รัฐบาล “หุ่นเชิดเผด็จการ”ปฎิบัติการเย้ยคำสั่งศาลปกครอง สั่งกรมกร๊วกแจ้งความเอาผิดASTV อีก ขณะที่ม็อบเชลียร์โผล่ที่ทำเนียบเร่งนายกฯหุ่นเชิดจัดการ “สนธิ” สื่อเผยพฤติกรรมสุดกร่าง สติแตกเห็นสติกเกอร์ไล่ทักษิณแล้วร้อนแทนแม้ว ชี้หน้าปล่อยคำหยาบ ด่าทอสื่อถึงรังนกกระจอก ด้าน “ชิดชัย” ให้ท้ายบอกเป็นพฤติกรรมสุดรักชาติ ปากแข็งไม่ยอมรับการเมืองแทรกสั่งเช็คบิล ทนายความ “สนธิ” แจ้งเลื่อนการให้ปากคำตามเกมรัฐบาล เชื่อเหตุออกหมายเรียกเป็นการใช้อำนาจรัฐเล่นงานทั้งที่ลูกความไม่มีความผิด แกนนำพันธมิตรฯขึ้นบัญชีดำข้าราชการทำตัวสนองทรราช ประกาศเตรียมชูธงหลัง 17 เม.ย.ลุยพบประชาชนต้านระบอบทักษิณ
ปฎิบัติการใช้อำนาจรัฐคุกคามสื่อของรัฐบาลรักษาการพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากเร่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินคดีกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถูกกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จัดฉากล่อซื้อวีซีดีการปราศรัยบนเวทีการชุมนุมพันธมิตรฯ รวมทั้ง สั่งให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้หาหลักฐานเอาผิดไร่ปฎิบัติธรรมนางแล อ.เมือง จ.เชียงรายเพื่อโยงใยให้ถึงตัวนายสนธิ แม้ไม่เกี่ยวข้องก็ตาม
**ถึงคิวกรมกร๊วกคุกคามเอเอสทีวี
ล่าสุด รายงานข่าวแจ้งว่า กรมประชาสัมพันธ์โดยนายอานนท์ ลอยกุลนันท์ ผู้รับมอบอำนาจได้เข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม กล่าวหา บริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด ได้ร่วมกันตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เอเอสทีวี หรือ ASTV ดำเนินบริการส่งวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์เพื่อให้บริการแก่สาธารณะหรือชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตระหว่างเดือนกันยายน 2548 ถึงปัจจุบัน
ต่อมา พ.ต.อ.วิชาญ บริรักษ์กุล ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ได้ลงนามเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ในหมายเรียกความอาญา เรียก นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ในฐานะกรรมการบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม ไปที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ฉัตรา พาสุวรรณ รอง ผกก.(สส.) ในวันที่ 17 เมษายน 2549 เวลา 13.30 น.
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความบริษัทไทยเดย์ ดอทคอม จำกัด เปิดเผยถึงการออกหมายเรียกดังกล่าวว่า ตนจะขอเลื่อนการเข้าพบกับพนักงานสอบสวนออกไปก่อน ส่วนจะเดินทางไปในวันใด จะประสานกับพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นายสุวัตร กล่าวว่า คดีนี้จะนำคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครอง ยกเป็นข้อต่อสู้ เพราะการดำเนินกิจการของ ASTV ได้ทำอย่างถูกต้อง และไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวหาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สำหรับความพยายามคุกคามสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV และเว็บไชต์ผู้จัดการ เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ ศาลปกครองได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามระงับการให้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียม จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
**ชิดชัยอ้างตำรวจเร่งคดี “สนธิ”เอง
พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า รู้เท่าที่ปรากฎในสื่อ ส่วนการออกหมายเรียก ในช่วงการเมืองร้อนระอุจะเป็นการทำลายความสมานฉันท์หรือไม่นั้น พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจ ส่วนจะเร่งให้เร็วขึ้นหรือไม่นั้นก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯระบุว่าเป็นการกลั่นแกล้ง พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า ไม่หรอกเพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ไปพิสูจน์กันตามกระบวนการยุติธรรมในศาล ส่วนเรื่องหลักฐานนั้นตนไม่ได้เข้าไปดู และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้มารายงานเรื่องนี้มาที่ตน ดังนั้นต้องไปถามตำรวจ
เมื่อถามว่าหลักฐานแน่นหนาจะออกหมายจับได้หรือไม่
“ไม่ทราบ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย คุยเรื่องอื่นดีกว่า อย่าคุยเรื่องนี้เลย” พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าว
สำหรับประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมือง พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า อย่าไปคิดว่าเป็นประเด็นการเมืองเพราะไม่ยุ่งอยู่แล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการ เมื่อมีการทำผิดมีคนแจ้งความเยอะ เจ้าหน้าที่ก็ต้องไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
ส่วนขณะนี้มีการวิจารณ์ว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลโจหลุยส์ หรือ รัฐบาลหุ่นเชิด พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า ไม่มีหรอก คิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์อะไร ต้องให้เกียรติ ให้เครดิตกัน ต้องระมัดระวัง ซึ่งเชื่อว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดอยู่แล้ว
**กลุ่มเชลียร์แม้วสุดกร่างบุกทำเนียบด่าสื่อ
ในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ทำเนียบรัฐบาลได้มีตัวแทนประชาชนในนามชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ประมาณ 30 คน ระบุว่า เป็นตัวแทนพลังเงียบมาจากเขตตลิ่งชัน กทม. มารอยื่นหนังสือและมอบดอกไม้ต่อ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ปฏิบัติราชการแทนรักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้เร่งรัดดำเนินคดีกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และหนังสือพิมพ์คมชัดลึก
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างที่ตัวแทนชมรมฯ รอเวลาจะเข้าพบ พล.ต.อ.ชิดชัย ที่ห้องรับรอง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 นั้น นายปกรณ์ บูรณุปกรณ์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม และว่าที่ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 พรรคไทยรักไทย ได้พากลุ่มคนดังกล่าว เดินมานั่งพักอยู่บริเวณรอบห้องทำงานผู้สื่อข่าวหลังเก่า ขณะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ได้สังเกตเห็นสติ๊กเกอร์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คำว่า “ทักษิณ ออกไป” และคำว่า “โกงชาติ โกงแผ่นดิน” ที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง ซึ่งติดอยู่บริเวณกระจกของห้องทำงานนักข่าว ตัวแทนชมรมฯ หลายคนได้แสดงอาการไม่พอใจ โดยได้เคาะกระจก และชี้หน้า ตะโกนด่าผู้สื่อข่าวที่อยู่ภายในห้องด้วยถ้อยคำที่รุนแรง พร้อมกับพยายามดึงสติ๊กเกอร์ออก
ขณะนั้นผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้สอบถามตัวแทนชมรมว่าจะทำอะไร กลุ่มชมรมฯกลับตะโกนขึ้นว่า “ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเหรอ มีสิทธิอะไรเอาสติ๊กเกอร์มาติดแบบนี้”
หลังจากนั้นเริ่มมีการปะทะคารมกันระหว่างตัวแทนชมรมฯ กับผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาล ซึ่งทางชมรมฯเริ่มใช้คำที่รุนแรง หยาบคายมากขึ้นและมีท่าทีคุกคามมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า เมื่อผู้สื่อข่าวที่อยู่ภายในห้องเห็นว่าสถานการณ์จะเริ่มรุนแรงขึ้น จึงได้ติดต่อเลขานุการของพล.ต.อ.ชิดชัย ให้เข้ามาดูแลจัดการนำคนกลุ่มเหล่านี้ไปรอที่ห้องรับรองแทน ระหว่างนั้น ตำรวจประจำตึกบัญชาการ และตำรวจสันติบาลส่วนหนึ่ง เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงได้เข้ามากันกลุ่มชมรมฯออกไปจากบริเวณห้องผู้สื่อข่าว แต่มีบางคนไม่ยอมยังตะโกนด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคายอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องล็อคตัวและดึงออกไป
**ชิดชัยให้ท้ายบอก “กร่าง” รักชาติ
จากนั้นเวลา 12.10 น. พล.ต.อ.ชิดชัย ได้เดินทางมาถึงตึกบัญชาการ เพื่อเข้ารับหนังสือ และช่อดอกไม้จากตัวแทนชมรมฯ เพื่อเร่งรัดการจับกุมผู้กระทำผิด หลังจากที่ทางชมรมฯได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และปลุกปั่น ยุยง ล้มล้างระบบการปกครอง มาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ซึ่งจนถึงขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้ทำการจับกุมนายสนธิและพวก ที่ทำความเสียหายให้กับประเทศโดยส่วนรวม จึงขอเรียกร้องในฐานะที่ พล.ต.อ.ชิดชัย ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี สั่งการเพื่อให้มีการจับกุมนายสนธิและพวกทันที
พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า สิ่งที่ผ่านมารัฐบาลพยายามประคับประคองความปรองดอง สมานฉันท์ ให้เกิดขึ้น รวมทั้งการรักษาประชาธิปไตยไว้ ส่วนการดำเนินคดีนั้นเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขณะนี้มีการรวบรวมพยานหลักฐานได้มาก ถึงขั้นออกหมายเรียก ซึ่งเป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่ใช่ว่าจะไปออกหมายจับได้เลย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ขอบคุณที่ทุกคนมาให้กำลังใจ
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีกลุ่มชมรมฯแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมบริเวณห้องนักข่าว โดยมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า “เหรอ อย่าไปโกรธเขาสิ อย่าไปคิดว่าเขาใช้คำรุนแรง สื่อต้องอดทน อดกลั้น กลุ่มนี้เขาเป็นกลุ่มคนมีความรู้นะ เขาก็รักประเทศเขา อย่าไปคิดอะไรมาก” เมื่อถามต่อว่าแต่การกระทำอย่างนี้ถือเป็นการข่มขู่ คุกคาม พล.ต.อ.ชิดชัย ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้
**คปส.ชี้รัฐบาลคุกคามสื่อหนักข้อขึ้น
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฎิรูปสื่อ (คปส.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มที่อ้างตัวว่ามาจากชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ประมาณ 30 คน เข้าร้องเรียนว่าต่อ พล.ต.อ. ชิดชัย เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดนายสนธิ ว่า เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการคุกคามสื่อเริ่มหนักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลกำลังสูญเสียอำนาจหรือมีผู้ประกาศยืนอยู่ตรงข้ามอย่างชัดเจน ผู้มีอำนาจก็มักจะเล่นงานทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการดึงสถาบันที่มีความอ่อนไหวต่อสังคมไทยมายั่วยุสร้างความแตกแยกและดิสเครดิต ดังนั้นสื่อมวลชนต้องหยัดยืนต่อสู้ในแบบอหิงสาไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง แต่ให้เสนอข่าวเพื่อเปิดข้อมูลกับประชาชนมากที่สุดและประชาชนจะปกป้องสื่อมวลชน
**ทนายยันรัฐใช้อำนาจรัฐเล่นงานสนธิ
ด้าน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายสนธิ เปิดเผยถึง หมายเรียกที่ตำรวจขอให้นายสนธิ เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 17 เม.ย.นี้ว่า เป็นการออกหมายเรียกไปสอบปากคำตามปกติ ซึ่งหลังจากได้รับหมายเรียกแล้วได้ประสานไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำออกไปก่อน เพราะขณะนี้นายสนธิติดภารกิจอยู่ที่ประเทศจีน ส่วนจะเลื่อนไปเป็นวันที่เท่าใดนั้นจะต้องรอหารือกับนายสนธิอีกครั้ง
นายสุวัตร ยืนยันว่า การกล่าวหานายสนธิในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจรัฐเล่นงานนายสนธิ และยืนยันว่าคำพูดที่นายสนธิปราศรัยนั้นก็ไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และขณะนี้ได้เตรียมพยานหลักฐานไว้พร้อมที่จะต่อสู้คดีให้นายสนธิแล้ว สำหรับนายสนธิยังถือเป็นผู้ถูกกล่าวหา ไม่ใช่ผู้ต้องหา ถึงแม้จะมีการออกหมายเรียกแล้วก็ตาม แต่พนักงานสอบสวนยังไม่มีการแจ้งข้อหาแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การที่นายสนธิถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้มอบอำนาจให้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกลับเป็นรายบุคคลที่กล่าวหานายสนธิในเรื่องนี้แล้ว อาทิ นายเนวิน ชิดชอบ รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
**ตร.ให้เลื่อนสอบปากคำ
พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.ก. กล่าวว่า นายสนธิ ได้ให้ทนายความติดต่อไปยังพนักงานสอบสวน กองปราบปราม เพื่อขอเลื่อนนัดออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยยังติดภารกิจที่ประเทศจีน ทำให้มาพบพนักงานสอบไม่ได้ จึงได้ให้ทนายความของนายสนธิ ทำหนังสือแจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมกำหนดวันเวลาที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมหลักฐานตามที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษกว่า 100 ราย พบว่าคดีมีมูลและปรากฏหลักฐานการกระทำความผิดชัดเจนทั้งภาพและเสียงสัมภาษณ์นายสนธิ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะให้โอกาสออกหมายเรียก 2 ครั้ง หากไม่มาตามนัดหมาย จะทำเรื่องเสนอศาลอนุมัติออกหมายจับทันที
ทั้งนี้พนักงานสอบสวนยังออกหมายเรียกนายเฉลียว คงสุข บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.คม ชัด ลึก มารับทราบข้อกล่าวหาเดียวกันด้วย แต่จนถึงขณะนี้นายเฉลียว ยังไม่ติดต่อกลับว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามที่นัดหมายหรือไม่ สำหรับสำนวนการร้องทุกข์กล่าวโทษนายสนธิ กับ นสพ.คม ชัด ลึก พนักงานสอบสวนรวมเป็นสำนวนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ระวางโทษจำคุก 3 -15 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
**ขึ้นบัญชีดำข้าราชการรับใช้ทรราช
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการดำเนินการของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ผ่านมา ส่งผลให้เหล่าแกนนำถูกฝ่ายรัฐบาลเตรียมเล่นงานด้วยการใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการ ว่า ขณะนี้ตนไม่รู้สึกแปลกใจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ได้เร่งตั้งข้อหาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในหลายๆ ข้อหา การที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายรู้ดีว่า อำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรยังมีอยู่เต็มเปี่ยม แม้จะประกาศเว้นวรรคไปแล้วก็ตาม ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้บรรดาข้าราชการที่ประเภทแต่ละวันไม่ทำงาน แต่ชอบไปประจบสอพลอฝ่ายการเมือง เพื่อหวังเลื่อนตำแหน่งได้มาแข่งกันสร้างผลงานหรือเอาใจนายเท่านั้น
“ผมสังเกตได้ว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ สปก. กรมป่าไม้ มั่วแข่งกันสนองพระเดชพระคุณ พ.ต.ท.ทักษิณกันอย่างเต็มที่ และนายตำรวจบางคนที่แต่ละวันไม่ทำอะไร กลับออกมาทำหน้าหน้าที่ปล่อยข่าวปั้นข้อหาแกนนำพันธมิตรแบบวันต่อวัน ก็ยังไม่เคยออกหมายเรียกเป็นทางการซักทีเพื่อปล่อยข่าวทำลายความน่าเชื่อถือของแกนนำพันธมิตรอีก” นายสุริยะใส กล่าวและว่า มีผู้ที่ประสงค์ดีกระซิบบอกข่าววงในว่า ทางตำรวจเตรียมการปั้นข้อหา 4 ประเภทให้กับเหล่าแกนนำพันธมิตร คือ 1. ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง 2.ข้อหาความผิดกฎหมายจราจร 3. ข้อหารุกที่ สปก. 4. ข้อหาหมิ่นประมาท
นอกจากนั้นทาง สตช. ยังได้ตั้งทีมสอบสวนขึ้นมาชุดหนึ่งเป็นการเฉพาะเพื่อปั้นข้อหาแกนนำทุกๆ คน ก็อยากจะบอกไปยังเจ้าหน้าที่ว่า อย่าตกเป็นเครื่องมือฝ่ายการเมือง เพราะเมื่อฟ้าเปลี่ยนสี หรืออำนาจเปลี่ยนมือท่านจะอยู่ลำบาก อย่าลืมว่า อำนาจทางการเมืองเปลี่ยนขั้วได้ตลอดเวลา อยากจะบอกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเช่นกัน วันนี้ทางพันธมิตรก็ได้ทำบัญชีดำเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่ไม่ยอมทำงาน เอาแต่สอพลอเอาใจนายหรือมุ่งมั่นสนองกิเลสฝ่ายการเมือง อย่างไรก็ตามทางแกนนำพันธมิตรฯ ทุกคนพร้อมจะต่อสู้ในชั้นศาลอยู่แล้ว การที่ทางพันธมิตรที่ทำบัญชีขึ้นมาเช่นกันนั้น ต้องขอบอกว่า ไม่ใช่เพื่อแก้แค้น แต่เห็นว่า ท่านใช้อำนาจมิชอบและความผิดที่ท่านทำก็มีอายุความเช่นกัน
นายสุริยะใส กล่าวถึงกิจกรรมของทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเรื่องของการเคลื่อนไหว ในโอกาสต่อไปภายหลังเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนเป็นต้นไปนั้น จะเป็นการเดินสายจัดเวทีชุมนุมใหญ่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ โดยจะเน้นการอธิบายให้ข้อมูลกับประชาชนในต่างจังหวัดได้เข้าใจ และเห็นอันตรายของระบอบทักษิณ รวมถึงชูธงแนวทางการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 พร้อมกับใช้โอกาสดังกล่าวรับฟังเตรียมความคิดของภาคประชาชนว่า ทิศทางในการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนได้ประโยชน์คืออะไร โดยในหลายๆ จังหวัดทางแกนนำพันธมิตรทั้ง 5 คนจะเดินทางไปร่วมเวทีพบปะประชาชนด้วย
“ผมทราบมาว่า มีการเตรียมนำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ในจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ภาคใต้ ที่ ตรัง นครศรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ภาคตะวันออกที่ ระยอง สระแก้ว ตราด ภาคอีสาน นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น ภาคเหนือเช่น นครสวรรค์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เป็นต้น คาดว่าภายใน 2-3 วันปฏิทินกิจกรรมเหล่านี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น”
**สุดารัตน์กัดไม่ปล่อยไร่นางแล
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน สปก. ไร่ปฎิบัติธรรมนางแล ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ว่า ได้รับรายงานจากกรมป่าไม้ ว่าพิกัดที่ดินดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ที่จะออกเอกสารสิทธิ สปก. ได้ ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ตรวจสอบว่าเป็นไปตามข้อมูลที่กรมป่าไม้รายงานมาหรือไม่ และหากพบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ สปก. โดยที่ไม่มีคุณสมบัตินั้น ก็จะดำเนินการสอบสวนเพื่อเพิกถอนสิทธิในที่ดิน และเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนเรื่องคุณสมบัติของผู้ถือครองกรรมสิทธิ์นั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะต้องตรวจสอบ รวมทั้งยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือไม่
นายสุนทร วัชรกุลดิลก เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 8 หัวหน้าชุดตรวจค้น เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนยังอยู่ที่กรมป่าไม้ กรุงเทพฯ และกำลังให้เจ้าหน้าที่ทำแผนที่สวนป่าไม้สัก แผนที่กฎกระทรวง เพื่อเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญของศาลพิจารณา หากมีความเห็นว่าผิดก็จะมีการนำหลักฐานเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ต.ย่อยบ้านดู่ ทันที
ปฎิบัติการใช้อำนาจรัฐคุกคามสื่อของรัฐบาลรักษาการพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากเร่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินคดีกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถูกกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จัดฉากล่อซื้อวีซีดีการปราศรัยบนเวทีการชุมนุมพันธมิตรฯ รวมทั้ง สั่งให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้หาหลักฐานเอาผิดไร่ปฎิบัติธรรมนางแล อ.เมือง จ.เชียงรายเพื่อโยงใยให้ถึงตัวนายสนธิ แม้ไม่เกี่ยวข้องก็ตาม
**ถึงคิวกรมกร๊วกคุกคามเอเอสทีวี
ล่าสุด รายงานข่าวแจ้งว่า กรมประชาสัมพันธ์โดยนายอานนท์ ลอยกุลนันท์ ผู้รับมอบอำนาจได้เข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม กล่าวหา บริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด ได้ร่วมกันตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม เอเอสทีวี หรือ ASTV ดำเนินบริการส่งวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์เพื่อให้บริการแก่สาธารณะหรือชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาตระหว่างเดือนกันยายน 2548 ถึงปัจจุบัน
ต่อมา พ.ต.อ.วิชาญ บริรักษ์กุล ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ได้ลงนามเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ในหมายเรียกความอาญา เรียก นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ในฐานะกรรมการบริษัท ไทยเดย์ ด็อทคอม ไปที่ สน.ชนะสงคราม เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ฉัตรา พาสุวรรณ รอง ผกก.(สส.) ในวันที่ 17 เมษายน 2549 เวลา 13.30 น.
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความบริษัทไทยเดย์ ดอทคอม จำกัด เปิดเผยถึงการออกหมายเรียกดังกล่าวว่า ตนจะขอเลื่อนการเข้าพบกับพนักงานสอบสวนออกไปก่อน ส่วนจะเดินทางไปในวันใด จะประสานกับพนักงานสอบสวนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นายสุวัตร กล่าวว่า คดีนี้จะนำคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครอง ยกเป็นข้อต่อสู้ เพราะการดำเนินกิจการของ ASTV ได้ทำอย่างถูกต้อง และไม่ได้เป็นไปตามที่ถูกกรมประชาสัมพันธ์ กล่าวหาแต่อย่างใด
ทั้งนี้ สำหรับความพยายามคุกคามสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV และเว็บไชต์ผู้จัดการ เคยเกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ ศาลปกครองได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามระงับการให้บริการสื่อสารผ่านดาวเทียม จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
**ชิดชัยอ้างตำรวจเร่งคดี “สนธิ”เอง
พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า รู้เท่าที่ปรากฎในสื่อ ส่วนการออกหมายเรียก ในช่วงการเมืองร้อนระอุจะเป็นการทำลายความสมานฉันท์หรือไม่นั้น พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจ ส่วนจะเร่งให้เร็วขึ้นหรือไม่นั้นก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯระบุว่าเป็นการกลั่นแกล้ง พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า ไม่หรอกเพราะเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ไปพิสูจน์กันตามกระบวนการยุติธรรมในศาล ส่วนเรื่องหลักฐานนั้นตนไม่ได้เข้าไปดู และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้มารายงานเรื่องนี้มาที่ตน ดังนั้นต้องไปถามตำรวจ
เมื่อถามว่าหลักฐานแน่นหนาจะออกหมายจับได้หรือไม่
“ไม่ทราบ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย คุยเรื่องอื่นดีกว่า อย่าคุยเรื่องนี้เลย” พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าว
สำหรับประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องการเมือง พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า อย่าไปคิดว่าเป็นประเด็นการเมืองเพราะไม่ยุ่งอยู่แล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการ เมื่อมีการทำผิดมีคนแจ้งความเยอะ เจ้าหน้าที่ก็ต้องไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
ส่วนขณะนี้มีการวิจารณ์ว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลโจหลุยส์ หรือ รัฐบาลหุ่นเชิด พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า ไม่มีหรอก คิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์อะไร ต้องให้เกียรติ ให้เครดิตกัน ต้องระมัดระวัง ซึ่งเชื่อว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดอยู่แล้ว
**กลุ่มเชลียร์แม้วสุดกร่างบุกทำเนียบด่าสื่อ
ในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ทำเนียบรัฐบาลได้มีตัวแทนประชาชนในนามชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ประมาณ 30 คน ระบุว่า เป็นตัวแทนพลังเงียบมาจากเขตตลิ่งชัน กทม. มารอยื่นหนังสือและมอบดอกไม้ต่อ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ปฏิบัติราชการแทนรักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้เร่งรัดดำเนินคดีกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และหนังสือพิมพ์คมชัดลึก
รายงานข่าวแจ้งว่า ระหว่างที่ตัวแทนชมรมฯ รอเวลาจะเข้าพบ พล.ต.อ.ชิดชัย ที่ห้องรับรอง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 นั้น นายปกรณ์ บูรณุปกรณ์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม และว่าที่ส.ส.เชียงใหม่ เขต 1 พรรคไทยรักไทย ได้พากลุ่มคนดังกล่าว เดินมานั่งพักอยู่บริเวณรอบห้องทำงานผู้สื่อข่าวหลังเก่า ขณะนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ได้สังเกตเห็นสติ๊กเกอร์ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คำว่า “ทักษิณ ออกไป” และคำว่า “โกงชาติ โกงแผ่นดิน” ที่ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง ซึ่งติดอยู่บริเวณกระจกของห้องทำงานนักข่าว ตัวแทนชมรมฯ หลายคนได้แสดงอาการไม่พอใจ โดยได้เคาะกระจก และชี้หน้า ตะโกนด่าผู้สื่อข่าวที่อยู่ภายในห้องด้วยถ้อยคำที่รุนแรง พร้อมกับพยายามดึงสติ๊กเกอร์ออก
ขณะนั้นผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้สอบถามตัวแทนชมรมว่าจะทำอะไร กลุ่มชมรมฯกลับตะโกนขึ้นว่า “ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐเหรอ มีสิทธิอะไรเอาสติ๊กเกอร์มาติดแบบนี้”
หลังจากนั้นเริ่มมีการปะทะคารมกันระหว่างตัวแทนชมรมฯ กับผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำทำเนียบรัฐบาล ซึ่งทางชมรมฯเริ่มใช้คำที่รุนแรง หยาบคายมากขึ้นและมีท่าทีคุกคามมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า เมื่อผู้สื่อข่าวที่อยู่ภายในห้องเห็นว่าสถานการณ์จะเริ่มรุนแรงขึ้น จึงได้ติดต่อเลขานุการของพล.ต.อ.ชิดชัย ให้เข้ามาดูแลจัดการนำคนกลุ่มเหล่านี้ไปรอที่ห้องรับรองแทน ระหว่างนั้น ตำรวจประจำตึกบัญชาการ และตำรวจสันติบาลส่วนหนึ่ง เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี จึงได้เข้ามากันกลุ่มชมรมฯออกไปจากบริเวณห้องผู้สื่อข่าว แต่มีบางคนไม่ยอมยังตะโกนด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคายอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องล็อคตัวและดึงออกไป
**ชิดชัยให้ท้ายบอก “กร่าง” รักชาติ
จากนั้นเวลา 12.10 น. พล.ต.อ.ชิดชัย ได้เดินทางมาถึงตึกบัญชาการ เพื่อเข้ารับหนังสือ และช่อดอกไม้จากตัวแทนชมรมฯ เพื่อเร่งรัดการจับกุมผู้กระทำผิด หลังจากที่ทางชมรมฯได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และปลุกปั่น ยุยง ล้มล้างระบบการปกครอง มาเป็นเวลา 2 เดือนแล้ว ซึ่งจนถึงขณะนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ได้ทำการจับกุมนายสนธิและพวก ที่ทำความเสียหายให้กับประเทศโดยส่วนรวม จึงขอเรียกร้องในฐานะที่ พล.ต.อ.ชิดชัย ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี สั่งการเพื่อให้มีการจับกุมนายสนธิและพวกทันที
พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า สิ่งที่ผ่านมารัฐบาลพยายามประคับประคองความปรองดอง สมานฉันท์ ให้เกิดขึ้น รวมทั้งการรักษาประชาธิปไตยไว้ ส่วนการดำเนินคดีนั้นเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขณะนี้มีการรวบรวมพยานหลักฐานได้มาก ถึงขั้นออกหมายเรียก ซึ่งเป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่ใช่ว่าจะไปออกหมายจับได้เลย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ขอบคุณที่ทุกคนมาให้กำลังใจ
หลังจากนั้นผู้สื่อข่าวได้ถามถึงกรณีกลุ่มชมรมฯแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมบริเวณห้องนักข่าว โดยมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง พล.ต.อ.ชิดชัย กล่าวว่า “เหรอ อย่าไปโกรธเขาสิ อย่าไปคิดว่าเขาใช้คำรุนแรง สื่อต้องอดทน อดกลั้น กลุ่มนี้เขาเป็นกลุ่มคนมีความรู้นะ เขาก็รักประเทศเขา อย่าไปคิดอะไรมาก” เมื่อถามต่อว่าแต่การกระทำอย่างนี้ถือเป็นการข่มขู่ คุกคาม พล.ต.อ.ชิดชัย ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้
**คปส.ชี้รัฐบาลคุกคามสื่อหนักข้อขึ้น
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฎิรูปสื่อ (คปส.) กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มที่อ้างตัวว่ามาจากชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ประมาณ 30 คน เข้าร้องเรียนว่าต่อ พล.ต.อ. ชิดชัย เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดนายสนธิ ว่า เหตุการณ์นี้ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการคุกคามสื่อเริ่มหนักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลกำลังสูญเสียอำนาจหรือมีผู้ประกาศยืนอยู่ตรงข้ามอย่างชัดเจน ผู้มีอำนาจก็มักจะเล่นงานทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการดึงสถาบันที่มีความอ่อนไหวต่อสังคมไทยมายั่วยุสร้างความแตกแยกและดิสเครดิต ดังนั้นสื่อมวลชนต้องหยัดยืนต่อสู้ในแบบอหิงสาไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง แต่ให้เสนอข่าวเพื่อเปิดข้อมูลกับประชาชนมากที่สุดและประชาชนจะปกป้องสื่อมวลชน
**ทนายยันรัฐใช้อำนาจรัฐเล่นงานสนธิ
ด้าน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายสนธิ เปิดเผยถึง หมายเรียกที่ตำรวจขอให้นายสนธิ เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 17 เม.ย.นี้ว่า เป็นการออกหมายเรียกไปสอบปากคำตามปกติ ซึ่งหลังจากได้รับหมายเรียกแล้วได้ประสานไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อขอเลื่อนการเข้าให้ปากคำออกไปก่อน เพราะขณะนี้นายสนธิติดภารกิจอยู่ที่ประเทศจีน ส่วนจะเลื่อนไปเป็นวันที่เท่าใดนั้นจะต้องรอหารือกับนายสนธิอีกครั้ง
นายสุวัตร ยืนยันว่า การกล่าวหานายสนธิในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจรัฐเล่นงานนายสนธิ และยืนยันว่าคำพูดที่นายสนธิปราศรัยนั้นก็ไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และขณะนี้ได้เตรียมพยานหลักฐานไว้พร้อมที่จะต่อสู้คดีให้นายสนธิแล้ว สำหรับนายสนธิยังถือเป็นผู้ถูกกล่าวหา ไม่ใช่ผู้ต้องหา ถึงแม้จะมีการออกหมายเรียกแล้วก็ตาม แต่พนักงานสอบสวนยังไม่มีการแจ้งข้อหาแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การที่นายสนธิถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้มอบอำนาจให้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกลับเป็นรายบุคคลที่กล่าวหานายสนธิในเรื่องนี้แล้ว อาทิ นายเนวิน ชิดชอบ รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
**ตร.ให้เลื่อนสอบปากคำ
พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.ก. กล่าวว่า นายสนธิ ได้ให้ทนายความติดต่อไปยังพนักงานสอบสวน กองปราบปราม เพื่อขอเลื่อนนัดออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยยังติดภารกิจที่ประเทศจีน ทำให้มาพบพนักงานสอบไม่ได้ จึงได้ให้ทนายความของนายสนธิ ทำหนังสือแจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมกำหนดวันเวลาที่จะเข้าพบพนักงานสอบสวนด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการสืบสวนสอบสวนรวบรวมหลักฐานตามที่มีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษกว่า 100 ราย พบว่าคดีมีมูลและปรากฏหลักฐานการกระทำความผิดชัดเจนทั้งภาพและเสียงสัมภาษณ์นายสนธิ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะให้โอกาสออกหมายเรียก 2 ครั้ง หากไม่มาตามนัดหมาย จะทำเรื่องเสนอศาลอนุมัติออกหมายจับทันที
ทั้งนี้พนักงานสอบสวนยังออกหมายเรียกนายเฉลียว คงสุข บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.คม ชัด ลึก มารับทราบข้อกล่าวหาเดียวกันด้วย แต่จนถึงขณะนี้นายเฉลียว ยังไม่ติดต่อกลับว่าจะเข้าพบพนักงานสอบสวนตามที่นัดหมายหรือไม่ สำหรับสำนวนการร้องทุกข์กล่าวโทษนายสนธิ กับ นสพ.คม ชัด ลึก พนักงานสอบสวนรวมเป็นสำนวนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ระวางโทษจำคุก 3 -15 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
**ขึ้นบัญชีดำข้าราชการรับใช้ทรราช
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการดำเนินการของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ผ่านมา ส่งผลให้เหล่าแกนนำถูกฝ่ายรัฐบาลเตรียมเล่นงานด้วยการใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการ ว่า ขณะนี้ตนไม่รู้สึกแปลกใจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ได้เร่งตั้งข้อหาแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในหลายๆ ข้อหา การที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายรู้ดีว่า อำนาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรยังมีอยู่เต็มเปี่ยม แม้จะประกาศเว้นวรรคไปแล้วก็ตาม ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้บรรดาข้าราชการที่ประเภทแต่ละวันไม่ทำงาน แต่ชอบไปประจบสอพลอฝ่ายการเมือง เพื่อหวังเลื่อนตำแหน่งได้มาแข่งกันสร้างผลงานหรือเอาใจนายเท่านั้น
“ผมสังเกตได้ว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ สปก. กรมป่าไม้ มั่วแข่งกันสนองพระเดชพระคุณ พ.ต.ท.ทักษิณกันอย่างเต็มที่ และนายตำรวจบางคนที่แต่ละวันไม่ทำอะไร กลับออกมาทำหน้าหน้าที่ปล่อยข่าวปั้นข้อหาแกนนำพันธมิตรแบบวันต่อวัน ก็ยังไม่เคยออกหมายเรียกเป็นทางการซักทีเพื่อปล่อยข่าวทำลายความน่าเชื่อถือของแกนนำพันธมิตรอีก” นายสุริยะใส กล่าวและว่า มีผู้ที่ประสงค์ดีกระซิบบอกข่าววงในว่า ทางตำรวจเตรียมการปั้นข้อหา 4 ประเภทให้กับเหล่าแกนนำพันธมิตร คือ 1. ข้อหาหมิ่นเบื้องสูง 2.ข้อหาความผิดกฎหมายจราจร 3. ข้อหารุกที่ สปก. 4. ข้อหาหมิ่นประมาท
นอกจากนั้นทาง สตช. ยังได้ตั้งทีมสอบสวนขึ้นมาชุดหนึ่งเป็นการเฉพาะเพื่อปั้นข้อหาแกนนำทุกๆ คน ก็อยากจะบอกไปยังเจ้าหน้าที่ว่า อย่าตกเป็นเครื่องมือฝ่ายการเมือง เพราะเมื่อฟ้าเปลี่ยนสี หรืออำนาจเปลี่ยนมือท่านจะอยู่ลำบาก อย่าลืมว่า อำนาจทางการเมืองเปลี่ยนขั้วได้ตลอดเวลา อยากจะบอกเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเช่นกัน วันนี้ทางพันธมิตรก็ได้ทำบัญชีดำเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่ไม่ยอมทำงาน เอาแต่สอพลอเอาใจนายหรือมุ่งมั่นสนองกิเลสฝ่ายการเมือง อย่างไรก็ตามทางแกนนำพันธมิตรฯ ทุกคนพร้อมจะต่อสู้ในชั้นศาลอยู่แล้ว การที่ทางพันธมิตรที่ทำบัญชีขึ้นมาเช่นกันนั้น ต้องขอบอกว่า ไม่ใช่เพื่อแก้แค้น แต่เห็นว่า ท่านใช้อำนาจมิชอบและความผิดที่ท่านทำก็มีอายุความเช่นกัน
นายสุริยะใส กล่าวถึงกิจกรรมของทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในเรื่องของการเคลื่อนไหว ในโอกาสต่อไปภายหลังเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนเป็นต้นไปนั้น จะเป็นการเดินสายจัดเวทีชุมนุมใหญ่ในจังหวัดต่างๆ เพื่อต่อต้านระบอบทักษิณ โดยจะเน้นการอธิบายให้ข้อมูลกับประชาชนในต่างจังหวัดได้เข้าใจ และเห็นอันตรายของระบอบทักษิณ รวมถึงชูธงแนวทางการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 พร้อมกับใช้โอกาสดังกล่าวรับฟังเตรียมความคิดของภาคประชาชนว่า ทิศทางในการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนได้ประโยชน์คืออะไร โดยในหลายๆ จังหวัดทางแกนนำพันธมิตรทั้ง 5 คนจะเดินทางไปร่วมเวทีพบปะประชาชนด้วย
“ผมทราบมาว่า มีการเตรียมนำรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรทั้งใน กทม.และต่างจังหวัดสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ในจังหวัดที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย เช่น ภาคใต้ ที่ ตรัง นครศรี ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ภาคตะวันออกที่ ระยอง สระแก้ว ตราด ภาคอีสาน นครราชสีมา บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น ภาคเหนือเช่น นครสวรรค์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ เป็นต้น คาดว่าภายใน 2-3 วันปฏิทินกิจกรรมเหล่านี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น”
**สุดารัตน์กัดไม่ปล่อยไร่นางแล
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน สปก. ไร่ปฎิบัติธรรมนางแล ตำบลนางแล อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ว่า ได้รับรายงานจากกรมป่าไม้ ว่าพิกัดที่ดินดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่ที่จะออกเอกสารสิทธิ สปก. ได้ ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ตรวจสอบว่าเป็นไปตามข้อมูลที่กรมป่าไม้รายงานมาหรือไม่ และหากพบว่าเป็นการออกเอกสารสิทธิ สปก. โดยที่ไม่มีคุณสมบัตินั้น ก็จะดำเนินการสอบสวนเพื่อเพิกถอนสิทธิในที่ดิน และเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนเรื่องคุณสมบัติของผู้ถือครองกรรมสิทธิ์นั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่จะต้องตรวจสอบ รวมทั้งยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือไม่
นายสุนทร วัชรกุลดิลก เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ 8 หัวหน้าชุดตรวจค้น เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนยังอยู่ที่กรมป่าไม้ กรุงเทพฯ และกำลังให้เจ้าหน้าที่ทำแผนที่สวนป่าไม้สัก แผนที่กฎกระทรวง เพื่อเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญของศาลพิจารณา หากมีความเห็นว่าผิดก็จะมีการนำหลักฐานเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ต.ย่อยบ้านดู่ ทันที