xs
xsm
sm
md
lg

โรงบ่มขู่ม็อบ-รง.ยาสูบตุกติกลดโควตา ระบุ FTAทำเกษตรกรไทยไร้ทางถอย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เชียงราย - ผู้บ่มใบยาสูบเหนือขู่ประท้วงใหญ่ หลังโรงงานยาสูบเตรียมตัดโควตารับซื้อใบยาลงอีก 20% เหลือแค่ 9 ล้าน กก./ปี ขณะที่เพิ่มสัดส่วนนำเข้าใบยาจีนอีกนับแสนกิโลฯ สวนทางข้ออ้างสต๊อกใบยาล้น-ยอดขาย/กำไรเพิ่ม แกนนำผู้บ่มหลายจังหวัดภาคเหนือชี้นโยบาย FTA ทำให้เกษตรกรไทยไร้ทางถอย

ผู้สื่อข่าว รายงานจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า ในการประชุมหารือเรื่อง "การจัดการใบยาสูบเวอร์จิเนีย ฤดู 2549-50" เมื่อเร็วๆนี้ ระหว่างนายประเสริฐ เกษมโกเมศ คณะกรรมการอำนวยการโรงงานยาสูบ (รยส.)กับคณะกรรมการใบยาสูบจากส่วนกลางและภูมิภาค และผู้บ่มใบยาอิสระในภาคเหนือ นำโดยนายนริศ วงศ์วรรณ นายกสมาคมผู้บ่มใบยาอิสระ จ.เชียงราย และพะเยา นายคำรณ ผาทอง นายกสมาคมผู้บ่มอิสระ จ.เชียงใหม่ นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย เขต 1 พรรคไทยรักไทย นายประจักษ์ สุธรรมวงศ์ ผู้จัดการสำนักงานยาสูบเชียงราย ณ โรงแรมลิตเติ้ลดั๊ก จ.เชียงราย ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการยื่นหนังสือจากกลุ่มผู้ผลิตใบยาสูบผ่าน นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย เขต 1 พรรคไทยรักไทย อดีต ส.ส.จังหวัดแพร่ อดีต ส.ส.จังหวัดพะเยา เพื่อให้รัฐบาลช่วยเหลือด้วย

นายประเสริฐ เกษมโกเมศ คณะกรรมการอำนวยการโรงงานยาสูบ ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ โรงงานยาสูบต้องการจะลดโควตา ของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกใบยา ซึ่งส่วนมากอยู่ในภาคเหนือ - อีสาน จากปี 2548 รับซื้อ 11.7 ล้านกิโลกรัม เหลือประมาณ 9 ล้านกิโลกรัม แยกเป็น ใบยาปกติ 8 ล้านกิโลกรัม ,ใบยา F1 จำนวน 1 ล้านกิโลกรัม โดยลดการรับซื้อลง 20% เนื่องจากใบยาสูบในสต๊อกยังมีเหลืออยู่มาก

ประกอบกับปัจจุบันรัฐบาลรณรงค์ให้ประชาเลิกสูบบุหรี่ ทำให้การจำหน่ายบุหรี่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องลดโควตาของกลุ่มผู้ผลิตใบยาสูบป้อนโรงงาน แต่ก็เข้าใจปัญหาความเดือดร้อนที่จะตามมา จึงได้จัดเวทีหารือร่วมกันเพื่อนำไปเสนอ กระทรวงการคลัง และรัฐบาลต่อไป

สำหรับกลุ่มผู้ผลิตใบยาสูบ ทั้งจากเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ฯลฯ ที่มาประชุม ต่างแสดงความไม่เห็นด้วยกับการลดโควตารับซื้อ โดยนายนริศ วงศ์วรรณ นายกสมาคมผู้บ่มใบยาอิสระเชียงราย - พะเยา กล่าวว่า เกษตรกรที่ปลูกใบยาสูบกว่า 2 หมื่นรายทั่วประเทศ จะเดือดร้อนกับการลดโควตาครั้งนี้ และที่ผ่านมาโรงงานยาสูบ ได้ลดโควตารับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรไทยมาต่อเนื่อง จากที่อดีตเคยมีโควตาในปี 2534 กว่า 21 ล้านกิโลกรัมต่อปี แต่ทยอยลดลงมากว่า 50% เหลือ 9 ล้านกิโลกรัมในปีนี้ ถือว่าถึงจุดวิกฤต ที่จะทำให้เกษตรกรอยู่ไม่ได้ เพราะไม่คุ้มทุนที่จะปลูกและผลิต

ทั้งนี้ ปัญหาหลายประการก็เกิดมาจากนโยบายของรัฐบาลเอง เช่น การเปิดเขตเสรีการค้าอาเซียน มีการนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศ ทำให้แข่งขันกันสูง จนทำให้บุหรี่ไทยถูกแย่งตลาดไป,ลักลอบนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศ และนำเข้าใบยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนียจากจีนในปี 2548 ราว 1 แสนกิโลกรัม และทราบว่าปี 2549 จะมีการนำเข้าเพิ่มเป็น 2 แสนกิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 191.45 บาท เนื่องจากใบยาสูบจากจีนราคาถูก เพราะต้นทุนต่ำ และไม่มีการส่งเสริมการแข่งขันไปต่างประเทศ เพราะโรงงานยาสูบผูกขาดการผลิตแต่เพียงผู้เดียว

นอกจากนี้การรณรงค์เรื่องโทษของบุหรี่อย่างหนัก และห้ามวางจำหน่าย แต่ใบยาสูบแบบห่อในบางพื้นที่กลับนำมาวางขายได้ตามปกติ จึงเป็นปัญหาของการดำเนินนโยบายของโรงงานยาสูบเอง แต่ผลร้ายกลับมาตกแก่ประชาชน

นายนริศ กล่าวอีกว่า จากสถิติ พบว่า การจำหน่ายบุหรี่ในไทย ที่จริงไม่ได้ลดลง เช่นปี 2543 จำหน่าย 31,756 ล้านมวน รายได้ 38,820 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5,336 ล้านบาท สามารถจ่ายโบนัสได้ 525 ล้านบาท ,ปี 2544 จำหน่าย 29,531 ล้านมวน ,ปี 2545 จำหน่าย 29,682 ล้านมวน,ปี 2546 จำหน่ายได้ 31,366 ล้านมวน และปี 2547 จำหน่ายได้ 34,174 ล้านมวน รายได้ 45,477 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6,233 ล้านบาท สามารถจ่ายโบนัสได้ 569 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้นำเข้ากระทรวงการคลัง

ดังนั้นหากมีการลดโควตาลงอีก 20% ในปีนี้ เกษตรกรและผู้ประกอบการโรงบ่มใบยาจะต้องเดือดร้อนหนัก และขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ให้เข้ามาดูแลประชาชนในระดับรากหญ้า เพราะขณะนี้กำลังเดือดร้อนกันหนัก ซึ่งจะให้เกษตรกรไปปลูกพืชอย่างอื่นก็แทบไม่มีให้เลือกแล้ว เช่น กระเทียม ก็ถูกสินค้าเกษตรจีนเข้ามาตีตลาดหมดจากนโยบายเปิดเสรีการค้า หรือ เอฟทีเอ ไทย-จีน อนาคตหากมีการเปิดเสรีใบยาสูบจากจีนเข้ามาเต็มที่ เกษตรกรคงจะต้องเลิกอาชีพเหล่านี้หมด และทำให้เกิดปัญหาคนว่างงาน - ปัญหาสังคมมากมาย ซึ่งจะรอการพิจารณาจากรัฐบาล หากยังจะลดโควตาจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่แน่นอน

ด้านนางเครือวัลลิ์ ปาลี อายุ 45 ปี เกษตรกร จาก ต.บ้านธิ จ.ลำพูน ซึ่งมีพื้นที่ปลูกใบยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย 40 ไร่ ทำมานานหลายสิบปี กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา ตนเพิ่งไปกู้เงินมาทำเตาบ่มแบบรวมศูนย์มูลค่า 5 แสนบาท หากโรงงานยาสูบมาตัดโควตาอีก ก็จะต้องขาดรายได้ไปปีละนับแสนบาท แล้วอาจส่งผลต่อการใช้หนี้ได้ จึงอยากให้โรงงานยาสูบพิจารณาให้ดี เพราะ ที่จริงรัฐบาลน่าจะคุ้มครองเกษตรกรไทย โดยไม่นำเข้าใบยาสูบจากต่างประเทศ เช่น จีน เพราะกำลังการผลิตในประเทศยังเหลือ ดูแล้วขัดกันกับความเป็นจริง
กำลังโหลดความคิดเห็น