xs
xsm
sm
md
lg

ตี‘สนธิ’ไม่กระทบภาพลักษณ์ คมช.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ชลิต พุกผาสุข” รองประธาน คมช.ไม่ห่วงการนำเรื่องส่วนตัวมาโจมตี ประธาน คมช. เชื่อไม่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์และการทำงาน เพราะ คมช.ทำงานเป็นคณะ ด้าน ทรท.ยันไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว “สุรยุทธ์-สนธิ” ขณะที่ 2 หมอคู่หู “เหวง-สันต์” โผล่แจม จี้นายกฯลาออก ฐานรุกที่ป่าสงวนฯ

พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. และรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าว วานนี้ (29 ธ.ค.) ถึงกรณีที่มีความพยายามที่จะลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และ คมช. โดยเฉพาะการนำเรื่องส่วนตัวของ พล.อ.สนธิ บญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธาน คมช.ออกมาโจมตีว่า บางเรื่องที่ถูกนำมาโจมตี เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะ คมช. คือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

“เรื่องส่วนตัวก็คือเรื่องส่วนตัว จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ หรือการทำงานของ คมช. เรื่องผลงานเป็นคนละเรื่องกัน คณะปฏิรูปฯ และ คมช. มีเป้าหมายในการทำงาน ทั้งนี้ เรื่องต่างๆ ที่พยายามจัดทำกันออกมา ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่คณะ และดูแล้วก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องเลย ผมไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ผมในฐานะที่เป็นเพื่อนเตรียมทหารรุ่น 6 คิดว่าท่านเป็นคนที่อุทิศตนให้กับประเทศชาติมากที่สุดในบรรดาผู้ที่เคยรู้จักกันมา” พล.อ.อ.ชลิต กล่าว

ด้าน วีระ มุสิกพงศ์ รักษาการกรรมการบริหารพรรค กล่าวถึงการนำเรื่องส่วนตัวของ พล.อ.สุรยุทธ์ และพล.อ.สนธิ มาเปิดเผยต่อสาธารณะในเวลาไล่เลี่ยกันว่า พรรคมองเหตุการที่เกิดขึ้น เหมือนกับสายตาคนไทยทั่วไป อะไรจริงไม่จริง ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ พรรคไทยรักไทยจะไม่เข้าไปตรวจสอบเพราะประเด็นดังกล่วถูกเปิดเผยโดยคนอื่น ที่ไม่ใช่พรรค และพรรคจะไม่หยิบยกเรื่องส่วนตัวมาเป็นหมัดน็อครัฐบาลและ คมช. เราขอดูอยู่ห่างๆ เพราะสิ่งที่พรรคยึดมั่นจริงนั้น คือ การคืนประชาธิปไตยภายสนหนึ่งปีว่าเป็นจริงหรือไม่

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แกนนำกลุ่มวังน้ำยม กล่าวถึงเรื่องการถือครอง ที่ดินและปลูกสร้างบ้านพักบนเขายายเที่ยง อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่าการพิจารณาเรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นบรรทัดฐานสำหรับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าหรือการถือครองเอกสารสิทธิในที่ดินที่แจกให้กับเกษตรกร ซึ่งในรายละเอียดไม่ขอออกความเห็น ขอให้ทุกฝ่ายเอาข้อมูลมาตรวจสอบ กัน เชื่อว่าใน 1 สัปดาห์ คงจะได้ข้อสรุปและอยากให้แก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจัง

วันเดียวกัน นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตยและ นพ.เหวง โตจิราการ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย เดินทางมายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ผ่าน ร.อ.ทวิช ศุภวรรณ หัวหน้าฝ่ายประสานมวลชน ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล โดยเรียกร้องขอให้พล.อ. สุรยุทธ์ พิจารณาตนเองลาออก เนื่องจากมีการกระทำเข้าข่ายทำผิด พ.บ..ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507

จดหมายเปิดผนึกระบุว่า แม้พล.อ.สุรยุทธ์ จะอ้างการครอบครองที่ดิน บนเขายายเที่ยงว่าได้มาโดยการซื้อจากนายเบ้า สินนอก และมีการชำระภาษีบำรุงท้องที่อย่างถูกต้อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 พร้อมกับอ้างการรับรองโดยมติ ครม.ปี 2541 แล้ว แต่การครอบครองดังกล่าวก็เป็นสิ่งมิชอบเนื่องจากขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่ต้องการออมชอมให้คนยากจนไร้ที่ทำกินได้มีโอกาส ใช้ที่ดินป่าสงวนทำการเกษตรกรรมเพื่อยังชีพโดยห้ามบุคคลอื่นซื้อขายต่อและบุคคลภายนอกก็ไม่มีสิทธิที่จะไปครอบได้ ทั้งนี้ สมาพันธ์ประชาธิปไตย ขอเรียกร้อง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐทำการตรวจสอบผู้ที่ครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ หรือป่าเสื่อมโทรมทั้งหมดและดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด

นพ.เหวงกล่าวว่า " นายกรัฐมนตรีได้ยอมรับโดยปริยายว่า การครอบครองที่ดินดังกล่าวไม่น่าจะถูกต้อง โดยใช้คำว่า ก้ำกึ่ง ดังนั้นจึงขอให้นายกฯ พิจารณาตัวเองดีกว่าปล่อยให้เรื่องนี้ฉาวโฉ่ จะทำให้เกียตริภูมิเกียรติยศเสียหาย มากกว่านี้ และถ้าหากท่านคิดว่าการบริหารประเทศจำเป็นต้องอาศัยคุณธรรม จริยธรรมในระดับสูง ท่านอาจจะต้องพิจารณาตัวเองลาออก เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็เข้าข่ายการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

ส่วนที่มีการพยายามพูดกันว่าคนทำผิดในข้อหาดังกล่าวมีตั้งหลายแสนราย ตรงนี้ต้องแยกให้ออก ถ้าคนเหล่านั้นเป็นราษฎรที่ยากจนจริงๆ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องโอบอุ้มราษฎรยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก ให้มีเอกสารที่สามารถแสดงการใช้ประโยชน์ในที่ดินได้”

นอกจากนั้นทางสมาพันธ์ฯ ได้เรียกร้องขอให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ทบทวนการตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ(ศปศ.คมช.)และกองอำนวยการรักษาความปลอดภัย เนื่องจากไม่มีเหตุผลและความชอบธรรมใดๆ

นพ.เหวง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีสถานการณ์ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อชาติบ้านเมืองโดยรวม และการอ้างคลื่นใต้น้ำก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวของกลุ่มเล็กๆ ตามพื้นที่ต่างๆ ไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคง และในขณะที่ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะตั้งศูนย์ดังกล่าว แต่กลับจะมีการนำเงิน 550 ล้านบาท จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจะใช้เงินไปทำอะไร เนื่องจาก มีพ.ร.บ. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถ ระดมกำลังมาจัดการปัญหาต่างๆ ได้อยู่แล้ว และทหารก็ได้รับงบประมาณในปีนี้มากกว่าเดิม34 % หรือแสนกว่าล้าน จากปีก่อนๆ 8 หมื่นล้าน เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่ต้องทุ่มงบประมาณเพื่อตั้งศูนย์ดังกล่าวอีก
กำลังโหลดความคิดเห็น