ผู้จัดการรายวัน - “ทรท.-ปชป.” ยังไม่พ้นการเมืองน้ำเน่า พ่นน้ำลายใส่กันไม่หยุด “ศิธา” ซัด “อภิสิทธิ์” ด่า “ทักษิณ”ให้ทูตฟังเหมือนนำเรื่องในบ้านไปพูดข้างนอก แถมลอกนโยบายประชานิยม ทรท.ในการหาเสียง ขณะที่ ปชป.โต้กลับ ระบุ “แม้ว” ขาดจิตวิญญาณประชาธิปไตย ใช้เป็นเพียงบรรไดแสวงหาอำนาจ ยัน “ชวน” เป็นผู้นำแบบศรัทรานิยม ไม่เคยจ้างวานหรือใช้เงินชื้อ
น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย แถลงถึงการประกาศจุดยืนของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่29เม.ย.ว่า นโนบายต่างๆ ที่นายอภิสิทธิ์พูดเป็นการลอกนโยบายพรรคไทยรักไทยไปดำเนินการ สิ่งที่น่าแปลก คือพรรคประชาธิปัตย์เชิญทูตจากประเทศต่างๆ ไปฟังนายอภิสิทธิ์ด่ารัฐบาลและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ทั้งๆ ที่ น่าจะพูดสิ่งที่เป็นด้านบวกกับประทศ การทำแบบนี้เท่ากับนำเรื่องในบ้านไปพูดข้างนอกบ้าน ทั้งๆที่ขณะนี้บ้านเมืองต้องการความสมานฉันท์
สำหรับจุดยืน 3 เรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศนั้นแตกต่างกับจุดยืนเดิม ที่เคยประกาศไว้คือ1.นโยบายประชานิยมที่พรรคประชาธิปัตย์พูดมาตลอดว่าไม่สนับสนุนจนประชาชนคิดไปในทางลบหมดแล้ว วันนี้นายอภิสิทธิ์กลับบอกว่าจะต่อยอด โครงการ30 บาทรักษาทุกโรค เอสเอ็มแอลและกองทุนหมู่บ้านให้ดีขึ้น นโยบายเหล่านี้พรรคไทยรักไทยคิดได้ตั้งแต่ตั้งพรรคได้เพียง1ปี แต่พรรคประชาธิปัตย์อายุ 60 กว่าปีกลับงัวเงียมาบอกว่าจะต่อยอดยโยบายเหล่านี้ให้ดีขึ้น ขอถามว่า พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนหรือปฏิเสธนโยบายประชานิยมกันแน่
2.การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในช่วงที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ประกาศชัดเจนว่า ต่อต้านและไม่ยอมรับ ทั้งๆ ที่ในสมัยรัฐบาลชวน 2 เคยแถลงต่อรัฐสภาเมื่อปี2540 ว่าจะเร่งแปรรูปรัฐวิสหกิจ จนมีการเสนอ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสหากิจขึ้น ทำให้พนักงานรัฐวิสาหกิจออกมาต่อต้านที่ลานพระบรามรูปทรงม้าและกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ขายชาติ แต่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์กลับเปลี่ยนไปเพียงเพื่อต้องการคะแนนเสียง ทางการเมือง
3. การดำเนินการตามระบอบรัฐธรรมนุญและประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์พูดหลายครั้งว่าหากมีการยุบสภาถือเป็นกลไกปกติของระบอบประชาธิปไตย และพร้อมเสมอสำหรับการเลือกตั้ง วันนี้นายอภิสิทธิ์พูดย้อนไปจุดยืนเดิมอีกคือ พร้อมเป็น นายกฯและพร้อมเลือกตั้ง ขอย้อนถามว่าพรรคไทยรักไทยเรียกร้องให้ดำเนินการในระบอบประชาธิปไตย แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับบอยคอตเลือกตั้ง หากเกิดการเลือกตั้งครั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์จะเปลี่ยนคำพูดไปมาเหมือนในช่วงที่ผ่านมาอีกหรือไม่ แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีก
ขณะที่ นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ทีมโฆษก พรรคไทยรักไทยออกมาระบุว่านายอภิสิทธิ์ ไร้จิตวิญญาณประชาธิปไตยว่า ตลอดเวลา15 ปีที่ผ่านมา ในการทำงานทางการเมือง ของนายอภิสิทิ์ ไม่เคยกระทำการใดๆ นอกเหนือการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการดำเนินการทุกครั้งทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ แต่ตรงกันข้ามผู้นำที่ไม่มี จิตวิญญาณคือ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง เพราะเคยประกาศจุดยืนกับประชาชนว่าประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการขึ้นสู่อำนาจเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะขึ้นไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งผู้นำที่ดีต้องแสวงหาผลประโยชน์ที่ดีให้กับประชาชนและประเทศชาติ ส่วนผู้นำที่ไม่ดีต้องแสวงหาผลประโยชน์ให้บริวารและครอบครัว
ส่วนที่ออกมาวิจารณ์นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นผู้นำภาคนิยมนั้น นายสาธิต กล่าวว่า นายชวนไม่ได้เป็นผู้นำภาคนิยม แต่ความนิยมที่เกิดขึ้นเป็นแบบศรัทธานิยมที่ไม่ได้สร้างเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นว่าจ้างหรือจ้างวานใช้เงินซื้อเสียง แต่ความศรัทธาเกิดจากความสั่งสมการทำงาน อุทิศเพื่อประชาชนและประเทศชาติมาโดยตลอด นายชวนไม่เคยแสดงจุดยืนใดๆ ที่เป็นการแบ่งภาค และมีประชาชนให้ความนิยมทุกภูมิภาค จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประชาชน ซึ่งล่าสุดผู้ใหญ่ของพรรคไทยรักไทยได้ขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีการทำงาน ของนายชวนว่าไม่เคยทำอะไรให้คนในท้องถิ่นหรือจ.ตรังเลยแต่วันนี้กลับออกมาระบุว่าเป็นการสร้างภาคนิยมจึงไม่รู้ว่าพรรคไทยรักไทยเอาอะไรเป็นจุดยืนที่กลับไปกลับมา ดังนั้นความนิยมของนายกฯกับของนายชวนมันเทียบกันไม่ได้
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มบุคคลมาชุมนุมเรียกร้องให้ นายอภิสิทิ์ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปีเมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า ตนได้บันทึกเทปเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด และจากการตรวจ สอบบุคคลและวิธีการพูดของกลุ่มคนเหล่านี้ตรงกับวิธีพูดของพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะ โฆษกพรรค ซึ่งคนที่เป็นแกนนำเป็นคนๆ เดียวกันกับที่ไปปิดล้อมสำนักพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งแกนนำคนนี้มีภูมิลำเนาบ้านเดียวกับโฆษกพรรคไทยรักไทย ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้จักดี ในนาม “เป๋ คลองเตย” จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำของกลุ่มคนหรือของพรรคไทยรักไทยเป็นเพียงความต้องการเพื่อดิสเครดิต พรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตำหนินักการเมือง บางพรรคหรือกลุ่มบุคคล ที่นำกระแสพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา เพียงบางส่วนไปให้ร้ายป้ายสี ทำลายคนอื่น ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้เป็นการน้อมรับกระแสพระราชดำรัสด้วยความจริงใจ อีกทั้งจะทำให้เกิดวิกฤติ บ้านเมืองเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ตามในขณะนี้อยากให้ทุกคนรอคำพิจารณาของทั้ง 3 ศาลก่อน ซึ่งตรงนี้จะเป็นแนวการช่วยเหลือสถานการณ์บ้านเมืองให้ราบรื่น ลดวิกฤติให้คลี่คลายลงไม่ตรึงเครียดเหมือนในอดีต
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ ได้มอบหมายให้คณะทำงานของพรรค ไปเร่งสรุปนโยบายต่างๆ ให้ออกมาเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เพื่อจัดทำเป็นนโยบาย สำหรับการเลือกตั้ง ที่ อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ โดยพรรคจะเอาประชาชนเป็นศุนย์กลางการทำงาน ตรงนี้ไม่ใช่วาระสวยหรู แต่สามารถนำมาปฎิบัติได้จริง
“ครึ่งปีที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ นายกฯ ทำตัวเป็นภาระประชาชน จนถึงตอนนี้ ก็อยากฝากถึงนายกฯ แม้ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ จะเป็นรักษาการนายกฯซึ่งปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ท่านในฐานะนายกฯก็ควรจะเข้ามาแก้ไขปัญหาไม่ใช่ทำตัวเป็นภาระสังคม”
น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย แถลงถึงการประกาศจุดยืนของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่29เม.ย.ว่า นโนบายต่างๆ ที่นายอภิสิทธิ์พูดเป็นการลอกนโยบายพรรคไทยรักไทยไปดำเนินการ สิ่งที่น่าแปลก คือพรรคประชาธิปัตย์เชิญทูตจากประเทศต่างๆ ไปฟังนายอภิสิทธิ์ด่ารัฐบาลและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ทั้งๆ ที่ น่าจะพูดสิ่งที่เป็นด้านบวกกับประทศ การทำแบบนี้เท่ากับนำเรื่องในบ้านไปพูดข้างนอกบ้าน ทั้งๆที่ขณะนี้บ้านเมืองต้องการความสมานฉันท์
สำหรับจุดยืน 3 เรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ประกาศนั้นแตกต่างกับจุดยืนเดิม ที่เคยประกาศไว้คือ1.นโยบายประชานิยมที่พรรคประชาธิปัตย์พูดมาตลอดว่าไม่สนับสนุนจนประชาชนคิดไปในทางลบหมดแล้ว วันนี้นายอภิสิทธิ์กลับบอกว่าจะต่อยอด โครงการ30 บาทรักษาทุกโรค เอสเอ็มแอลและกองทุนหมู่บ้านให้ดีขึ้น นโยบายเหล่านี้พรรคไทยรักไทยคิดได้ตั้งแต่ตั้งพรรคได้เพียง1ปี แต่พรรคประชาธิปัตย์อายุ 60 กว่าปีกลับงัวเงียมาบอกว่าจะต่อยอดยโยบายเหล่านี้ให้ดีขึ้น ขอถามว่า พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนหรือปฏิเสธนโยบายประชานิยมกันแน่
2.การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ในช่วงที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ประกาศชัดเจนว่า ต่อต้านและไม่ยอมรับ ทั้งๆ ที่ในสมัยรัฐบาลชวน 2 เคยแถลงต่อรัฐสภาเมื่อปี2540 ว่าจะเร่งแปรรูปรัฐวิสหกิจ จนมีการเสนอ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสหากิจขึ้น ทำให้พนักงานรัฐวิสาหกิจออกมาต่อต้านที่ลานพระบรามรูปทรงม้าและกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ขายชาติ แต่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์กลับเปลี่ยนไปเพียงเพื่อต้องการคะแนนเสียง ทางการเมือง
3. การดำเนินการตามระบอบรัฐธรรมนุญและประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์พูดหลายครั้งว่าหากมีการยุบสภาถือเป็นกลไกปกติของระบอบประชาธิปไตย และพร้อมเสมอสำหรับการเลือกตั้ง วันนี้นายอภิสิทธิ์พูดย้อนไปจุดยืนเดิมอีกคือ พร้อมเป็น นายกฯและพร้อมเลือกตั้ง ขอย้อนถามว่าพรรคไทยรักไทยเรียกร้องให้ดำเนินการในระบอบประชาธิปไตย แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับบอยคอตเลือกตั้ง หากเกิดการเลือกตั้งครั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์จะเปลี่ยนคำพูดไปมาเหมือนในช่วงที่ผ่านมาอีกหรือไม่ แล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีก
ขณะที่ นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ทีมโฆษก พรรคไทยรักไทยออกมาระบุว่านายอภิสิทธิ์ ไร้จิตวิญญาณประชาธิปไตยว่า ตลอดเวลา15 ปีที่ผ่านมา ในการทำงานทางการเมือง ของนายอภิสิทิ์ ไม่เคยกระทำการใดๆ นอกเหนือการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการดำเนินการทุกครั้งทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ แต่ตรงกันข้ามผู้นำที่ไม่มี จิตวิญญาณคือ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง เพราะเคยประกาศจุดยืนกับประชาชนว่าประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการขึ้นสู่อำนาจเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะขึ้นไปสู่การแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งผู้นำที่ดีต้องแสวงหาผลประโยชน์ที่ดีให้กับประชาชนและประเทศชาติ ส่วนผู้นำที่ไม่ดีต้องแสวงหาผลประโยชน์ให้บริวารและครอบครัว
ส่วนที่ออกมาวิจารณ์นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นผู้นำภาคนิยมนั้น นายสาธิต กล่าวว่า นายชวนไม่ได้เป็นผู้นำภาคนิยม แต่ความนิยมที่เกิดขึ้นเป็นแบบศรัทธานิยมที่ไม่ได้สร้างเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นว่าจ้างหรือจ้างวานใช้เงินซื้อเสียง แต่ความศรัทธาเกิดจากความสั่งสมการทำงาน อุทิศเพื่อประชาชนและประเทศชาติมาโดยตลอด นายชวนไม่เคยแสดงจุดยืนใดๆ ที่เป็นการแบ่งภาค และมีประชาชนให้ความนิยมทุกภูมิภาค จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประชาชน ซึ่งล่าสุดผู้ใหญ่ของพรรคไทยรักไทยได้ขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีการทำงาน ของนายชวนว่าไม่เคยทำอะไรให้คนในท้องถิ่นหรือจ.ตรังเลยแต่วันนี้กลับออกมาระบุว่าเป็นการสร้างภาคนิยมจึงไม่รู้ว่าพรรคไทยรักไทยเอาอะไรเป็นจุดยืนที่กลับไปกลับมา ดังนั้นความนิยมของนายกฯกับของนายชวนมันเทียบกันไม่ได้
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มบุคคลมาชุมนุมเรียกร้องให้ นายอภิสิทิ์ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปีเมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมาว่า ตนได้บันทึกเทปเหตุการณ์ไว้ทั้งหมด และจากการตรวจ สอบบุคคลและวิธีการพูดของกลุ่มคนเหล่านี้ตรงกับวิธีพูดของพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะ โฆษกพรรค ซึ่งคนที่เป็นแกนนำเป็นคนๆ เดียวกันกับที่ไปปิดล้อมสำนักพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งแกนนำคนนี้มีภูมิลำเนาบ้านเดียวกับโฆษกพรรคไทยรักไทย ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้จักดี ในนาม “เป๋ คลองเตย” จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำของกลุ่มคนหรือของพรรคไทยรักไทยเป็นเพียงความต้องการเพื่อดิสเครดิต พรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตำหนินักการเมือง บางพรรคหรือกลุ่มบุคคล ที่นำกระแสพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา เพียงบางส่วนไปให้ร้ายป้ายสี ทำลายคนอื่น ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะไม่ได้เป็นการน้อมรับกระแสพระราชดำรัสด้วยความจริงใจ อีกทั้งจะทำให้เกิดวิกฤติ บ้านเมืองเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ตามในขณะนี้อยากให้ทุกคนรอคำพิจารณาของทั้ง 3 ศาลก่อน ซึ่งตรงนี้จะเป็นแนวการช่วยเหลือสถานการณ์บ้านเมืองให้ราบรื่น ลดวิกฤติให้คลี่คลายลงไม่ตรึงเครียดเหมือนในอดีต
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ ได้มอบหมายให้คณะทำงานของพรรค ไปเร่งสรุปนโยบายต่างๆ ให้ออกมาเป็นรูปธรรมจับต้องได้ เพื่อจัดทำเป็นนโยบาย สำหรับการเลือกตั้ง ที่ อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ โดยพรรคจะเอาประชาชนเป็นศุนย์กลางการทำงาน ตรงนี้ไม่ใช่วาระสวยหรู แต่สามารถนำมาปฎิบัติได้จริง
“ครึ่งปีที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ นายกฯ ทำตัวเป็นภาระประชาชน จนถึงตอนนี้ ก็อยากฝากถึงนายกฯ แม้ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ จะเป็นรักษาการนายกฯซึ่งปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ท่านในฐานะนายกฯก็ควรจะเข้ามาแก้ไขปัญหาไม่ใช่ทำตัวเป็นภาระสังคม”