ผู้จัดการรายวัน - “เหวง” ท่อน้ำเลี้ยงยังทำงาน ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ-ป.ป.ช. และ คตส. ให้ตรวจสอบที่ดินเขายายเที่ยงของ “สุรยุทธ์” การจดทะเบียนสมรส “บิ๊กบัง” และการใช้งบกว่าพันล้านบาทของ คมช.ในการยึดอำนาจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.50 น. วานนี้ (3 เม.ย.) นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย นำสมาชิก5 ค น มายื่นจดหมายเปิดผนึก ถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผ่านเจ้าหน้าที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องการจดทะเบียนสมรสซ้อนของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) และตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินในการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 จำนวน 1,200 ล้านบาท และงบประมาณศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ คมช.อีกจำนวน 555 ล้านบาท
นอกจากนี้ นพ.เหวงและพวก ยังได้เตรียมจดหมายเปิดผนึกเพื่อยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และ นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) ให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณ 1,200 และ 555 ล้านบาทดังกล่าว โดยใช้อำนาจตามกฎหมายป.ป.ช. มาตรา 19 วรรค 2 (3) (10) ในการตรวจสอบ และยังเรียกร้องให้ตรวจสอบการถือครองที่ดินบนเขายายเที่ยงของพล.อ.สุรยุทธ์ ด้วย
น.พ.เหวง อ้างว่า การจดทะเบียนสมรสซ้อนซึ่งไม่ทราบว่าเป็นจริงหรือเท็จ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพไทย เนื่องจาก พล.อ.สนธิ อยู่ในฐานะเป็นผู้นำระดับสูงของกองทัพ ดังนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งหากพบว่า ไม่เป็นจริงจะได้เป็นการล้างมลทินให้กับ ผบ.ทบ.และสร้างภาพที่ดีให้แก่กองทัพ แต่หากเป็นจริงก็ต้องมีการลงโทษ โดยการจดทะเบียนสมรสซ้อนถือว่าเป็นคนละเรื่องกับหลักการของศาสนาอิสลาม
ส่วนงบฯ1,200 และ 555 ล้านบาท ภาพที่เกิดขึ้นในการรัฐประหาร ไม่มีการใช้อาวุธหรือกำลังในการต่อสู้ มีเพียงค่าเบี้ยเลี้ยงนายทหาร ที่ตนได้สอบถามพบว่าได้รับคนละ 50 บาทเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องการทราบว่า จำนวนเงินดังกล่าวนำไปใช้อย่างไรบ้าง เพราะหากพล.อ.สนธิ ปฏิเสธการตรวจสอบ โดยอ้างว่าเป็นผู้เสียสละทำการปฏิวัติ ก็จะเท่ากับว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยการทุจริตคอร์รัปชั่นเสียเอง
ส่วนกรณีที่ดินเขายายเที่ยงเห็นว่าการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่า มีการจ่ายภาษีบำรุงท้องที่เท่ากับว่าเป็นการทำผิดกฎหมายแล้ว เพราะการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวจะต้องเป็นประชาชนที่เป็นผู้บุกเบิกและอาศัยอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลานาน
“รัฐบาลชุดนี้และคณะรัฐประหารมีการเลือกปฏิบัติ คือถ้าต้องการจ้องเล่นงานคนอื่นในเข้ากระดูกดำก็จะทะลุทะลวงไปอย่างชนิดที่สุดขอบโลก แต่พอเรื่องอะไรที่ไปกระทบตัวเองก็ทำเป็นเงียบและเพิกเฉย ซึ่งมันเสียหาย ถ้าทำถูกต้องตามกฎหมายก็คืนความเป็นธรรม แต่ถ้าทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายท่านก็ต้องรับผิดชอบเพราะในประเทศนี้ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ แม้แต่ประธานคณะปฏิวัติก็อยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ เพราะว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 ก็ระบุไว้หลายข้อรวมถึงประกาศคปค. ก็มาจากท่านเอง เพราะฉะนั้นท่านจะเขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้าหรืออย่างไร ท่านต้องตรวจสอบตัวท่านเองให้โปร่งใสด้วย”
หลังจากนั้น นพ.เหวง พร้อมพวก ได้เดินทางไปยัง สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อยื่นจดหมาย เปิดผนึกถึงประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ การถือครองที่ดินบนเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และให้ตรวจสอบรายละเอียดการใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท ในการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 และงบประมาณการจัดศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อีกจำนวน 555 ล้านบาท ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช.
น.พ.เหวง กล่าวว่า ต้องการเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ชี้แจงผลการตรวจสอบที่ดิน เขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่อย่างไร เนื่องจากที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่ามีการจ่ายภาษีบำรุงท้องที่เท่ากับว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย แล้ว เพราะการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวจะต้องเป็นประชาชนที่เป็นผู้บุกเบิกและอาศัยอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลานาน
ต่อมา นพ.เหวง และพวกได้เดินทางไปยัง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ คตส. เพื่อให้ตรวจสอบการถือครองที่ดิน บริเวณเขายายเที่ยง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ของ พล.อ. สุรยุทธ์ และการใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท ในการปฏิรูปการปกครองของพล.อ. สนธิ และการใช้งบประมาณ กว่า 555 ล้านบาท ในการตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีคุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. และกรรมการ คตส.มารับหนังสือ
ทั้งนี้ คุณหญิงจารุวรรณ รับปากจะนำเข้าที่ประชุม คตส. พิจารณา แต่ก็ต้องขึ้น อยู่กับที่ประชุมด้วยว่าจะตัดสินใจอย่างไร เพราะเรื่องที่ตรวจสอบอยู่ก็มีจำนวนมาก ขณะเดียวกันระยะเวลาการทำงานของ คตส. ก็เหลือไม่มาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.50 น. วานนี้ (3 เม.ย.) นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย นำสมาชิก5 ค น มายื่นจดหมายเปิดผนึก ถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผ่านเจ้าหน้าที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องการจดทะเบียนสมรสซ้อนของพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) และตรวจสอบการใช้งบประมาณแผ่นดินในการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 จำนวน 1,200 ล้านบาท และงบประมาณศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ คมช.อีกจำนวน 555 ล้านบาท
นอกจากนี้ นพ.เหวงและพวก ยังได้เตรียมจดหมายเปิดผนึกเพื่อยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และ นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) ให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณ 1,200 และ 555 ล้านบาทดังกล่าว โดยใช้อำนาจตามกฎหมายป.ป.ช. มาตรา 19 วรรค 2 (3) (10) ในการตรวจสอบ และยังเรียกร้องให้ตรวจสอบการถือครองที่ดินบนเขายายเที่ยงของพล.อ.สุรยุทธ์ ด้วย
น.พ.เหวง อ้างว่า การจดทะเบียนสมรสซ้อนซึ่งไม่ทราบว่าเป็นจริงหรือเท็จ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพไทย เนื่องจาก พล.อ.สนธิ อยู่ในฐานะเป็นผู้นำระดับสูงของกองทัพ ดังนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งหากพบว่า ไม่เป็นจริงจะได้เป็นการล้างมลทินให้กับ ผบ.ทบ.และสร้างภาพที่ดีให้แก่กองทัพ แต่หากเป็นจริงก็ต้องมีการลงโทษ โดยการจดทะเบียนสมรสซ้อนถือว่าเป็นคนละเรื่องกับหลักการของศาสนาอิสลาม
ส่วนงบฯ1,200 และ 555 ล้านบาท ภาพที่เกิดขึ้นในการรัฐประหาร ไม่มีการใช้อาวุธหรือกำลังในการต่อสู้ มีเพียงค่าเบี้ยเลี้ยงนายทหาร ที่ตนได้สอบถามพบว่าได้รับคนละ 50 บาทเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องการทราบว่า จำนวนเงินดังกล่าวนำไปใช้อย่างไรบ้าง เพราะหากพล.อ.สนธิ ปฏิเสธการตรวจสอบ โดยอ้างว่าเป็นผู้เสียสละทำการปฏิวัติ ก็จะเท่ากับว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยการทุจริตคอร์รัปชั่นเสียเอง
ส่วนกรณีที่ดินเขายายเที่ยงเห็นว่าการที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่า มีการจ่ายภาษีบำรุงท้องที่เท่ากับว่าเป็นการทำผิดกฎหมายแล้ว เพราะการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวจะต้องเป็นประชาชนที่เป็นผู้บุกเบิกและอาศัยอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลานาน
“รัฐบาลชุดนี้และคณะรัฐประหารมีการเลือกปฏิบัติ คือถ้าต้องการจ้องเล่นงานคนอื่นในเข้ากระดูกดำก็จะทะลุทะลวงไปอย่างชนิดที่สุดขอบโลก แต่พอเรื่องอะไรที่ไปกระทบตัวเองก็ทำเป็นเงียบและเพิกเฉย ซึ่งมันเสียหาย ถ้าทำถูกต้องตามกฎหมายก็คืนความเป็นธรรม แต่ถ้าทำไม่ถูกต้องตามกฎหมายท่านก็ต้องรับผิดชอบเพราะในประเทศนี้ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายได้ แม้แต่ประธานคณะปฏิวัติก็อยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ เพราะว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2549 ก็ระบุไว้หลายข้อรวมถึงประกาศคปค. ก็มาจากท่านเอง เพราะฉะนั้นท่านจะเขียนด้วยมือแล้วลบด้วยเท้าหรืออย่างไร ท่านต้องตรวจสอบตัวท่านเองให้โปร่งใสด้วย”
หลังจากนั้น นพ.เหวง พร้อมพวก ได้เดินทางไปยัง สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อยื่นจดหมาย เปิดผนึกถึงประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบ การถือครองที่ดินบนเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และให้ตรวจสอบรายละเอียดการใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท ในการทำรัฐประหาร ยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 และงบประมาณการจัดศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) อีกจำนวน 555 ล้านบาท ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช.
น.พ.เหวง กล่าวว่า ต้องการเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ชี้แจงผลการตรวจสอบที่ดิน เขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่อย่างไร เนื่องจากที่ผ่านมา พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่ามีการจ่ายภาษีบำรุงท้องที่เท่ากับว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย แล้ว เพราะการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวจะต้องเป็นประชาชนที่เป็นผู้บุกเบิกและอาศัยอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลานาน
ต่อมา นพ.เหวง และพวกได้เดินทางไปยัง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ คตส. เพื่อให้ตรวจสอบการถือครองที่ดิน บริเวณเขายายเที่ยง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ของ พล.อ. สุรยุทธ์ และการใช้งบประมาณ 1,200 ล้านบาท ในการปฏิรูปการปกครองของพล.อ. สนธิ และการใช้งบประมาณ กว่า 555 ล้านบาท ในการตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีคุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. และกรรมการ คตส.มารับหนังสือ
ทั้งนี้ คุณหญิงจารุวรรณ รับปากจะนำเข้าที่ประชุม คตส. พิจารณา แต่ก็ต้องขึ้น อยู่กับที่ประชุมด้วยว่าจะตัดสินใจอย่างไร เพราะเรื่องที่ตรวจสอบอยู่ก็มีจำนวนมาก ขณะเดียวกันระยะเวลาการทำงานของ คตส. ก็เหลือไม่มาก