xs
xsm
sm
md
lg

คตส.เรียก"อ้อ"แจงหุ้นชินฯ อัด อสส.ซุกข้อมูลซีทีเอ็กซ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คณะไต่สวนหุ้นชินฯ ป.ป.ช.เลื่อนสรุปสำนวนไป 27 พ.ย.นี้ ด้านคตส.เตรียมเชิญคุณหญิงอ้อ-บรรณพจน์เข้าชี้แจงด้วยตนเองในคดีซุกหุ้น “ต่อตระกูล” ซัดสำนักงานอัยการสูงสุดหมกเม็ดหลักฐานมัดทุจริตซีทีเอ็กซ์ เป็นงง “เสี่ยเช” เบิกเงินสดซื้อลีลาวดี-ปอร์เช่ ไปแล้ว แต่มีไอ้โม่งโอนเงินเข้าเติมเต็มบัญชีเหมือนเดิม พร้อมเตรียมรื้อสัญญาหาคนรับผิดชอบความเสียหาย “อลงกรณ์” แฉบอร์ดทอท.ชุดรัฐบาลแม้วร่วมก๊วนเอกชนปล้นโครงการเช่าลีมูซีนประเคนค่ายรถ 2,651 ล้านบาท แพงกว่าซื้อถึง 5 เท่าตัว

นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากน.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ในการหลีกเลี่ยงภาษีการโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์เปอเรชั่น จำกัด มูลค่า 738 ล้านบาทว่าขณะนี้อนุกรรมการยังสรุปสำนวนไม่แล้วเสร็จ คาดว่าจะสรุปสำนวนเรื่องดังกล่าวได้ภายในวันที่ 27 พ.ย. นี้เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของที่ประชุมใหญ่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาชี้มูลความผิดแต่อย่างช้าคงจะรู้ผลการพิจารณาก่อนกลางเดือนธ.ค. นี้

ทั้งนี้ คดีการโอนหุ้นชินคอร์ปฯ มี น.ส.สมลักษณ์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ประธานอนุกรรมการไต่สวน ในกรณีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ในการหลีกเลี่ยงภาษีการโอนหุ้นบริษัท ชินคอร์เปอเรชั่น จำกัด มูลค่า 738 ล้านบาท ระหว่างนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับ นางสาวดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ของคุณหญิงพจมานในเบื้องต้นพบว่า มีเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ถูกกล่าวหาประมาณ 6 คน ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการในสำนักกฎหมายที่มีหน้าที่วินิจฉัยเรื่องการเรียกเก็บภาษี โดยมีระดับรองอธิบดีเป็นผู้สั่งการในสำนักกฎหมาย เมื่อปี 2540

สำหรับรายชื่อเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร ทั้ง 6 คน ประกอบด้วย 1.นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ รองอธิบดีกรมสรรพากร(ตำแหน่งในขณะที่กระทำความผิดปัจจุบันอธิบดีกรมสรรพากร) 2.นางเบญจา หลุยเจริญ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภาษี (ปัจจุบันผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง) 3.นางสาวจำรัส แหยมสร้องทอง ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย 4.นางสาวโมรีรัตน์ บุญญศิริ นิติกร 8 ว. 5.นางสาวกุลฤดี แสงสายัณห์ นิติกร 7 ว. และ 6.นางสาวปราณี สกุลพจน์วรชัย นักวิชาการสรรพากร 7

**หนังสือคตส.ไม่ระบุความผิด "ศิโรตม์"

สำหรับการประชุมของอนุกรรมการตรวจสอบกรณีซื้อขายหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีนาย วิโรจน์ เลาหะพันธ์ กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นประธาน วานนี้ (24 พ.ย.) นาย วิโรจน์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้เชิญนาย ช. นันท์ เพ็ชรไพสิฐ ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพ กรมสรรพากร มาเซ็นรับรองเอกสารกรณีที่เคยสอบปากคำนาง ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดคุณหญิง พจมาน ชินวัตร และเคยสอบปากคำนาย บรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมของคุณหญิงพจมาน

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ความคืบหน้าในการส่งหนังสือไปยังกรมสรรพากรเพื่อให้เรียกเก็บภาษีย้อนหลังนายบรรณพจน์ จำนวน 546.12 ล้านบาทนั้น ตนได้เซ็นหนังสือส่งไปยังกรมสรรพากรแล้ว โดยไม่ได้กำหนดวันไปว่ากรมสรรพากรจะต้องจัดเก็บภาษีภายในกี่วัน แต่กรมสรรพากรต้องทำตามกฎหมาย นั่นคือนายบรรณพจน์ ต้องมาเสียภาษีภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่กรมสรรพากรได้รับหนังสือ

เมื่อถามว่าในการตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเพื่อดำเนินคดีอาญา นายบรรณพจน์ และคุณหญิงพจมาน ต้องมาชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการเองหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องมาชี้แจงเอง ไม่สามารถส่งผู้แทนมาชี้แจงแทนได้

แหล่งข่าวจาก คตส.ระบุว่า เนื้อหาในหนังสือที่ส่งไปยังกรมสรรพากร ทางคตส.ได้สรุปประเด็นสั้นๆ ว่ากรณีของนายบรรณพจน์ ไม่เข้าข่ายการยกเว้นเรื่องการไม่ต้องเสียภาษี โดยนายวิโรจน์ ไม่ได้ระบุความผิดของผู้บริหารกรมสรรพากร คือนายศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร เพียงแต่มีการรลำดับความเป็นมาในการตรวจสอบของคตส.จนได้ข้อสรุปว่าการได้รับหุ้นดังกล่าวของนายบรรณพจน์ ไม่เข้าข่ายการยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา40 (8) ดังนั้นจึงขอให้กรมสรรพากรดำเนินการจัดเก็บภาษีจากนายบรรณพจน์ นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

ทั้งนี้มีรายงานว่า หนังสือดังกล่าวไม่ได้ระบุตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งคุณหญิงพจมาน และน.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี เป็นเพียงการขอให้จัดเก็บภาษีย้อนหลังจากนายบรรณพจน์ เท่านั้น

**ซีทีเอ็กซ์ เลื่อนสรุปสำนวน

ส่วนที่ประชุมอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 โดย นาย อำนวย ธันธรา กรรมการคตส. เป็นประธาน ซึ่งนายอำนวย ได้กล่าวก่อนการประชุมว่า ที่ประชุมจะพิจารณาภาพรวมการตรวจสอบข้อมูลที่ดำเนินมา แต่เชื่อว่าคงไม่สามารถสรุปสำนวนได้ทันตามกำหนดวันที่ 4 ธันวาคมนี้ เนื่องจากต้องรอผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดจากต่างประเทศมาให้ข้อมูลอีก 1 ราย แต่ไม่ขอเปิดว่าเป็นบุคคลจากชาติใด

ภายหลังการประชุม นาย ต่อตระกูล ยมนาค โฆษกคณะอนุกรรมการฯ กล่าวอย่างมั่นใจว่าจะสามารถสรุปคดีได้ก่อนปีใหม่แน่นอน ขณะนี้กำลังรอพยานปากสำคัญคือผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ซึ่งเคยให้คำปรึกษากับบทม.ในโครงการนี้มาก่อน บุคคลนี้ได้ตอบรับจะมาชี้แจงกับคณะอนุกรรมการฯได้ภายในกลางเดือนธ.ค.นี้

**เดินหน้าตามรอยสินบนต่อ

ในที่ประชุมยังพิจารณาข้อมูลที่สำนักงานอัยการสูงสุดส่งมาให้ โดยเฉพาะจากศาลกลางสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเอกสารภาษาอังกฤษ ต้องมีการแปลเป็นภาษาไทยก่อน แต่เบื้องต้นอ่านแล้วพอจะได้ข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่มีการสอบว่าบริษัทอินวิชั่น และนาย วรพจน์ ยศทัตย์ หรือเสี่ยเช ผู้บริหารบริษัทแพทริออต เตรียมที่จะจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ในทอท. โดยเมื่อบริษัทอินวิชั่น ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง และยอมจ่ายเบี้ยปรับ ทางศาลกลางสหรัฐฯจึงไม่ได้สอบต่อ แต่ในเอกสารได้ระบุชื่อนายวรพจน์ และนาย วีฮอคกี ชาวสิงคโปร์ ผู้บริหารระดับผู้จัดการภาคของบริษัทอินวิชั่น แต่ก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรใหม่ในส่วนนี้ โดยไม่ได้ระบุว่าเจ้าหน้าที่ของทอท.ที่จะเป็นผู้รับเงินเป็นใคร

ดังนั้น คณะอนุกรรมการต้องขยายผลและหาข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติม เพราะอัยการไทยก็มีข้อมูลแค่ตรงนี้ ดังนั้นคณะอนุกรรมการ จะถามไปยังอัยการว่ามีข้อมูลอื่นอีกหรือไม่ เพราะเราคิดว่าเขายังมีข้อมูลอื่นอีก เพียงแต่เรายังไม่ได้ขอไป นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ ยังได้ทำหนังสือเชิญนายวรพจน์ มาให้ข้อมูลในสัปดาห์หน้าด้วย

นายต่อตระกูล กล่าวว่า จากการตรวจสอบในสัญญาช่วงหลังมีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปก่อน 20-30% โดยไม่มีความจำเป็นต้องจ่าย ซึ่งจากการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน หลังจากที่นายวรพจน์ เบิกเงินงวดแรกไปแล้ว ก็ได้นำเงินไปซื้อที่ดิน ต้นลีลาวดี และซื้อรถยนต์ปอร์เช่ ซึ่งพบว่ามีการเบิกเงินสด และบางส่วนเก็บเอาไว้ที่บ้าน แต่หลังจากที่มีการสอบเรื่องนี้ปรากฏว่า กลับมีการนำเงินเข้ามาเติมจนเต็มบัญชีที่ใช้ไป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าใครเอาเงินมาเติม ซึ่งการตรวจสอบในครั้งนี้ถ้าใช้อำนาจแบบรสช.ยึดทรัพย์ไว้ก่อน ในที่สุดเราจะได้ข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ ซึ่งไม่มีการดัดแปลง แต่เชื่อว่าขณะนี้กฎหมายคงจะตามไม่ทันกับพฤติกรรมที่ซับซ้อนแบบนี้

**เจ๊งสนิทแล้ว 1 เครื่อง

นายต่อตระกูล กล่าวว่า เมื่อวันพุธที่ 22 พ.ย. ที่ผ่าน คณะอนุกรรมการได้ลงพื้นที่ตรวจเครื่องตรวจระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 พบว่ามี 1 เครื่องที่เสีย มีการระบุว่าหลอดแสกนซึ่งใช้เอ็กซเรย์กระเป๋าเสีย ไม่สามารถซ่อมได้ แต่สามารถนำมาถอดเป็นอะไหล่สำหรับซ่อมเครื่องอื่นหากมีปัญหาได้ แต่ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเครื่องดังกล่าวอยู่ในประกันหรือไม่ จึงต้องมีการตรวจสอบด้วย เพราะเครื่องเพิ่งซื้อและนำมาติดตั้ง ดังนั้นจึงต้องไปรื้อสัญญาดูว่าใคร หรือบริษัทใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งถ้าสื่อสนใจสามารถไปขอข้อมูลจากพล.อ. สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ดทอท. ได้

อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการฯยังได้ตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่อง พบว่าส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์เสริม ซึ่งไม่ได้ระบุเอาไว้ตั้งแต่ต้น และยังไม่ทราบว่าอุปกรณ์ดังกล่าวต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ เพราะเครื่องจะทำได้งานก็ต่อเมื่อมีอุปกรณ์เสริม ซึ่งต้องมีการตรวจสอบว่าอุปกรณ์เสริมจะเป็นตัวเพิ่มส่วนต่างของราคาที่มีการพูดถึงว่าจะเป็น 600 ล้านบาท หรือ 1,200 ล้านบาท หรือสูงถึง 2,000 ล้านบาทหรือไม่

นายต่อตระกูล กล่าวว่า ยังพบว่าในช่วงแรกที่บอกว่าจะใช้เครื่องซีทีเอ็กซ์ 26 เครื่องเพื่อตรวจสอบกระเป๋าผู้โดยสารขาเข้า 45 ล้านคนต่อปีนั้น เป็นการคำนวณกระเป๋าต่อคนที่ 1.5 ใบ แต่ปัจจุบันพบว่าผู้โดยสารที่เข้ามาส่วนใหญ่จะหิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องทั้งหมด เพราะเกรงจะมีปัญหาการลำเลียงกระเป๋าล่าช้า ทำให้เมื่อคำนวณออกมาแล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 0 ใบต่อคน ทำให้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน

** “จ้อน” จับโจรบอร์ดทอท.ปล้นลีมูซีน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบการทุจริตของพรรค แถลงว่า ตามที่ได้มีผู้ร้องเรียนผ่านตู้ปณ.222 ดุสิต กทม. 10300 ของตน เกี่ยวกับการประมูลการเช่ารถ – รับส่งผู้โดยสาร (รถลีมูซีน) พร้อมคนขับ ของบ.ท่าอากาศไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว วงเงิน 2,651 ล้านบาทคณะทำงานของตนได้ตรวจสอบจากพยานและหลักฐานที่มี พบว่ามีเหตุอันควรให้เชื่อได้ว่า โครงการดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเกือบ 1 พันล้านบาท โดยในการยื่นซองเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2549 มีบริษัทเพียง 4 รายที่ได้ทำสัญญากับทอท.ในวันที่ 28 ส.ค. 2549

นายอลงกรณ์ กล่าวว่า มีประเด็นส่อทุจริตดังนี้ 1. ทอท.ใช้การจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษแทนการประมูลประกวดราคา โดยอ้างว่ามีเวลาจำกัด ซึ่งรับฟังไม่ได้ เนื่องจากเคยเสนอเปิดสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. 2548 และต่อมามีการเลื่อนเป็นวันที่ 29 ก.ย. 2549 แสดงว่าทอท.มีเวลามากพอในการดำเนินการก่อนหน้านั้น 1 ปี แต่กลับปล่อยเวลาผ่านไปจนกระชั้นชิดจนต้องอ้างการใช้วิธีพิเศษ

2. ราคาเท่ากันหรือสูงกว่าวงเงินงบประมาณ 2,651 ล้านบาทเล็กน้อย เสมือนไม่มีการเข่งขันในการเสนอราคา 3. จากการเปรียบเทียบราคา ไม่น่าเชื่อว่าค่าเช่ารถจะแพงกว่าการราคาที่ต้องซื้อ โดยเฉพาะรถค่ายญี่ปุ่น ค่าเช่าสูงกว่าราคาซื้อขาดถึง 5 – 6 เท่าตัว 4. กลุ่มบริษัทที่ได้สัญญาส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์เป็นกลุ่มเดียวกัน

“เป็นไปได้อย่างไรในทางธุรกิจที่รถเช่า จะแพงกว่ารถซื้อ แม้จะแถมคนขับมาก็จะไม่เกิน 1.5 เท่าของราคาซื้อ อย่างรถโตโยต้า แคมรี่ที่ประมูล 100 คัน ด้วยราคา 617 ล้านบาท ตกคันละ 6.17 ล้านบาท ซึ่งราคาจริงอยู่ที่คันละ 1.1 ล้านบาทเท่านั้น รถนิสสัน เทียน่า 100 คัน ราคา 617 ล้านบาท ตกคันละ 6.17 ล้านบาทเช่นกัน ทั้งที่ราคาจริงอยู่ที่ 1.2 ล้านบาท”

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้อดีตบอร์ดและผู้บริหารของทอท.จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยตนจะส่งเรื่องให้กับประธานบอร์ดทอท.คนใหม่ คือพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ในวันนี้ ซึ่งพล.อ.สพรั่งมีนโยบายในการปราบทุจริตในสุวรรณภูมิเพื่อสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป ทั้งนี้ก่อนหน้านี้เคยเสนอให้ทอท.เปิดประมูลสัมปทานบริการรถลิมูซีน โดยที่ทอท.ไม่ต้องลงทุนหรือเสียเงินจ้างแม้แต่บาทเดียว และยังได้ค่าสัมปทานด้วย แต่กลับดำเนินการเองด้วยวงเงินมหาศาล ซึ่งการเปลี่ยนจากสัมปทานมาสู่ระบบการเช่ารถ คือจุดพลิกผันอันเอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์จากโครงการนี้ ซึ่งการทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิจะมีรูปแบบคล้ายกัน

สำหรับ 8 สัญญาดังกล่าวประกอบด้วย 1. บ.วิทยุโรดโชว์รูม จำกัด รถเบนซ์ อี – คลาส รุ่น 200 NGT จำนวน 20 คันสัญญา 204 ล้านบาท 2. บ.สยามคาร์เรนท์ รถบีเอ็มดับเบิลยู 730 Li จำนวน 20 คัน สัญญา 279 ล้านบาท 3. บ.บางกอกลีมูซีน จำกัด รถลอนดอนแคป จำนวน 40 คัน สัญญา 311 ล้านบาท 4. บ.สยามออโต้เซอร์วิส รถโตโยต้า แคมรี่2.0 จำนวน 100 คัน สัญญา 617 ล้านบาท

5. บ.สยามออโต้เซอร์วิส รถตู้โตโยต้า คอมมิวเตอร์ ดี.2.5 จำนวน 30 คัน สัญญา 216 ล้านบาท 6. บ.ทองหล่อคาร์เซลส์จำกัด รถนิสสันเทียน่า 2.0 จำนวน 100 คัน สัญญา 617 ล้านบาท 7. บ.ทองหล่อคาร์เซลส์ จำกัด รถตู้นิสสันเออร์แวน จำนวน 30 คัน สัญญา 208 ล้านบาท และ 8. บ.สยามคาร์เรนท์ จำกัด รถอีซูซุ มิว- 7 ดี.30 จำนวน 40 คัน สัญญา 197 ล้านบาท รวมจำนวนรถ 380 คัน วงเงินจ้าง 2,651 ล้านบาท

ประธานคณะทำงานฯตรวจทุจริตฯ ระบุว่า บ.ทองหล่อคาร์เซลส์ และบ.บางกอกลีมูซิน มีเจ้าของเดียวกัน ชื่อ วณี เจริญสุขใส บ.สยามคาร์เรนท์ และบ.สยามออโต้เซอร์วิส มีเจ้าของเดียวกันชื่อ วศิษฏ์ พิทักสิทธิ์
กำลังโหลดความคิดเห็น