ปิยะบุตรสั่งปรับปรุงยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมอาหารใหม่ โดยเฉพาะในส่วนโครงการภายใต้แผนยุทธศาสตร์ที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจนและต้องการให้เอกชนเป็นผู้คิดแผนมากกว่าราชการเหตุรู้ดีกว่าให้สรุปใหม่ภายใน 1 เดือน วางเป้าหมายให้โรงงาน 1.2 หมื่นแห่งผ่านมาตรฐาน HACCP
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการเป็นประธานประชุมร่วมกับเอกชนและสถาบันอาหารเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ วานนี้ (27พ.ย.) ว่า ได้มอบหมายให้ทางสถาบันอาหารไปปรับปรุงยุทธศาสตร์ที่จัดทำมาในส่วนของโครงการที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่เนื่องจากการจัดทำควรให้ภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการเองเพราะจะทราบถึงทิศทางและการพัฒนาได้ดีกว่าการที่ภาครัฐไปกำหนดการปฏิบัติงานแทน
“ ภายใน 1 เดือนให้ไปจัดทำในรายละเอียดของโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์และกำหนดรายละเอียดว่าเป้าหมายเป็นกี่เดือนหรือระยะเวลาที่ชัดเจนแล้วมาหารือกันในการประชุมครั้งหน้า
ซึ่งสถาบันอาหารจะต้องเป็นตัวกลางในการที่จะประสานงานกับเอกชนแต่อย่าไปคิดแทนเอกชน”
สำหรับยุทธศาสตร์จะมุ่งเน้นการพัฒนาผู้ผลิตสินค้าอาหารที่มีอยู่ประมาณ 12,000 โรงงานให้มีการพัฒนาสินค้าที่ได้ผ่านการรับรองทางด้านมาตรฐานต่างๆ โดยเฉพาะระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤติที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร( HACCP) และระบบการจัดการสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหารหรือ GMP ซึ่งปัจจุบันโรงงานส่วนใหญ่ที่ผ่านมา HACCP และ GMP เป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกซึ่งมีอยู่ประมาณ 700 แห่ง
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระยะยาวจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องกำหนดบังคับการผลิตสินค้าทุกขั้นตอนควรจะต้องผ่าน HACCP เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคคนไทยที่ขณะนี้อาหารที่บริโภคค่อนข้างมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอยู่พอสมควรโดยเฉพาะสินค้าที่ชาวบ้านผลิตที่ยังขาดความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนา
“แนวคิดบ้านเราค่อนข้างผิดที่มุ่งเน้นราคาสินค้าต่ำแต่คุณภาพมาทีหลังทำให้สินค้าส่งออกมีมาตรฐาน แต่ผู้บริโภคบ้านเรากลับต้องเสี่ยงกับความไม่ปลอดภัย เบื้องต้นคงต้องขอความร่วมมือกับห้างต่างๆ เช่น เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี ที่ควรคัดเลือกสินค้าที่จะไปวางขายต้องผ่านการรับรองด้านมาตรฐาน และหลังจากนั้นก็น่าจะเป็นการบังคับ”นายพรศิลป์กล่าว
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการเป็นประธานประชุมร่วมกับเอกชนและสถาบันอาหารเพื่อจัดทำยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ วานนี้ (27พ.ย.) ว่า ได้มอบหมายให้ทางสถาบันอาหารไปปรับปรุงยุทธศาสตร์ที่จัดทำมาในส่วนของโครงการที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่เนื่องจากการจัดทำควรให้ภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการเองเพราะจะทราบถึงทิศทางและการพัฒนาได้ดีกว่าการที่ภาครัฐไปกำหนดการปฏิบัติงานแทน
“ ภายใน 1 เดือนให้ไปจัดทำในรายละเอียดของโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์และกำหนดรายละเอียดว่าเป้าหมายเป็นกี่เดือนหรือระยะเวลาที่ชัดเจนแล้วมาหารือกันในการประชุมครั้งหน้า
ซึ่งสถาบันอาหารจะต้องเป็นตัวกลางในการที่จะประสานงานกับเอกชนแต่อย่าไปคิดแทนเอกชน”
สำหรับยุทธศาสตร์จะมุ่งเน้นการพัฒนาผู้ผลิตสินค้าอาหารที่มีอยู่ประมาณ 12,000 โรงงานให้มีการพัฒนาสินค้าที่ได้ผ่านการรับรองทางด้านมาตรฐานต่างๆ โดยเฉพาะระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤติที่ต้องควบคุมในการผลิตอาหาร( HACCP) และระบบการจัดการสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหารหรือ GMP ซึ่งปัจจุบันโรงงานส่วนใหญ่ที่ผ่านมา HACCP และ GMP เป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกซึ่งมีอยู่ประมาณ 700 แห่ง
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระยะยาวจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องกำหนดบังคับการผลิตสินค้าทุกขั้นตอนควรจะต้องผ่าน HACCP เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคคนไทยที่ขณะนี้อาหารที่บริโภคค่อนข้างมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอยู่พอสมควรโดยเฉพาะสินค้าที่ชาวบ้านผลิตที่ยังขาดความรู้และประสบการณ์ในการพัฒนา
“แนวคิดบ้านเราค่อนข้างผิดที่มุ่งเน้นราคาสินค้าต่ำแต่คุณภาพมาทีหลังทำให้สินค้าส่งออกมีมาตรฐาน แต่ผู้บริโภคบ้านเรากลับต้องเสี่ยงกับความไม่ปลอดภัย เบื้องต้นคงต้องขอความร่วมมือกับห้างต่างๆ เช่น เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี ที่ควรคัดเลือกสินค้าที่จะไปวางขายต้องผ่านการรับรองด้านมาตรฐาน และหลังจากนั้นก็น่าจะเป็นการบังคับ”นายพรศิลป์กล่าว