรัฐบาลระบอบทักษิณ แต่พฤติกรรมของผู้ชุมนุม ดูเหมือนกับว่าพยายามทำให้ความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นโฆษะ เสมือนกับว่า ไม่เคยทำผิดหรือไม่ ส่วนอดีตส.ส.ไทยรักไทยที่เข้าไปร่วมเวทีปราศรัย นั้นก็ต้องอธิบายให้สังคมรับรู้ว่าเป็นการชุมนุมส่วนตัวหรือเพื่อส่วนรวม”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมอย่างยืดเยื้อของกลุ่มพีทีวี ในอนาคตจะสร้างปัญหาให้กับประเทศ จนก่อเป็นความรุนแรงที่บานปลาย หรือไม่ นายสุริยะใส กล่าวว่า มีปัญหาแน่นอน เพราะมีต้นขั้วมาจากความแตกแยกในสังคมที่รุนแรง มีการแยกขั้ว แบ่งฝ่าย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าบรรยากาศการเมืองที่เป็นเช่นดังกล่าวจะคงอยู่ไปจนถึงมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ในระยะหนึ่ง แต่ภายหลังจากที่มีรัฐบาลที่มีผู้นำ ที่มีธรรมรัฐ ธรรมาภิบาล มีรัฐธรรมนูญที่ก้าวหน้า มีรัฐบาลที่มีนโยบายที่มีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผล เชื่อว่าความขัดแย้งในประเทศก็จะคลี่คลาย