ผู้จัดการรายวัน - แนวโน้มหนี้เสียลดลงชัดเจนหลังแบงก์พร้อมขายให้เอเอ็มซี "หม่อมอุ๋ย" ปลื้มผลการหารือร่วม "ธปท.-แบงก์-เอเอ็มซี" ได้ข้อสรุปลดเอ็นพีแอลได้อย่างชงัก เผยหลักการแบงก์ขายหนี้ในราคาที่เหมาะสม-ไม่จำกัดการขายเฉพาะ บสก. ส่งผลหลังกระบวนการขายเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอเสร็จสิ้น หนี้เสียในระบบลดลงจาก 8% เหลือ 2%ในปีหน้า ตามเป้าหมายแบงก์ชาติ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกันระหว่าง ธปท. ธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี) เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ผลการหารือได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสูตรการคำนวณการขายหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ที่ศาลได้ตัดสินแล้ว ถือเป็นน่าพอใจทุกฝ่าย และเชื่อว่ากระบวนการขายเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอให้กับเอเอ็มซีจะสามารถทยอยเกิดขึ้นได้แล้วในขณะนี้ และเห็นได้ชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ และทำให้เอ็นพีเอในระบบลดลงมากขึ้น
“ก่อนหน้านี้ ยังไม่เกิดขึ้น เพราะไม่สามารถคิดสูตรการคำนวณการขายเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอได้ แต่ขณะนี้ได้ข้อสรุปที่สามารถตกลงกันได้แล้ว และยืนยันว่าเอ็นพีแอลจะลดเหลือ 2% หรือ 2%กว่าๆ ได้ในปี 2550 ตามเป้าหมายแน่นอน”
สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 8% กว่านั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า เป็นระดับที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับช่วงที่ตนเข้ามาบริหารเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 20% ลดลงได้เยอะแล้ว อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจะไม่กระทบให้ตัวเลขเอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีก เพราะกระบวนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังมากขึ้น และจะไม่กลับมาสร้างปัญหาอย่างช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สูตรการคำนวณเอ็นพีแอล และเอ็นพีเอ ไม่สามารถเปิดเผยให้ทราบได้ เพื่อไม่ให้เกิดการเก็งกำไรจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้ ล่าสุด ณ สิ้นเดือนเมษายนธนาคารพาณิชย์มีเอ็นพีแอลในระบบทั้งสิ้น 4.71 แสนล้านบาทหรือ 8.04% ขณะที่เอ็นพีเอมีอยู่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ส่วนหนี้ที่อยู่ในการบริหารของบริษัทบริหารสินทรัพย์มีประมาณ 2.7 แสนล้านบาท
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การหารือดังกล่าว ตกลงกันได้ในหลักการแล้ว ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าควรขายหนี้ของธนาคารพาณิชย์ออกไป เพื่อที่จะลดหนี้ในระบบให้น้อยลง ส่วนที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ คือราคากลางในการรับซื้อที่ยังกำหนดไม่ได้ เพราะว่าสมาคมธนาคารไทยจะต้องกลับไปหารือกับสมาชิกของสมาคมอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) กล่าวว่า การเข้ามาหารือกับธปท. ในครั้งนี้ เนื่องจากทางธนาคารพาณิชย์เห็นตรงกันว่าต้องการให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเข้ามาซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPA) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ทั้งหมดของสถาบันการเงินที่มีอยู่ในระบบออกไป โดยให้ บสก.เป็นผู้บริหารหนี้เหล่านั้นเอง เพราะสถาบันการเงินต่างๆ มีเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอในระบบค่อนข้างมาก และหนี้ในระบบเหล่านี้ลดลงได้ช้าเพราะมาจากบริหารเอง จึงต้องการให้มีคนกลางที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ โดยไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) แต่เพียงผู้เดียว บริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ สามารถเข้ามารับซื้อหนี้ตรงนี้ได้เหมือนกัน
ทั้งนี้เอ็นพีเอ และเอ็นพีแอลที่ให้ AMC เข้ามาเป็นกลางในการขายครั้งนี้ จะต้องเป็นหนี้ที่ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว หรือหากว่าศาลยังไม่พิพากษาก็ให้ทั้งผู้ที่ต้องการซื้อและผู้ที่ต้องการขายต้องไปเจรจาตกลงกันเองเพื่อที่จะซื้อขาย ซึ่งวิธีการที่ให้ AMC เป็นคนรับซื้อหนี้ไปบริหารต่อนั้น สมาคมธนาคารไทย บสก.และ ธปท.ได้เห็นชอบในหลักการเหมือนกันหมด ส่วนที่ยังไม่สามารถตกลงได้ในครั้งนี้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกันระหว่าง ธปท. ธนาคารพาณิชย์ รวมไปถึงบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี) เมื่อวันจันทร์ที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ผลการหารือได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสูตรการคำนวณการขายหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) และสินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ที่ศาลได้ตัดสินแล้ว ถือเป็นน่าพอใจทุกฝ่าย และเชื่อว่ากระบวนการขายเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอให้กับเอเอ็มซีจะสามารถทยอยเกิดขึ้นได้แล้วในขณะนี้ และเห็นได้ชัดเจนในช่วงปลายปีนี้ และทำให้เอ็นพีเอในระบบลดลงมากขึ้น
“ก่อนหน้านี้ ยังไม่เกิดขึ้น เพราะไม่สามารถคิดสูตรการคำนวณการขายเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอได้ แต่ขณะนี้ได้ข้อสรุปที่สามารถตกลงกันได้แล้ว และยืนยันว่าเอ็นพีแอลจะลดเหลือ 2% หรือ 2%กว่าๆ ได้ในปี 2550 ตามเป้าหมายแน่นอน”
สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 8% กว่านั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า เป็นระดับที่เหมาะสม เมื่อเทียบกับช่วงที่ตนเข้ามาบริหารเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 20% ลดลงได้เยอะแล้ว อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นจะไม่กระทบให้ตัวเลขเอ็นพีแอลในระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีก เพราะกระบวนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มีความระมัดระวังมากขึ้น และจะไม่กลับมาสร้างปัญหาอย่างช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สูตรการคำนวณเอ็นพีแอล และเอ็นพีเอ ไม่สามารถเปิดเผยให้ทราบได้ เพื่อไม่ให้เกิดการเก็งกำไรจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้ ล่าสุด ณ สิ้นเดือนเมษายนธนาคารพาณิชย์มีเอ็นพีแอลในระบบทั้งสิ้น 4.71 แสนล้านบาทหรือ 8.04% ขณะที่เอ็นพีเอมีอยู่ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ส่วนหนี้ที่อยู่ในการบริหารของบริษัทบริหารสินทรัพย์มีประมาณ 2.7 แสนล้านบาท
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า การหารือดังกล่าว ตกลงกันได้ในหลักการแล้ว ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าควรขายหนี้ของธนาคารพาณิชย์ออกไป เพื่อที่จะลดหนี้ในระบบให้น้อยลง ส่วนที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ คือราคากลางในการรับซื้อที่ยังกำหนดไม่ได้ เพราะว่าสมาคมธนาคารไทยจะต้องกลับไปหารือกับสมาชิกของสมาคมอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ นายบรรยง วิเศษมงคลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) กล่าวว่า การเข้ามาหารือกับธปท. ในครั้งนี้ เนื่องจากทางธนาคารพาณิชย์เห็นตรงกันว่าต้องการให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เข้ามาทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเข้ามาซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPA) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ทั้งหมดของสถาบันการเงินที่มีอยู่ในระบบออกไป โดยให้ บสก.เป็นผู้บริหารหนี้เหล่านั้นเอง เพราะสถาบันการเงินต่างๆ มีเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอในระบบค่อนข้างมาก และหนี้ในระบบเหล่านี้ลดลงได้ช้าเพราะมาจากบริหารเอง จึงต้องการให้มีคนกลางที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ โดยไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) แต่เพียงผู้เดียว บริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นๆ สามารถเข้ามารับซื้อหนี้ตรงนี้ได้เหมือนกัน
ทั้งนี้เอ็นพีเอ และเอ็นพีแอลที่ให้ AMC เข้ามาเป็นกลางในการขายครั้งนี้ จะต้องเป็นหนี้ที่ศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว หรือหากว่าศาลยังไม่พิพากษาก็ให้ทั้งผู้ที่ต้องการซื้อและผู้ที่ต้องการขายต้องไปเจรจาตกลงกันเองเพื่อที่จะซื้อขาย ซึ่งวิธีการที่ให้ AMC เป็นคนรับซื้อหนี้ไปบริหารต่อนั้น สมาคมธนาคารไทย บสก.และ ธปท.ได้เห็นชอบในหลักการเหมือนกันหมด ส่วนที่ยังไม่สามารถตกลงได้ในครั้งนี้