ทนาย "ทักษิณ"ยกเหตุฟ้อง"สนธิ"เรียกพันล้าน เพราะพาดพิงเรื่องส่วนตัวลูกความ ยอมรับ"ทักษิณ"เป็นคนสั่งขออำนาจศาลปิดปาก ขู่หากยังไม่หยุดพูดพาดพิง ยื่นศาลออกหมายจับแน่ ด้านทนาย"สนธิ"ระบุคำสั่งศาลเป็นการฟังความข้างเดียว เตรียมยื่นศาลแพ่งขอไต่สวนฉุกเฉินเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและฟ้องศาลปกครองหลังถูกอำนาจรัฐบีบบังคับสื่อ ด้านคดีแจ้งจับ"สนธิ"อ้างหมิ่นเบื้องสูงบช.ก.และภาค 3 สรุปคดีมีมูล สั่งสอบเพิ่มเติมก่อนชี้ขาดอีกครั้ง
เมื่อวานนี้(18 พ.ย.)ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายธนา เบญจาทิกุล ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางรับคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราวหลังจากเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด,นายศุภชัย วงศ์วรเศรษฐ,นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล,นายพชร สมุทวณิช,นายขุนทอง ลอเสรีวานิช ซึ่งเป็นกรรมการบริหาร บ.ไทยเดย์ฯ,นายสนธิ ลิ้มทองกุล พิธีกรดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์,น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ พิธีกรดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์, บริษัท แมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน),น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท,นายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานละเมิด เรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์จำนวน 1,000 ล้านบาท และศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามนายสนธิ และ พวกจำเลย
พูดพาดพิงหรือ เสนอข่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
นายธนา กล่าวว่า การฟ้องครั้งนี้เนื่องจากนายสนธิ พยายามกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเน้นไปในเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องการทำหน้าที่บริหารกิจการบ้านเมือง อีกทั้งการกล่าวหานายกฯก็เป็นความเท็จ เช่น นายกฯวิ่งเต้นขอสัมปทานดาวเทียม,โทรศัพท์ 900 และ การเตรียมการขายหุ้นเพื่อจะหนีไปต่างประเทศ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง ทำให้คนฟังเข้าใจผิด เพราะการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ได้มีการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมและเวบไซต์ และจัดทำวีซีดีเผยแพร่ด้วย ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ปรากฏสู่สาธารณะไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่จะออกไปสู่ทั่วโลก
นอกจากนี้ ในเวบไซต์ของผู้จัดการ ก็ยังสามารถถ่ายสำเนาคำสนทนาของนายสนธิ และน.ส.สโรชา ออกมาด้วย และยังสามารถเผยแพร่ส่งต่อให้คนอื่นๆ ซึ่งการกล่าวหาในลักษณะส่วนตัวเช่นนี้ ย่อมทำให้นายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหาย จึงยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท
ส่วนเหตุผลการยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉิน นายธนา กล่าวว่า เนื่องจากนายสนธิ ยังมีการจัดการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9 ที่สวนลุมพินี ซึ่งศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองโจทก์แล้ว และสั่งห้ามจำเลยทั้งสิบหยุดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายในทางเสียหายแก่โจทก์ และหยุดการจำหน่ายวีซีดี ที่มีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์แล้ว โดยการจัดรายการครั้งที่ 9 ตนและทีมงานจะเข้าร่วมสังเกตการณ์การดำเนินรายการของนายสนธิ ด้วย หากพบว่ามีการกระทำละเมิดอำนาจศาล จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลทราบ และพิจารณาออกหมายจับกุมจำเลยต่อไป ฐานละเมิดคำสั่งศาล
"การที่ขอคำสั่งศาลดังกล่าวไม่ได้ปิดปากสื่อ และไม่ได้คุกคามสื่อ เพราะว่าการจะดำเนินรายการในฐานะสื่อมวลชน ยังสามารถทำได้แต่ต้องวิพากษ์วิจารณ์โดยความเป็นธรรม ไม่ไปกระทบให้เกิดความเสียหายส่วนตัวของโจทก์ ดังนั้นการที่บุคคลอื่นได้รับความเสียหายย่อมมีสิทธิ์ป้องกันตน ที่จะให้สิทธิทางศาลได้ ซึ่งสื่อต้องใช้วิจารณญานว่าส่วนไหนที่ศาลมีคำสั่งห้าม เพราะหากกระทำอีกในขณะที่ศาลสั่งห้าม ถือว่าบุคคลนั้นไม่เคารพยำเกรงศาล ถือว่าละเมิดอำนาจศาล และศาลมีสิทธิ์ออกหมายจับกุมได้"
นายธนา กล่าวอีกว่า บางทีอาจเกิดการเข้าใจผิดว่านายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้นั้นไม่เป็นความจริง เพราะสามารถวิจารณ์ได้แต่ต้องด้วยความเป็นธรรม แต่เรื่องที่ตนฟ้องเป็นเรื่องของการกล่าวหาใส่ร้ายด้วยความเท็จ เป็นเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ส่วนจะมีการประนีประนอมยอมความกันได้หรือไม่ เรื่องนี้ตนเองยังไม่ได้รับบัญชาจากนายกฯ
ต่อข้อถามที่ว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า การฟ้องร้องจะดำเนินการช่วงที่นายกรัฐมนตรี เดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง นายธนา กล่าวว่า จริงๆแล้วตนพยายามดำเนินการช่วงที่นายกฯอยู่ในประเทศ แต่เนื่องจากว่าการจัดเตรียมเอกสารเป็นจังหวะที่นายกฯ ต้องมีภารกิจในต่างประเทศพอดี ไม่ได้เป็นการวางแผนว่าจะฟ้องร้องในช่วงที่นายกฯไม่อยู่ ซึ่งก่อนจะมีการฟ้องร้องคดี และขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในครั้งนี้ ได้หารือและได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมมนตรีแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงนี้สื่อมวลชนถูกฟ้องกันมากถือว่าเป็นนโยบายรัฐบาลหรือไม่ นายธนา กล่าวปฏิเสธและว่าทุกคนมีสิทธิ์เมื่อถูกละเมิดถูกรังแก ก็สามารถใช้สิทธิ์คุ้มครองตามความชอบธรรมทางกระบวนการยุติธรรมได้ แม้ว่านายกฯ เป็นคนสาธารณะ สื่อจะวิพากษ์วิจารณ์ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ควรอยู่ในกรอบ ไม่ใช่กล่าวหากันเลื่อนลอยโดยความเท็จ หากมากล่าวหาว่าทุจริตคนถูกกล่าวหาก็มีสิทธิ์ฟ้องศาลได้ ในขณะเดียวกันคนที่ถูกฟ้องก็ไปพิสูจน์ในศาล
อย่างไรก็ตาม นายธนา กล่าวว่าภายในกลางสัปดาห์หน้า จะยื่นฟ้องนายสนธิ กับพวกทั้ง 10 คนต่อศาลอาญา ฐานหมิ่นประมาทอีก 1 คดี ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเดียวกับคดีแพ่งที่ฟ้องเรียก 1 พันล้านบาท ส่วนที่ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งก่อนเนื่องจากต้องการให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามนายสนธิพูดพาดพิง เพราะนายสนธิ ยังดำเนินรายการอยู่
**ทนาย"สนธิ"เตรียมยื่นเพิกถอนคำสั่งปิดปาก
ด้าน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายสนธิ ให้สัมภาษณ์ว่าการฟ้องคดีของนายกฯที่ระบุว่านายสนธิ กล่าวพาดพิงเรื่องส่วนตัวทำจนให้เกิดความเสียหายนั้น หากได้ตรวจดูตามรายละเอียดคำฟ้องแล้วจะเห็นว่า โจทก์ได้ตัดคำพูดของนายสนธิ ที่ออกอากาศในรายการ ออกมาเป็นตอนๆ เท่านั้น ไม่ได้เป็นการบรรยายข้อความ คำพูดของนายสนธิ ตั้งแต่ต้น ซึ่งหากได้ฟังข้อความตั้งแต่ต้นจนจบทั้งหมดจะรู้ว่าผู้พูดมีเจตนาอย่างไร
อย่างไรก็ตาม หลังจากศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว ตนได้ขอคัดสำเนาคำเบิกความพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนคำร้องพร้อมทั้งรายละเอียดคำสั่งศาลมาพิจารณาประกอบการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ที่ตนจะยื่นคำร้องภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งเตรียมนำนายสนธิ และประชาชนผู้รับฟ้งข่าวเป็นพยานเบิกความไต่สวนด้วย ทั้งนี้หากปรากฎว่าศาลแพ่งไม่อนุญาตเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็จะยื่นอุทธรณ์จนคดีถึงที่สุด
นายสุวัตร กล่าวด้วยว่า ภายในสัปดาห์หน้า จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง และจะดำเนินคดีอาญากับ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี,นายดุษฎี สินธุ์เจิมศิริ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และนายสุวิทย์ ปัญญามี ผู้ช่วยผู้จัดการปฏิบัติงานแทน ผู้จัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเลย มีความผิดตามกฎหมาย ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ กรณีที่ออกหนังสือคำสั่งถึงผู้ให้บริการเคเบิลทีวี ระงับการออกอากาศรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ซึ่งถือเป็นคำสั่งที่มิชอบเพราะเลือกปฎิบัติระงับการออกอากาศเฉพาะรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เท่านั้น
ทั้งนี้ในการยื่นฟ้องคดีปกครองจะขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวด้วย อย่างไรก็ตามการฟ้องคดีปกครองนั้นหากสืบทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรี มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องในการออกคำสั่งก็จะยื่นฟ้องนายกฯ ด้วย
"การแจ้งความและฟ้องร้องสื่อ หลายครั้งมักจะเกิดขึ้นขณะที่นายกรัฐมนตรีไปต่างประเทศ และจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสื่อทุกครั้ง อย่างเช่นที่นายกฯไปยุโรป ก็มีการเคลื่อนไหวซื้อหุ้น นสพ.มติชน และบางกอกโพสต์ พร้อมทั้งสั่งปลดรายการเมืองไทยสัปดาห์ และตอนนี้ นายกฯ ไปประชุมเอเปก ทนายนายกฯ ก็ได้ยื่นฟ้องสื่ออีก และเรียกค่าเสียหายสูงถึง 1,000 ล้านบาท "
นอกจากนี้ นายสุวัฒน์ ยังระบุด้วยว่า ล่าสุดทราบว่ากำลังมีความพยายามปิดเว็บไซต์ผู้จัดการ ซึ่งถ้ามีคำสั่งปิดจริง ก็จะเตรียมยื่นฟ้องอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขทั้งทางแพ่งและอาญา ที่ได้อ้าง พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียง พ.ศ.2498 ซึ่งเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชานชน และขัดรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาสั่งปิดเว็บไซต์ดังกล่าว
**ตำรวจเผยคดีแจ้งจับ"สนธิ"มีมูล
วันเดียวกันที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.)พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.เรียกคณะพนักงานสอบสวนคดีที่ นายสิทธิชัย กิตตินเรศวร ส.ส.นครนายก และ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคไทยรักไทย แจ้งความดำเนินคดีกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และเจ้าของนามปากกา พายัพ วนาสุวรรณ ในความผิดร่วมกัน หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทั้งนี้หลังใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พล.ต.ท.มนตรี เปิดเผยว่าจากการพิจารณาพยานหลักฐานร่วมกันของคณะพนักงานสอบสวนพบว่า คำร้องทุกข์กล่าวโทษดังกล่าวมีมูล แต่เพื่อความรอบคอบรัดกุมจึงมอบหมายให้ไปสอบสวนเพิ่มเติมว่าผู้ที่ใช้นามปากกาพายัพ วนาสุวรรณ คือใคร จากนั้นได้นัดประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อสรุปผลในวันพุธที่ 23 พ.ย.ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา ออกหมายเรียก นายสนธิ มารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
ด้านกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พล.ต.ต.สุรสีห์ สุนทรศารทูล รอง ผบช.ภ.3 กล่าวถึงการพิจารณาคดีที่มีผู้เข้าร้องทุกข์แจ้งความนายสนธิ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่า ประชุมคณะกรรมการสอบสวนโดยที่ บช.ภ.3 ได้เชิญอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาเขต 3 และอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาราชภัฏนครราชสีมา เข้าร่วมพิจารณาเพื่อความรอบคอบ ซึ่งผลการประชุมสรุปว่า คดีที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ นายสนธิ กับพวก มีมูล โดยคดีนี้แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ คดีที่ พ.ต.ท.สำเนียง ลือเจียงคำ รอง ผกก.สส.สภ.อ.เมืองยโสธร เข้าแจ้งความไว้ โดยอ้างเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 พ.ย.48 ที่มีการนำซีดีของนายสนธิ ที่พูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 4 พ.ย.มาออกอากาศทางเคเบิลทีวีในท้องถิ่น และเหตุการณ์ที่นายสนธิ ไปพูดที่โรงแรมเจริญธานี จ.อุดรธานี ซึ่งปรากฏว่ามีการนำมาออกอากาศทางเคเบิลทีวีที่ จ.ยโสธร เช่นกัน แต่ถือเป็นการกระทำความผิดที่ต่างกรรมต่างวาระกัน
ส่วนอีกคดี ที่นายเทพนม ราษฎรทั่วไป เข้าแจ้งความดำเนินคดี โดยอ้างว่าไปซื้อแผ่นซีดีที่บันทึกภาพรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ในราคา 69 บาท เมื่อนำไปเปิดดู ก็พบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายความผิด จึงมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน
"คณะกรรมการฯมีความเห็นว่า คดีมีมูลว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม หลังจากนั้นก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง ก่อนส่งให้ผู้มีอำนาจอำนาจสั่งคดี คือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ"
เมื่อวานนี้(18 พ.ย.)ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นายธนา เบญจาทิกุล ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางรับคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราวหลังจากเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด,นายศุภชัย วงศ์วรเศรษฐ,นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล,นายพชร สมุทวณิช,นายขุนทอง ลอเสรีวานิช ซึ่งเป็นกรรมการบริหาร บ.ไทยเดย์ฯ,นายสนธิ ลิ้มทองกุล พิธีกรดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์,น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ พิธีกรดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์, บริษัท แมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน),น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท,นายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานละเมิด เรียกค่าเสียหายทุนทรัพย์จำนวน 1,000 ล้านบาท และศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามนายสนธิ และ พวกจำเลย
พูดพาดพิงหรือ เสนอข่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
นายธนา กล่าวว่า การฟ้องครั้งนี้เนื่องจากนายสนธิ พยายามกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเน้นไปในเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องการทำหน้าที่บริหารกิจการบ้านเมือง อีกทั้งการกล่าวหานายกฯก็เป็นความเท็จ เช่น นายกฯวิ่งเต้นขอสัมปทานดาวเทียม,โทรศัพท์ 900 และ การเตรียมการขายหุ้นเพื่อจะหนีไปต่างประเทศ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมือง ทำให้คนฟังเข้าใจผิด เพราะการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ได้มีการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมและเวบไซต์ และจัดทำวีซีดีเผยแพร่ด้วย ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ปรากฏสู่สาธารณะไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่จะออกไปสู่ทั่วโลก
นอกจากนี้ ในเวบไซต์ของผู้จัดการ ก็ยังสามารถถ่ายสำเนาคำสนทนาของนายสนธิ และน.ส.สโรชา ออกมาด้วย และยังสามารถเผยแพร่ส่งต่อให้คนอื่นๆ ซึ่งการกล่าวหาในลักษณะส่วนตัวเช่นนี้ ย่อมทำให้นายกรัฐมนตรีได้รับความเสียหาย จึงยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท
ส่วนเหตุผลการยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉิน นายธนา กล่าวว่า เนื่องจากนายสนธิ ยังมีการจัดการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9 ที่สวนลุมพินี ซึ่งศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองโจทก์แล้ว และสั่งห้ามจำเลยทั้งสิบหยุดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายในทางเสียหายแก่โจทก์ และหยุดการจำหน่ายวีซีดี ที่มีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์แล้ว โดยการจัดรายการครั้งที่ 9 ตนและทีมงานจะเข้าร่วมสังเกตการณ์การดำเนินรายการของนายสนธิ ด้วย หากพบว่ามีการกระทำละเมิดอำนาจศาล จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลทราบ และพิจารณาออกหมายจับกุมจำเลยต่อไป ฐานละเมิดคำสั่งศาล
"การที่ขอคำสั่งศาลดังกล่าวไม่ได้ปิดปากสื่อ และไม่ได้คุกคามสื่อ เพราะว่าการจะดำเนินรายการในฐานะสื่อมวลชน ยังสามารถทำได้แต่ต้องวิพากษ์วิจารณ์โดยความเป็นธรรม ไม่ไปกระทบให้เกิดความเสียหายส่วนตัวของโจทก์ ดังนั้นการที่บุคคลอื่นได้รับความเสียหายย่อมมีสิทธิ์ป้องกันตน ที่จะให้สิทธิทางศาลได้ ซึ่งสื่อต้องใช้วิจารณญานว่าส่วนไหนที่ศาลมีคำสั่งห้าม เพราะหากกระทำอีกในขณะที่ศาลสั่งห้าม ถือว่าบุคคลนั้นไม่เคารพยำเกรงศาล ถือว่าละเมิดอำนาจศาล และศาลมีสิทธิ์ออกหมายจับกุมได้"
นายธนา กล่าวอีกว่า บางทีอาจเกิดการเข้าใจผิดว่านายกฯ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้นั้นไม่เป็นความจริง เพราะสามารถวิจารณ์ได้แต่ต้องด้วยความเป็นธรรม แต่เรื่องที่ตนฟ้องเป็นเรื่องของการกล่าวหาใส่ร้ายด้วยความเท็จ เป็นเรื่องส่วนตัวเท่านั้น ส่วนจะมีการประนีประนอมยอมความกันได้หรือไม่ เรื่องนี้ตนเองยังไม่ได้รับบัญชาจากนายกฯ
ต่อข้อถามที่ว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า การฟ้องร้องจะดำเนินการช่วงที่นายกรัฐมนตรี เดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง นายธนา กล่าวว่า จริงๆแล้วตนพยายามดำเนินการช่วงที่นายกฯอยู่ในประเทศ แต่เนื่องจากว่าการจัดเตรียมเอกสารเป็นจังหวะที่นายกฯ ต้องมีภารกิจในต่างประเทศพอดี ไม่ได้เป็นการวางแผนว่าจะฟ้องร้องในช่วงที่นายกฯไม่อยู่ ซึ่งก่อนจะมีการฟ้องร้องคดี และขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในครั้งนี้ ได้หารือและได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมมนตรีแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในช่วงนี้สื่อมวลชนถูกฟ้องกันมากถือว่าเป็นนโยบายรัฐบาลหรือไม่ นายธนา กล่าวปฏิเสธและว่าทุกคนมีสิทธิ์เมื่อถูกละเมิดถูกรังแก ก็สามารถใช้สิทธิ์คุ้มครองตามความชอบธรรมทางกระบวนการยุติธรรมได้ แม้ว่านายกฯ เป็นคนสาธารณะ สื่อจะวิพากษ์วิจารณ์ แต่การวิพากษ์วิจารณ์ควรอยู่ในกรอบ ไม่ใช่กล่าวหากันเลื่อนลอยโดยความเท็จ หากมากล่าวหาว่าทุจริตคนถูกกล่าวหาก็มีสิทธิ์ฟ้องศาลได้ ในขณะเดียวกันคนที่ถูกฟ้องก็ไปพิสูจน์ในศาล
อย่างไรก็ตาม นายธนา กล่าวว่าภายในกลางสัปดาห์หน้า จะยื่นฟ้องนายสนธิ กับพวกทั้ง 10 คนต่อศาลอาญา ฐานหมิ่นประมาทอีก 1 คดี ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเดียวกับคดีแพ่งที่ฟ้องเรียก 1 พันล้านบาท ส่วนที่ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งก่อนเนื่องจากต้องการให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามนายสนธิพูดพาดพิง เพราะนายสนธิ ยังดำเนินรายการอยู่
**ทนาย"สนธิ"เตรียมยื่นเพิกถอนคำสั่งปิดปาก
ด้าน นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายสนธิ ให้สัมภาษณ์ว่าการฟ้องคดีของนายกฯที่ระบุว่านายสนธิ กล่าวพาดพิงเรื่องส่วนตัวทำจนให้เกิดความเสียหายนั้น หากได้ตรวจดูตามรายละเอียดคำฟ้องแล้วจะเห็นว่า โจทก์ได้ตัดคำพูดของนายสนธิ ที่ออกอากาศในรายการ ออกมาเป็นตอนๆ เท่านั้น ไม่ได้เป็นการบรรยายข้อความ คำพูดของนายสนธิ ตั้งแต่ต้น ซึ่งหากได้ฟังข้อความตั้งแต่ต้นจนจบทั้งหมดจะรู้ว่าผู้พูดมีเจตนาอย่างไร
อย่างไรก็ตาม หลังจากศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว ตนได้ขอคัดสำเนาคำเบิกความพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนคำร้องพร้อมทั้งรายละเอียดคำสั่งศาลมาพิจารณาประกอบการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ที่ตนจะยื่นคำร้องภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งเตรียมนำนายสนธิ และประชาชนผู้รับฟ้งข่าวเป็นพยานเบิกความไต่สวนด้วย ทั้งนี้หากปรากฎว่าศาลแพ่งไม่อนุญาตเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็จะยื่นอุทธรณ์จนคดีถึงที่สุด
นายสุวัตร กล่าวด้วยว่า ภายในสัปดาห์หน้า จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง และจะดำเนินคดีอาญากับ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี,นายดุษฎี สินธุ์เจิมศิริ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และนายสุวิทย์ ปัญญามี ผู้ช่วยผู้จัดการปฏิบัติงานแทน ผู้จัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเลย มีความผิดตามกฎหมาย ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ กรณีที่ออกหนังสือคำสั่งถึงผู้ให้บริการเคเบิลทีวี ระงับการออกอากาศรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ซึ่งถือเป็นคำสั่งที่มิชอบเพราะเลือกปฎิบัติระงับการออกอากาศเฉพาะรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เท่านั้น
ทั้งนี้ในการยื่นฟ้องคดีปกครองจะขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวด้วย อย่างไรก็ตามการฟ้องคดีปกครองนั้นหากสืบทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ นายกรัฐมนตรี มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องในการออกคำสั่งก็จะยื่นฟ้องนายกฯ ด้วย
"การแจ้งความและฟ้องร้องสื่อ หลายครั้งมักจะเกิดขึ้นขณะที่นายกรัฐมนตรีไปต่างประเทศ และจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสื่อทุกครั้ง อย่างเช่นที่นายกฯไปยุโรป ก็มีการเคลื่อนไหวซื้อหุ้น นสพ.มติชน และบางกอกโพสต์ พร้อมทั้งสั่งปลดรายการเมืองไทยสัปดาห์ และตอนนี้ นายกฯ ไปประชุมเอเปก ทนายนายกฯ ก็ได้ยื่นฟ้องสื่ออีก และเรียกค่าเสียหายสูงถึง 1,000 ล้านบาท "
นอกจากนี้ นายสุวัฒน์ ยังระบุด้วยว่า ล่าสุดทราบว่ากำลังมีความพยายามปิดเว็บไซต์ผู้จัดการ ซึ่งถ้ามีคำสั่งปิดจริง ก็จะเตรียมยื่นฟ้องอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลขทั้งทางแพ่งและอาญา ที่ได้อ้าง พ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียง พ.ศ.2498 ซึ่งเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชานชน และขัดรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาสั่งปิดเว็บไซต์ดังกล่าว
**ตำรวจเผยคดีแจ้งจับ"สนธิ"มีมูล
วันเดียวกันที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.)พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.เรียกคณะพนักงานสอบสวนคดีที่ นายสิทธิชัย กิตตินเรศวร ส.ส.นครนายก และ นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคไทยรักไทย แจ้งความดำเนินคดีกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล และเจ้าของนามปากกา พายัพ วนาสุวรรณ ในความผิดร่วมกัน หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ทั้งนี้หลังใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พล.ต.ท.มนตรี เปิดเผยว่าจากการพิจารณาพยานหลักฐานร่วมกันของคณะพนักงานสอบสวนพบว่า คำร้องทุกข์กล่าวโทษดังกล่าวมีมูล แต่เพื่อความรอบคอบรัดกุมจึงมอบหมายให้ไปสอบสวนเพิ่มเติมว่าผู้ที่ใช้นามปากกาพายัพ วนาสุวรรณ คือใคร จากนั้นได้นัดประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อสรุปผลในวันพุธที่ 23 พ.ย.ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณา ออกหมายเรียก นายสนธิ มารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป
ด้านกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 พล.ต.ต.สุรสีห์ สุนทรศารทูล รอง ผบช.ภ.3 กล่าวถึงการพิจารณาคดีที่มีผู้เข้าร้องทุกข์แจ้งความนายสนธิ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ว่า ประชุมคณะกรรมการสอบสวนโดยที่ บช.ภ.3 ได้เชิญอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาเขต 3 และอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาราชภัฏนครราชสีมา เข้าร่วมพิจารณาเพื่อความรอบคอบ ซึ่งผลการประชุมสรุปว่า คดีที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ นายสนธิ กับพวก มีมูล โดยคดีนี้แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ คดีที่ พ.ต.ท.สำเนียง ลือเจียงคำ รอง ผกก.สส.สภ.อ.เมืองยโสธร เข้าแจ้งความไว้ โดยอ้างเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 พ.ย.48 ที่มีการนำซีดีของนายสนธิ ที่พูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 4 พ.ย.มาออกอากาศทางเคเบิลทีวีในท้องถิ่น และเหตุการณ์ที่นายสนธิ ไปพูดที่โรงแรมเจริญธานี จ.อุดรธานี ซึ่งปรากฏว่ามีการนำมาออกอากาศทางเคเบิลทีวีที่ จ.ยโสธร เช่นกัน แต่ถือเป็นการกระทำความผิดที่ต่างกรรมต่างวาระกัน
ส่วนอีกคดี ที่นายเทพนม ราษฎรทั่วไป เข้าแจ้งความดำเนินคดี โดยอ้างว่าไปซื้อแผ่นซีดีที่บันทึกภาพรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา ในราคา 69 บาท เมื่อนำไปเปิดดู ก็พบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายความผิด จึงมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน
"คณะกรรมการฯมีความเห็นว่า คดีมีมูลว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม หลังจากนั้นก็จะนำมาพิจารณาอีกครั้ง ก่อนส่งให้ผู้มีอำนาจอำนาจสั่งคดี คือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ"