“สนธิ”เตือน ปลัด สปน.-อธิบดีกรมประชาฯ จะตกเป็นแพะ คดีไอทีวี ระบุมีประชาชนจ้องเล่นงาน ฐานละเว้นตาม ม.157 เพียบ ส่วนนายกฯ จะลอยตัวไปได้ จับตา มติครม.วันนี้ หากยังฝืนอุ้ม คนไอทีวี ได้เดินขึ้นศาลกันเหนื่อยแน่ พร้อมยกปัญหาความเดือดร้อนของอดีตพนักงาน ร.ส.พ. 1,700 ชีวิต หาเช้ากินค่ำ หลังองค์กรถูกยุบ ยื่นร้องเรียน 9 ครั้ง กลับถูกทอดทิ้งเหมือนสุนัขข้างถนน เปรียบเทียบกันคนไอทีวีที่มีพร้อมทุกอย่าง รัฐบาลกลับขมีขมัน ยอมทำผิดกฎหมายเพื่อเข้าไปอุ้ม
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ดำเนินรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ร่วมกับนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ออกอากาศทาง ASTV คืนวันที่ 12 มี.ค. ในช่วงต้นรายการ นายสนธิ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการจากไปอย่างกระทันหันของนายสุวิทย์ วัดหนู อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อกลางดึกของวันที่ 11 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยนายสนธิกล่าวว่า สังคมไทยได้สูญเสียคนที่ดีมากๆ ไปอีกคนหนึ่ง เพราะนายสุวิทย์ทำเพื่อคนจนมาตลอดชีวิต
นายสนธิ กล่าวต่อว่า นายสุวิทย์ นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนไหวขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่เริ่มต้นการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อวันที่ 4- 5 ก.พ. 49 เนื่องจากนายสุวิทย์มีความเข้าใจและมีปฏิภาณไหวพริบในเรื่องการจัดการมวลชนเป็นอย่างดี และเป็นคนที่ยึดหลักอหิงสา รักสันติ การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งจะต้องคำนึงความปลอดภัยของประชาชนที่มาร่วมชุมนุมเป็นเรื่องหลัก คอยประสานงานกับตำรวจเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราว
นอกจากนี้นายสุวิทย์ยังเป็นคนที่มีจุดยืนมั่นคง สมเป็นลูกน้ำเค็มที่มีเลือกนักสู้และตรงไปตรงมา แต่ก็เป็นคนที่มีเหตุมีผล เมื่อเกิดความขัดแย้งในระหว่างการเคลื่อนไหว นายสุวิทย์จะเป็นคนที่คอยเข้ามาประสาน คำพูดที่นายสุวิทย์ชอบพูดบนเวทีก็คือคำว่า “พี่น้องเอ้ย...” เมื่อจะให้ผู้ชุมนุมทำอะไร ก็จะใช้คำว่าขอหารือเป็นการให้เกียรติผู้ชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมจากท้องสนามหลวงไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่คนจำนวนหลายหมื่นเคลื่อนสามารถขบวนไปกลับโดยไม่เกิดความวุ่นวาย ก็เพราะการจัดการของนายสุวิทย์
“ผมเสียใจมากที่คนไม่สมควรตายกลับตาย คนที่สมควรตายกลับไม่ตาย คนอย่างคุณสุวิทย์มีประโยชน์กับสังคมไทยมากมายมหาศาล ผมถือว่า มากกว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้หลายๆ คนด้วยซ้ำ”
**เตือน “จุลยุทธ์-ปราโมช”ตกเป็นแพะ
ต่อมา นายสนธิ กล่าวถึงกรณีที่ตัวแทนกลุ่มประชาชนนำโดยนายการุณ ใสงาม สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชัน (คตป.) และนายทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เลขาธิการสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19จังหวัด ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายจุลยุทธ หิรัญวะสิต ปลัดสำนักนายกฯ และนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่กระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ เพื่อช่วยเหลือโอบอุ้มพนักงานไอทีวี ว่า เรื่องนี้ ตนเคยเตือนไว้ล่วงหน้าแล้ว และคนที่จะเป็นแพะก็คือ นายจุลยุทธ์ และนายปราโมช ส่วนพล.อ.สุรยุทธ์นั้นคงจะลอยตัวไปได้ เพราะถือว่าดูแลแค่ระดับนโยบาย
นายสนธิ กล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้ว การแก้ไขปัญหาไอทีวีไม่มีความสลับซับซ้อน หากจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ไม่มีการงุบงิบเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม โดยเริ่มจากเวลา 00.01 น.ของวันที่ 8 มี.ค. 2550 ที่ยึดสัมปทานคืนจากบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) แล้ว ตามคำสั่งศาลปกครองที่ให้มีการออกอากาศต่อเนื่องนั้น นายปราโมชสามารถทำต่อได้ โดยการนำรายการจากช่อง 11 ไปออกอากาศแทน หรือไม่ก็ถ่ายทอดรายการจากช่อง 11 ไปพร้อมๆ กัน หรือจะมาขอรายการจาก ASTV ไปออกก็ยังได้ เพื่อให้มีการออกอากาศอย่างต่อเนื่อง
ต่อมา ถ้าหากจะดำเนินการสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ต่อ จะต้องมีการตั้งองค์กรที่มีกฎหมายรองรับขึ้นมาเพื่อดำเนินการ โดย สปน.เสนอไปยังรัฐบาล เพื่อให้มีการแต่งขึ้นมาตามระเบียบ หลังจากนั้น ก็เปิดรับสมัครบุคลากรแบบเปิดกว้าง โดยกำหนดคุณสมบัติให้ชัดเจน ไม่มีการกีดกันคนอื่นเพื่อล็อกสเปกไว้ให้เฉพาะอดีตพนักงานของบริษัทไอทีวี และรับเงินเดือนตามข้อตกลงใหม่ โดยต้องกำหนดระยะเวลาการรับสมัครให้ชัดเจน เพื่อให้ทุกคนที่สนใจมีสิทธิที่จะมาสมัคร
“ขณะเดียวกัน ก็ตั้งคณะกรรมการอีกชุดขึ้นมาตรวจสอบทรัพย์สินหลังจากการยึดสัมปทานคืน ซึ่งคุณหญิงทิพาวดีบอกว่า มีสัญญากันอยู่ถึง 446 สัญญา ต้องมาตรวจสอบว่าทรัพย์สินตามแต่ละสัญญาอยู่ครบหรือไม่ สัญญาไหนที่ทำผิด เช่น บอกว่าจะสร้างตึก แต่กลับไปเช่า ก็ถือว่าทำผิดสัญญา เป็นเงื่อนไขที่เอาไปฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ สัญญาที่บอกว่าจะซื้อรถ แต่ไปเช่ามาในราคาแพงก็เอาไปฟ้องได้ ทุกสัญญาจะต้องตรวจสอบให้ครบ เมื่อครบแล้ว ก็เคลื่อนย้ายสิ่งของออกมา” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ปัญหาขณะนี้ยังเกิดขึ้นมาอีกว่า สัญญาที่เช่าตึกชินวัตร 3 นั้น บริษัทไอทีวียกเลิกสัญญาไปแล้ว สัญญาเช่าดาวเทียมก็ยกเลิกเช่นกัน เพราะฉะนั้น เจ้าของตึก เจ้าของดาวเทียมจะต้องไปเรียกเก็บค่าเช่าจาก สปน.แทนที่จะเก็บจากไอทีวีเดิม และที่สำคัญคือ การปล่อยให้มีโฆษณาออกมาตลอดตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่ 7 มี.ค. จนกระทั่งวันนี้ โดยที่ไม่มีกฎระเบียบอะไรมาเป็นบรรทัดฐานในการให้มีโฆษณา
“ถึงวันนี้ คนไอทีวีที่ทำงานอยู่ ถือเป็นเจ้าหน้าที่เถื่อน ที่จะต้องถูกดำเนินคดี แต่เมื่อหลังพิงฝา นายปราโมชก็บอกว่าคุณหญิงทิพาวดีจะนำเรื่องเข้า ครม. เพื่อเสนอเป็นโครงการพิเศษที่จะทำโทรทัศน์โดยรับเอาพนักงานไอทีวีมาทำ โดยจะขอยกเว้นการใช้ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ผมก็อยากถามว่า มันเป็นเรื่องวิกฤติ หรือจำเป็นของชาติหรือเปล่า มันเร่งด่วนหรือเปล่า ถ้าเปรียบเทียบกับตำรวจทหารที่อยู่ภาคใต้ที่เขาวิกฤติกว่า เพราะเรื่องที่จะขอยกเว้นการใช้ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างนั้น มันต้องเป็นเรื่องที่พิเศษจริงๆ เพราะฉะนั้น การให้ ครม.ออกมติมา ยกเว้นระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง ก็เพื่อให้พวกคุณหนีความผิดมากกว่า นี่จึงเป็นสาเหตุที่ประชาชนมาฟ้องคุณ”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า หาก ครม.มีมติให้ยกเว้นได้ จะมีคนนำเรื่องนี้ไปฟ้องต่อศาลปกครองต่อแน่นอน เพราะมติครม.ไม่สามารถที่จะอยู่เหนือกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างได้ เพราะต้องมีการพิสูจน์ว่าการรับพนักงานไอทีวีเข้าทำงานทันที เป็นเรื่องเร่งด่วนหรือเปล่า ซึ่งในข้อเท็จจริงก็พิสูจน์แล้วมีทางอื่นที่จะทำโดยไม่ให้จอดำได้
“ผมอยากเตือนไว้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าครม.ยอมให้ยกเว้นได้ ครม.ก็จะผิดกฎหมายป้องกันการฮั้วอีกฉบับหนึ่ง มีความผิดถึงขั้นติดคุก และถ้าทำอย่างนี้ จะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลชุดนี้ใช้มติครม.ในการทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกับรัฐบาลทักษิณ ซึ่งถ้าผมหลับตา ไม่มองว่าใครเป็นนายกฯ เรื่องนี้ ผมนึกว่าเป็นผลงานของรัฐบาลทักษิณด้วยซ้ำ”นายสนธิกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า การปล่อยให้ไอทีวีออกอากาศต่อเนื่องในชื่อใหม่ว่าทีไอทีวี ถือว่าเป็นการกระทำผิดสำเร็จแล้ว ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่ 7 มี.ค. มาจนถึงวันนี้ และมติครม.จะมีปัญหาย้อนหลัง เรื่องการเก็บเงินค่าโฆษณายังไม่มีใครตอบได้ แม้ล่าสุดคุณหญิงทิพาวดีบอกว่า จะไม่ใช้งบฯของรัฐบาลเดือนละ 90 ล้านบาท ไปบริหารตามแผนที่เคยวางไว้ก่อนหน้านี้ แต่จะขอเอาเงินค่าโฆษณาจากผู้จัดรายการมาใช้ก่อน ซึ่งก็จะเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะยังไม่มีการทำสัญญากัน จะนำเงินค่าโฆษณามาใช้ได้อย่างไร
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อยากเตือนสติปลัดสำนักนายกฯ และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่ขยันพูดอยู่ทุกวันนี้ แต่ในวันหน้าเมื่อถึงวันที่ต้องขึ้นศาล เพื่อคดีทำผิดมตรา 157 แล้ว จะตกใจ เพราะมีประชาชนเตรียมจะนำเรื่องนี้มาฟ้องร้องอีกจำนวนมาก เนื่องจากอดีตพนักงานไอทีวีที่มาจัดรายการอยู่ทุกวันนี้ 1.เป็นพนักงานเถื่อนเพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับในการเข้าไปทำงาน 2.ขโมยสมบัติชาติคือคลื่นโทรทัศน์ไปใช้ 3.ฉ้อฉลชาติ นำโฆษณามาออกเพื่อหาเงิน โดยที่ยังไม่มีกฎระเบียบรองรับ เพราะฉะนั้น หากครม.มีมติออกมาเพื่อยกเว้นกฎหมายให้คน 1,070 คน ก็ขอเตือนว่าหลังสิ้นสุดรัฐบาลไปแล้ว ก็จะต้องเดินขึ้นศาลอีกนาน และอยากให้ดูอดีต กกต. “3 หนา” เป็นตัวอย่าง
** 1,700 คน ร.ส.พ.ถูกรัฐฯ เมิน
ในช่วงที่ 2 ของรายการ นายสนธิได้กล่าวถึงปัญหาความเดือดร้อนของอดีตพนักงานองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ หรือ ร.ส.พ. ขึ้นมาเปรียบเทียบกับ กรณีไอทีวีว่า ร.ส.พ.ถูกสั่งยุบในยุครัฐบาลทักษิณ แต่จนขณะนี้ พนักงานกว่า 1,700 คน ยังไม่ได้รับเงินชดเชย สวัสดิการ หรือเงินบำนาญตามสิทธิที่ควรได้ในฐานะอดีตพนักงานรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด ทั้งที่ ได้เข้ายื่นขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง นับตั้งแต่หลังการรัฐประหาร
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อดีตพนักงาน ร.ส.พ.เหล่านี้มีความชอบธรรมในการที่จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลมากกว่าอดีตพนักงานไอทีวี แต่หลังจากได้ไปยื่นขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ แล้ว 9 ครั้ง รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลแม้แต่น้อย จนต้องไปร้องเรียนแม้กระทั่งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง สุดท้ายต้องมาร้องเรียนที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเตรียมที่จะเข้าพบนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวันอังคารที่ 13 มี.ค.นี้
นายสนธิ กล่าวว่า กลุ่มพนักงาน ร.ส.พ.ที่มาร้องเรียนนั้น สถานภาพต่างกันลิบลับกับอดีตพนักงานไอทีวี คน ร.ส.พ.ทั้ง 1,700 คน ไม่มีรถเก๋งขับ ไม่ได้จบปริญญาตรี ไม่ได้ออกหน้าจอโทรทัศน์ทุกวัน ไม่มีเงินเดือนๆ ละแสน แต่ละคนอยู่ในสภาพหาเช้ากินค่ำ หน้าดำคร่ำเครียด เมื่อไปร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ จึงไม่มีใครสนใจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ แทนที่จะนำเรื่องเสนอนายกฯ ก็ไม่ทำ
“รัฐบาลไม่ได้สนใจ ทิ้งพวกเขาเหมือนสุนัขข้างถนน ทั้งที่พวกเขาเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตรงกันข้ามกับคนไอทีวี ที่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน มีเงินเดือนสูงๆ บางคนได้เงินชดเชยเป็นล้าน แต่รัฐบาลก็ขมีขมันเข้าไปอุ้ม พร้อมที่จะทำผิดกฎหมาย โดยไม่สนใจขื่อแปของบ้านเมือง ไหนบอกว่าพวกคุณจะเข้ามาเพื่อแก้ไขเรื่องที่ผิดให้มันถูก แต่นี่กลับเข้ามาทำผิดเสียเอง เรื่องนี้ ผมรับไม่ได้ มันเป็นความอยุติธรรมที่เกิดกับคนด้อยโอกาส คนยากคนจน มันไม่ใช่แค่ทำให้ผมผิดหวัง แต่ทำให้ผมช้ำใจมาก ถ้าผมร้องไห้ น้ำตาคงไหลออกมาเป็นสายเลือดไปแล้ว” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวย้อนถึงเบื้องหลังการยุบ ร.ส.พ.ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ในขณะนั้นมีการตั้งบริษัทพัสดุภัณฑ์ไทย จำกัด โดยมี“เจ๊ทางภาคเหนือ” เป็นเจ้าของ จึงมีการยุบ ร.ส.พ.ที่มีอายุร่วม 100 ปี เพื่อให้บริษัทของเอกชนดังกล่าวเข้าไปรับงานขนส่งสินค้าแทน
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ดำเนินรายการ “ยามเฝ้าแผ่นดิน” ร่วมกับนางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ออกอากาศทาง ASTV คืนวันที่ 12 มี.ค. ในช่วงต้นรายการ นายสนธิ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการจากไปอย่างกระทันหันของนายสุวิทย์ วัดหนู อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเมื่อกลางดึกของวันที่ 11 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยนายสนธิกล่าวว่า สังคมไทยได้สูญเสียคนที่ดีมากๆ ไปอีกคนหนึ่ง เพราะนายสุวิทย์ทำเพื่อคนจนมาตลอดชีวิต
นายสนธิ กล่าวต่อว่า นายสุวิทย์ นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเคลื่อนไหวขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่เริ่มต้นการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าเมื่อวันที่ 4- 5 ก.พ. 49 เนื่องจากนายสุวิทย์มีความเข้าใจและมีปฏิภาณไหวพริบในเรื่องการจัดการมวลชนเป็นอย่างดี และเป็นคนที่ยึดหลักอหิงสา รักสันติ การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งจะต้องคำนึงความปลอดภัยของประชาชนที่มาร่วมชุมนุมเป็นเรื่องหลัก คอยประสานงานกับตำรวจเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องราว
นอกจากนี้นายสุวิทย์ยังเป็นคนที่มีจุดยืนมั่นคง สมเป็นลูกน้ำเค็มที่มีเลือกนักสู้และตรงไปตรงมา แต่ก็เป็นคนที่มีเหตุมีผล เมื่อเกิดความขัดแย้งในระหว่างการเคลื่อนไหว นายสุวิทย์จะเป็นคนที่คอยเข้ามาประสาน คำพูดที่นายสุวิทย์ชอบพูดบนเวทีก็คือคำว่า “พี่น้องเอ้ย...” เมื่อจะให้ผู้ชุมนุมทำอะไร ก็จะใช้คำว่าขอหารือเป็นการให้เกียรติผู้ชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมจากท้องสนามหลวงไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่คนจำนวนหลายหมื่นเคลื่อนสามารถขบวนไปกลับโดยไม่เกิดความวุ่นวาย ก็เพราะการจัดการของนายสุวิทย์
“ผมเสียใจมากที่คนไม่สมควรตายกลับตาย คนที่สมควรตายกลับไม่ตาย คนอย่างคุณสุวิทย์มีประโยชน์กับสังคมไทยมากมายมหาศาล ผมถือว่า มากกว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ในขณะนี้หลายๆ คนด้วยซ้ำ”
**เตือน “จุลยุทธ์-ปราโมช”ตกเป็นแพะ
ต่อมา นายสนธิ กล่าวถึงกรณีที่ตัวแทนกลุ่มประชาชนนำโดยนายการุณ ใสงาม สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชัน (คตป.) และนายทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี เลขาธิการสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19จังหวัด ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายจุลยุทธ หิรัญวะสิต ปลัดสำนักนายกฯ และนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่กระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ เพื่อช่วยเหลือโอบอุ้มพนักงานไอทีวี ว่า เรื่องนี้ ตนเคยเตือนไว้ล่วงหน้าแล้ว และคนที่จะเป็นแพะก็คือ นายจุลยุทธ์ และนายปราโมช ส่วนพล.อ.สุรยุทธ์นั้นคงจะลอยตัวไปได้ เพราะถือว่าดูแลแค่ระดับนโยบาย
นายสนธิ กล่าวว่า ในความเป็นจริงแล้ว การแก้ไขปัญหาไอทีวีไม่มีความสลับซับซ้อน หากจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ไม่มีการงุบงิบเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม โดยเริ่มจากเวลา 00.01 น.ของวันที่ 8 มี.ค. 2550 ที่ยึดสัมปทานคืนจากบริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) แล้ว ตามคำสั่งศาลปกครองที่ให้มีการออกอากาศต่อเนื่องนั้น นายปราโมชสามารถทำต่อได้ โดยการนำรายการจากช่อง 11 ไปออกอากาศแทน หรือไม่ก็ถ่ายทอดรายการจากช่อง 11 ไปพร้อมๆ กัน หรือจะมาขอรายการจาก ASTV ไปออกก็ยังได้ เพื่อให้มีการออกอากาศอย่างต่อเนื่อง
ต่อมา ถ้าหากจะดำเนินการสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ต่อ จะต้องมีการตั้งองค์กรที่มีกฎหมายรองรับขึ้นมาเพื่อดำเนินการ โดย สปน.เสนอไปยังรัฐบาล เพื่อให้มีการแต่งขึ้นมาตามระเบียบ หลังจากนั้น ก็เปิดรับสมัครบุคลากรแบบเปิดกว้าง โดยกำหนดคุณสมบัติให้ชัดเจน ไม่มีการกีดกันคนอื่นเพื่อล็อกสเปกไว้ให้เฉพาะอดีตพนักงานของบริษัทไอทีวี และรับเงินเดือนตามข้อตกลงใหม่ โดยต้องกำหนดระยะเวลาการรับสมัครให้ชัดเจน เพื่อให้ทุกคนที่สนใจมีสิทธิที่จะมาสมัคร
“ขณะเดียวกัน ก็ตั้งคณะกรรมการอีกชุดขึ้นมาตรวจสอบทรัพย์สินหลังจากการยึดสัมปทานคืน ซึ่งคุณหญิงทิพาวดีบอกว่า มีสัญญากันอยู่ถึง 446 สัญญา ต้องมาตรวจสอบว่าทรัพย์สินตามแต่ละสัญญาอยู่ครบหรือไม่ สัญญาไหนที่ทำผิด เช่น บอกว่าจะสร้างตึก แต่กลับไปเช่า ก็ถือว่าทำผิดสัญญา เป็นเงื่อนไขที่เอาไปฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ สัญญาที่บอกว่าจะซื้อรถ แต่ไปเช่ามาในราคาแพงก็เอาไปฟ้องได้ ทุกสัญญาจะต้องตรวจสอบให้ครบ เมื่อครบแล้ว ก็เคลื่อนย้ายสิ่งของออกมา” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ปัญหาขณะนี้ยังเกิดขึ้นมาอีกว่า สัญญาที่เช่าตึกชินวัตร 3 นั้น บริษัทไอทีวียกเลิกสัญญาไปแล้ว สัญญาเช่าดาวเทียมก็ยกเลิกเช่นกัน เพราะฉะนั้น เจ้าของตึก เจ้าของดาวเทียมจะต้องไปเรียกเก็บค่าเช่าจาก สปน.แทนที่จะเก็บจากไอทีวีเดิม และที่สำคัญคือ การปล่อยให้มีโฆษณาออกมาตลอดตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่ 7 มี.ค. จนกระทั่งวันนี้ โดยที่ไม่มีกฎระเบียบอะไรมาเป็นบรรทัดฐานในการให้มีโฆษณา
“ถึงวันนี้ คนไอทีวีที่ทำงานอยู่ ถือเป็นเจ้าหน้าที่เถื่อน ที่จะต้องถูกดำเนินคดี แต่เมื่อหลังพิงฝา นายปราโมชก็บอกว่าคุณหญิงทิพาวดีจะนำเรื่องเข้า ครม. เพื่อเสนอเป็นโครงการพิเศษที่จะทำโทรทัศน์โดยรับเอาพนักงานไอทีวีมาทำ โดยจะขอยกเว้นการใช้ระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ผมก็อยากถามว่า มันเป็นเรื่องวิกฤติ หรือจำเป็นของชาติหรือเปล่า มันเร่งด่วนหรือเปล่า ถ้าเปรียบเทียบกับตำรวจทหารที่อยู่ภาคใต้ที่เขาวิกฤติกว่า เพราะเรื่องที่จะขอยกเว้นการใช้ระเบียบจัดซื้อจัดจ้างนั้น มันต้องเป็นเรื่องที่พิเศษจริงๆ เพราะฉะนั้น การให้ ครม.ออกมติมา ยกเว้นระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง ก็เพื่อให้พวกคุณหนีความผิดมากกว่า นี่จึงเป็นสาเหตุที่ประชาชนมาฟ้องคุณ”
นายสนธิ กล่าวต่อว่า หาก ครม.มีมติให้ยกเว้นได้ จะมีคนนำเรื่องนี้ไปฟ้องต่อศาลปกครองต่อแน่นอน เพราะมติครม.ไม่สามารถที่จะอยู่เหนือกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างได้ เพราะต้องมีการพิสูจน์ว่าการรับพนักงานไอทีวีเข้าทำงานทันที เป็นเรื่องเร่งด่วนหรือเปล่า ซึ่งในข้อเท็จจริงก็พิสูจน์แล้วมีทางอื่นที่จะทำโดยไม่ให้จอดำได้
“ผมอยากเตือนไว้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าครม.ยอมให้ยกเว้นได้ ครม.ก็จะผิดกฎหมายป้องกันการฮั้วอีกฉบับหนึ่ง มีความผิดถึงขั้นติดคุก และถ้าทำอย่างนี้ จะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลชุดนี้ใช้มติครม.ในการทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกับรัฐบาลทักษิณ ซึ่งถ้าผมหลับตา ไม่มองว่าใครเป็นนายกฯ เรื่องนี้ ผมนึกว่าเป็นผลงานของรัฐบาลทักษิณด้วยซ้ำ”นายสนธิกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายสนธิ กล่าวว่า การปล่อยให้ไอทีวีออกอากาศต่อเนื่องในชื่อใหม่ว่าทีไอทีวี ถือว่าเป็นการกระทำผิดสำเร็จแล้ว ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนวันที่ 7 มี.ค. มาจนถึงวันนี้ และมติครม.จะมีปัญหาย้อนหลัง เรื่องการเก็บเงินค่าโฆษณายังไม่มีใครตอบได้ แม้ล่าสุดคุณหญิงทิพาวดีบอกว่า จะไม่ใช้งบฯของรัฐบาลเดือนละ 90 ล้านบาท ไปบริหารตามแผนที่เคยวางไว้ก่อนหน้านี้ แต่จะขอเอาเงินค่าโฆษณาจากผู้จัดรายการมาใช้ก่อน ซึ่งก็จะเป็นปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะยังไม่มีการทำสัญญากัน จะนำเงินค่าโฆษณามาใช้ได้อย่างไร
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อยากเตือนสติปลัดสำนักนายกฯ และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่ขยันพูดอยู่ทุกวันนี้ แต่ในวันหน้าเมื่อถึงวันที่ต้องขึ้นศาล เพื่อคดีทำผิดมตรา 157 แล้ว จะตกใจ เพราะมีประชาชนเตรียมจะนำเรื่องนี้มาฟ้องร้องอีกจำนวนมาก เนื่องจากอดีตพนักงานไอทีวีที่มาจัดรายการอยู่ทุกวันนี้ 1.เป็นพนักงานเถื่อนเพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับในการเข้าไปทำงาน 2.ขโมยสมบัติชาติคือคลื่นโทรทัศน์ไปใช้ 3.ฉ้อฉลชาติ นำโฆษณามาออกเพื่อหาเงิน โดยที่ยังไม่มีกฎระเบียบรองรับ เพราะฉะนั้น หากครม.มีมติออกมาเพื่อยกเว้นกฎหมายให้คน 1,070 คน ก็ขอเตือนว่าหลังสิ้นสุดรัฐบาลไปแล้ว ก็จะต้องเดินขึ้นศาลอีกนาน และอยากให้ดูอดีต กกต. “3 หนา” เป็นตัวอย่าง
** 1,700 คน ร.ส.พ.ถูกรัฐฯ เมิน
ในช่วงที่ 2 ของรายการ นายสนธิได้กล่าวถึงปัญหาความเดือดร้อนของอดีตพนักงานองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ หรือ ร.ส.พ. ขึ้นมาเปรียบเทียบกับ กรณีไอทีวีว่า ร.ส.พ.ถูกสั่งยุบในยุครัฐบาลทักษิณ แต่จนขณะนี้ พนักงานกว่า 1,700 คน ยังไม่ได้รับเงินชดเชย สวัสดิการ หรือเงินบำนาญตามสิทธิที่ควรได้ในฐานะอดีตพนักงานรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด ทั้งที่ ได้เข้ายื่นขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง นับตั้งแต่หลังการรัฐประหาร
นายสนธิ กล่าวต่อว่า อดีตพนักงาน ร.ส.พ.เหล่านี้มีความชอบธรรมในการที่จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลมากกว่าอดีตพนักงานไอทีวี แต่หลังจากได้ไปยื่นขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ แล้ว 9 ครั้ง รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากรัฐบาลแม้แต่น้อย จนต้องไปร้องเรียนแม้กระทั่งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง สุดท้ายต้องมาร้องเรียนที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเตรียมที่จะเข้าพบนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวันอังคารที่ 13 มี.ค.นี้
นายสนธิ กล่าวว่า กลุ่มพนักงาน ร.ส.พ.ที่มาร้องเรียนนั้น สถานภาพต่างกันลิบลับกับอดีตพนักงานไอทีวี คน ร.ส.พ.ทั้ง 1,700 คน ไม่มีรถเก๋งขับ ไม่ได้จบปริญญาตรี ไม่ได้ออกหน้าจอโทรทัศน์ทุกวัน ไม่มีเงินเดือนๆ ละแสน แต่ละคนอยู่ในสภาพหาเช้ากินค่ำ หน้าดำคร่ำเครียด เมื่อไปร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ จึงไม่มีใครสนใจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ แทนที่จะนำเรื่องเสนอนายกฯ ก็ไม่ทำ
“รัฐบาลไม่ได้สนใจ ทิ้งพวกเขาเหมือนสุนัขข้างถนน ทั้งที่พวกเขาเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ตรงกันข้ามกับคนไอทีวี ที่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน มีเงินเดือนสูงๆ บางคนได้เงินชดเชยเป็นล้าน แต่รัฐบาลก็ขมีขมันเข้าไปอุ้ม พร้อมที่จะทำผิดกฎหมาย โดยไม่สนใจขื่อแปของบ้านเมือง ไหนบอกว่าพวกคุณจะเข้ามาเพื่อแก้ไขเรื่องที่ผิดให้มันถูก แต่นี่กลับเข้ามาทำผิดเสียเอง เรื่องนี้ ผมรับไม่ได้ มันเป็นความอยุติธรรมที่เกิดกับคนด้อยโอกาส คนยากคนจน มันไม่ใช่แค่ทำให้ผมผิดหวัง แต่ทำให้ผมช้ำใจมาก ถ้าผมร้องไห้ น้ำตาคงไหลออกมาเป็นสายเลือดไปแล้ว” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวย้อนถึงเบื้องหลังการยุบ ร.ส.พ.ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ในขณะนั้นมีการตั้งบริษัทพัสดุภัณฑ์ไทย จำกัด โดยมี“เจ๊ทางภาคเหนือ” เป็นเจ้าของ จึงมีการยุบ ร.ส.พ.ที่มีอายุร่วม 100 ปี เพื่อให้บริษัทของเอกชนดังกล่าวเข้าไปรับงานขนส่งสินค้าแทน