ผู้จัดการรายวัน - แอลพีเอ็น เพลทมิลตั้งเป้ายอดขายเหล็กแผ่นรีดร้อนในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนตัน รวมทั้งเร่งพัฒนาผลิตเหล็กคุณภาพสูงรองรับอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและต่อเรือ เพื่อทดแทนการนำเข้าและหนีคู่แข่งอย่างจีน ชี้หากบาทแข็งค่ากว่านี้จะลดการส่งออกแล้วหันมาทำตลาดในไทย
นายสรรค์พงศ์ ปรีดาวิภาต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท แอลพีเอ็น เพลทมิล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว 2.5 แสนตันเป็น 3 แสนตัน/ปี เพื่อรองรับความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุดได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเต็มกำลังผลิตไปจนถึงเดือนพ.ค.นี้
"ขณะนี้โรงงานเดินเครื่องจักรผลิต 80-90% ของกำลังการผลิต 4 แสนตัน หากความต้องการใช้เหล็กแผ่นฯ ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ก็สามารถเดินเครื่องจักรเพิ่มได้เต็มที่ 4 แสนตัน รวมทั้งลดการส่งออกลง ส่วนแผนการขยายกำลังการผลิตนั้น ทางบอร์ดบริษัทฯอยู่ระหว่างการหารือ"
นอกจากนี้ บริษัทได้หันมาวิจัยและพัฒนาเหล็กแผ่นรีดร้อนคุณภาพสูงเพื่อป้อนอุตสาหกรรมปิโตรเลียม โรงไฟฟ้าและอู่ต่อเรือ ซึ่งสินค้าดังกล่าวจะมีราคาและมาร์จินดีกว่าราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดธรรมดา รวมทั้งหนีคู่แข่งอย่างจีน โดยล่าสุดบริษัทฯได้ลงนามสัญญาขายเหล็กแผ่นฯ คุณภาพพิเศษให้กับบมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยองแล้ว และในเดือนเม.ย.นี้จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2-3 เกรดป้อนอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ
ปัจจุบันราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบจากปลายปี 2549 สืบเนื่องจากราคาวัตถุดิบ คือแสลปได้ขยับราคาขึ้นมาอยู่ที่ตันละ 450 เหรียญสหรัฐ โดยราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศอยู่ที่กิโลกรัมละ 22-23 บาท ซึ่งราคาขายในประเทศและส่งออกใกล้เคียงกัน เพียงแต่ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นทำให้มาร์จินการส่งออกลดลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปีนี้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนจะสูงกว่าปีที่แล้ว และหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่านี้ บริษัทฯคงต้องปรับแผนการตลาดใหม่โดยลดการส่งออกลงแล้วหันมาทำตลาดภายในประเทศมากขึ้น
ด้านสัดส่วนการส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนไปต่างประเทศจะอยู่ที่ 55% ที่เหลือเป็นการจำหน่ายในประเทศ โดยตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐฯ สิงคโปร์ และออสเตรเลีย เป็นต้น ในปีที่ผ่านมา บริษัทหันมาทำตลาดส่งออก เนื่องจากปัจจัยลบด้านการเมืองภายในประเทศ แต่ขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
ส่วนกรณีจะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้า 5 สายนั้น จะช่วยสนับสนุนให้มีการใช้เหล็กในประเทศสูงขึ้น ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดีที่รัฐจะมีการลงทุนใช้จ่ายเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตานักลงทุนต่างชาติ
สำหรับแผนนำบริษัทฯเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ ยังไม่ได้มีการพิจารณาในเรื่องนี้ คงต้องรอการตัดสินใจอีกครั้ง เนื่องจากช่วงนี้ตลาดหุ้นชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ตลาดหุ้นดีขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะระดมทุนในปีนี้ หลังจากที่เลื่อนแผนการนำบริษัทฯเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อปี 2549
นายสรรค์พงศ์ ปรีดาวิภาต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท แอลพีเอ็น เพลทมิล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว 2.5 แสนตันเป็น 3 แสนตัน/ปี เพื่อรองรับความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุดได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเต็มกำลังผลิตไปจนถึงเดือนพ.ค.นี้
"ขณะนี้โรงงานเดินเครื่องจักรผลิต 80-90% ของกำลังการผลิต 4 แสนตัน หากความต้องการใช้เหล็กแผ่นฯ ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น ก็สามารถเดินเครื่องจักรเพิ่มได้เต็มที่ 4 แสนตัน รวมทั้งลดการส่งออกลง ส่วนแผนการขยายกำลังการผลิตนั้น ทางบอร์ดบริษัทฯอยู่ระหว่างการหารือ"
นอกจากนี้ บริษัทได้หันมาวิจัยและพัฒนาเหล็กแผ่นรีดร้อนคุณภาพสูงเพื่อป้อนอุตสาหกรรมปิโตรเลียม โรงไฟฟ้าและอู่ต่อเรือ ซึ่งสินค้าดังกล่าวจะมีราคาและมาร์จินดีกว่าราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดธรรมดา รวมทั้งหนีคู่แข่งอย่างจีน โดยล่าสุดบริษัทฯได้ลงนามสัญญาขายเหล็กแผ่นฯ คุณภาพพิเศษให้กับบมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยองแล้ว และในเดือนเม.ย.นี้จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2-3 เกรดป้อนอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ เพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ
ปัจจุบันราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบจากปลายปี 2549 สืบเนื่องจากราคาวัตถุดิบ คือแสลปได้ขยับราคาขึ้นมาอยู่ที่ตันละ 450 เหรียญสหรัฐ โดยราคาขายเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศอยู่ที่กิโลกรัมละ 22-23 บาท ซึ่งราคาขายในประเทศและส่งออกใกล้เคียงกัน เพียงแต่ช่วงนี้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นทำให้มาร์จินการส่งออกลดลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปีนี้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนจะสูงกว่าปีที่แล้ว และหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากกว่านี้ บริษัทฯคงต้องปรับแผนการตลาดใหม่โดยลดการส่งออกลงแล้วหันมาทำตลาดภายในประเทศมากขึ้น
ด้านสัดส่วนการส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนไปต่างประเทศจะอยู่ที่ 55% ที่เหลือเป็นการจำหน่ายในประเทศ โดยตลาดส่งออกหลัก คือ สหรัฐฯ สิงคโปร์ และออสเตรเลีย เป็นต้น ในปีที่ผ่านมา บริษัทหันมาทำตลาดส่งออก เนื่องจากปัจจัยลบด้านการเมืองภายในประเทศ แต่ขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
ส่วนกรณีจะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้า 5 สายนั้น จะช่วยสนับสนุนให้มีการใช้เหล็กในประเทศสูงขึ้น ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดีที่รัฐจะมีการลงทุนใช้จ่ายเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตานักลงทุนต่างชาติ
สำหรับแผนนำบริษัทฯเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ ยังไม่ได้มีการพิจารณาในเรื่องนี้ คงต้องรอการตัดสินใจอีกครั้ง เนื่องจากช่วงนี้ตลาดหุ้นชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ตลาดหุ้นดีขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ที่จะระดมทุนในปีนี้ หลังจากที่เลื่อนแผนการนำบริษัทฯเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อปี 2549