นายกฯลงพื้นที่สีแดงพร้อมขบวนผู้ติดตามยาวกว่า 100 เมตร เผยกลุ่มผู้ก่อการใต้วางบึ้มไล่หลัง โชคดีที่มีการตัดสัญญาณโทรศัพท์เป็นระยะๆ ทำให้เป้าพลาด เดินสายกล่อมญาติ 3 แกนนำ"มะแซ อูเซ็ง-รอมลี อุตรสินธุ์-สะแปอิง บาซอ" ให้มอบตัวกับทางการ บุก"บ้านตันหยงลิมอ"ดูที่คุมขัง 2 นาวิโยธินจนถูกฆ่า พร้อมยาหอมชาวบ้านเข้าข้างรัฐแล้วจะพัฒนา 3 จชต.ให้เท่าเทียมไม่แพ้มาเลย์ ท่ามกลางกำลังอารักขาเข้ม แต่ไม่วายโดนคนร้ายเหยียบจมูกขว้างระเบิดใส่ร้านส้มตำกลางวันแสก ข้างโรงแรมอิมพิเรียล นราธิวาส ที่นายกฯ และคณะแวะพัก บาดเจ็บ 5 ราย นักข่าวทีวีช่อง 7เจ็บ 4 คน นายตำรวจติดตามสั่งทุกคนห้ามออกจากโรงแรมจนกว่าจะออกจากเขตอันตราย
ภารกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา (6 ต.ค.) ได้พักค้างคืนที่ วัดเจาะไอร้องธรรมาราม อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ร่วมกับพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ยุติธรรม พล.อ.คงศักดิ์ วันทนา รมว.มหาดไทย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.มหาดไทย นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้ตื่นนอนตั้งแต่เวลา 06.00 น.วานนี้ ( 7 ต.ค.)พร้อมออกมาทักทายผู้สื่อข่าวว่า เมื่อคืนหลับสบายดี" จากนั้นจึงไปร่วมรับประทานอาหารเช้ากับรัฐมนตรีที่ติดตามและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
**ยกคณะบุกบ้าน"ตันหยงลิมอ"
เวลา 07.30 น. นายกรัฐมนตรี ออกเดินทางไปที่บ้านของนายรอมลี อุตรสินธุ์ หรือ "สาและ"พี่ชายของนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่ถูกทางการออกหมายจับ ในข้อหาผู้ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 628/2 เขตเทศบาลปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส แต่เมื่อไปถึงบ้านก็ไม่พบใคร บ้านปิดเงียบ จึงเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 628/13 ห่างจากจุดเดิมประมาณ 100 เมตร เพื่อพบกับญาติของนายรอมลี และได้ฝากบอกว่า ขอให้นายรอมลี เข้ามอบตัว โดยพร้อมที่จะดูแลความเป็นธรรมและความปลอดภัยให้
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังโรงเรียนตาฎีกาอัลตัรบียะห์อิสลามมียะห์ หมู่ 7 บ้านตันหยงลิมอ ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่นาวิกโยธิน 2 นายถูกทำร้ายจนเสียชีวิตโดย พร้อมกับสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งชาวบ้านเฉพาะที่เป็นผู้ชาย กลับบอกว่าไม่ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยอ้างว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้รับปากกับชาวบ้านตันหยงลิมอ ว่าจะพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เจริญไม่น้อยหน้าประเทศมาเลเซีย แต่ชาวบ้านจะต้องช่วยกันทำให้เหตุการณ์เกิดความสงบเสียก่อน และพร้อมที่จะดูแลเจ้าหน้าที่ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
"อยากให้ชาวบ้านร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ อย่าไปเป็นแนวร่วมกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ และปล่อยข่าวว่าเจ้าหน้าที่รังแกประชาชน โดยเฉพาะคนที่เอาศาสนามาอ้าง ถือว่าเป็นพวกที่นอกศาสนา ไม่มีพระเจ้า คนที่มีพระเจ้าจะต้องมีเมตตา ให้อภัย ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ สำหรับชาวบ้านที่ไม่กล้าให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปส่งเสริมคนร้ายก็แล้วกัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อมีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยปากของบประมาณในการก่อสร้างมัสยิด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หันไปมองดูที่มัสยิดกำลังที่สร้างอยู่แล้วพูดว่า "เอาให้จบก่อน เดี๋ยวลากคอไอ้พวกฆ่านาวิกโยธินทั้งสองคนนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน เดี๋ยวจะมาดูให้ เชื่อว่าคนร้ายที่ลอบยิงร้านน้ำชาในหมู่บ้านตันหยงลิมอ เป็นคนในหมู่บ้านอย่างแน่นอน และเป็นแผนลวงให้ 2 นาวิกโยธิน มาติดกับดับ เพราะผลการตรวจสอบปลอกกระสุนปืน พบว่าเป็นการยิงจากปืนกระบอกเดียวกันกับที่ใช้ยิงตำรวจใน อ.สุไหงปาดี อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทหารก็ได้เข้าปิดล้อมหมู่บ้าน ซึ่งก็ไม่พบว่ามีใครได้ออกจากหมู่บ้านไป ดังนั้น คนร้ายจะต้องเป็นคนในหมู่บ้านนี้อย่างแน่นอน และกำลังตามจับตัวมาลงโทษ"
หลังจากการพูดคุย นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปดูสถานที่ที่ชาวบ้านจับ 2 นาวิกโยธินเข้าไปควบคุมตัว และถูกทำร้ายจนเสียชีวิต โดยในห้องที่เกิดเหตุยังมีรอยเลือดให้เห็นปรากฏอยู่อย่างชัดเจน แล้วเดินเลยไปดูที่ร้านนำชาที่เกิดเหตุ โดยในระหว่างการเดินเจ้าหน้าที่ได้รายงานว่า ขณะนี้ได้ออกหมายจับไปแล้ว 34 คน สามารถควบคุมตัวไว้ได้ 16 คน แยกขังและอยู่ในระหว่างการสอบสวน นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สอบสวนตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเว้นเวลาสอบ
**กล่อมญาติแกนนำให้เข้ามอบตัว
เวลา 10.50 น.นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปบ้าน นายสะแปอิง บาซอ ครูใหญ่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลา ที่ถูกออกหมายจับฐานเป็นแกนนำก่อความไม่สงบในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้พบกับนางซากีนะห์ สุหลง ภรรยาของนายสะแปอิง แม่ยาย และลูกๆ ของนายสะแปอิง ที่อยู่กันเกือบครบ โดยนายกฯได้บอกกับนางซากีนะห์ว่า "ถ้าสามารถติดต่อกับนายสะแปอิงได้ ก็ขอให้มามอบตัวสู้คดี ทางการพร้อมที่จะให้ความยุติธรรม และผมพร้อมจะให้ความปลอดภัย บอกเลยว่าผมมาเยี่ยมถึงบ้าน การที่เจ้าหน้าที่ออกหมายจับก็ทำไปตามหน้าที่ เนื่องจากมีหลักฐานพาดพิงไปถึง หากอยากมอบตัวก็ให้ติดต่อผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง หรือจะให้ผมไปรับที่ดอนเมืองก็ได้และจะไม่มีการใช้ศาลเตี้ยอย่างที่มีการเกรงกลัวกัน ผมเชื่อว่านายสะแปอิง สามารถต่อสู้คดีได้อยู่แล้ว เพราะเป้นคนมีฐานะ"
นางซากีนะห์ ได้กล่าวว่า เราไม่เคยคิดจะหนี เราจะตายที่นี่ เพราะบ้านอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร และถ้าจับนายสะแปอิง มาได้แล้วเรื่องราวความไม่สงบในภาคใต้จะจบหรือไม่ และก็กลัวว่าพอนายสะแปอิง มามอบตัวแล้วก็อาจจะจะต้องพบกับศาลเตี้ย ขณะที่ น.ส.ดีนา บาซอ บุตรสาวของนายสะแปอิง กล่าวทั้งน้ำตาว่า พ่อได้หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.47 และไม่เคยติดต่อกลับ แต่พ่อไม่เคยคิดหนี เพราะเคยบอกว่าจะอยู่ที่นี่ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกออกหมายจับ ก่อนหน้านี้ก็เคยถูกเชิญตัวไปสอบปากคำรอบหนึ่ง แล้วก็หายตัวไป กลัวว่าเรื่องของพ่อจะเป็นแบบทนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมสุลิมที่ถูกอุ้มหายตัวไป
จากนั้นเวลา 11.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางเยี่ยมชมขั้นตอนการทำบัตรสมาทการ์ด และมอบสมาทการ์ด ให้ประชาชนที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จ.ปัตตานี ก่อนที่จะเดินทางกลับไป จ.นราธิวาส ในช่วงบ่ายเพื่อเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯในช่วงกลางคืน
**ขว้างระเบิดใส่นักข่าวบาดเจ็บ3
กระทั่งเวลา15.20 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายขว้างระเบิดเข้าไปในร้านส้มตำ "เจ้สาว"ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างโรงแรมอิมพีเรียล จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นโรงแรมที่ นายกรัฐมนตรี และคณะ รวมทั้งสื่อมวลชนที่ติดตามไปทำข่าวพักอยู่ แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย ขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ประกอบด้วย นายธนวัช แซ่อุ่น ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่อง 7 ประจำ จ.นราธิวาส,น.ส.ชาดา สมบูรณ์ขน ผู้สื่อข่าวช่อง 7 จากส่วนกลางทีมติดตามนายกฯ,นายวันชัย พงษ์สุวรรณ เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคโทรทัศน์ ช่อง 7,นายณรงค์ชัย เขียววิไล เจ้าหน้าที่เทคนิคดาวเทียมโทรทัศน์ ช่อง 7 โดนสะเก็ดระเบิดบริเวณแก้มก้น และนายสุธิน ยอดดี อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 ม.5 ต.บางขุนทอง อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
สอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน มาวนเวียนอยู่ด้านหน้าร้านหลายรอบ ก่อนจะขว้างระเบิดเข้ามาภายในร้านดังกล่าว ทั้งนี้ ช่วงเกิดเหตุ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปพักในห้องพักของโรงแรม เพื่อบันทึกเทปรายการ "นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน" และเพื่อเตรียมตัวที่จะเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศ
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.อรรถกิจ ชาลีฉัตร หัวหน้านายตำรวจที่รักษาความปลอดภัย ได้สั่งการให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณโรงแรมพิมพีเรียลอย่างเข้มงวด พร้อมกับสั่งห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวส่วนกลางที่ยังคงอยู่ภายในโรงแรมว่า "อย่าออกไปนอกพื้นที่ให้อยู่ในโรงแรมจนกว่าจะออกจาก จ.นราธิวาส"
**นักข่าวสาวเล่านาทีระทึกบึ้ม!
น.ส.ชาดา สมบูรณ์ผล ผู้สื่อข่าวช่อง 7 เล่าเหตุการณ์ระทึก ว่า หลังจากเสร็จภารกิจแล้วตนและทีมงานได้นำรถของสถานี ซึ่งมีโลโก้ช่อง 7 ไปจอดนั่งรับประทานอาหารประมาณ 20 นาที กำลังจะเช็คบิลก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น จึงรีบวิ่งหลบไปในร้าน และถามแม่ค้าว่าเห็นอะไรหรือไม่ แม่ค้าก็บอกว่าเห็นวัยรุ่น 5 คนที่นั่งติดอยู่กับร้านนั่งรับประทานอาหารอยู่แล้วพักหนึ่งก็หายไป 2 คน แต่พอเกิดเหตุก็หายไปหมด ทั้งนี้ บริเวณที่เกิดเหตุพบจักรยานยนต์และป้ายกระจัดกระจาย ส่วนตนก็หูอื้อและโดนสะเก็ดระเบิดเล็กน้อยที่บริเวณศีรษะและแขน
"ระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารก็มีคนมานั่งข้างหลัง แต่ไม่ได้สนใจอะไร รับประทานร่วมกับทีมงานจนอิ่ม ซึ่งนายณรงค์ศักดิ์ เขียววิไล เป็นช่างเทคนิค ได้รับบาดเจ็บจากการถูกสะเก็ดระเบิด ทำให้สะโพกโหว่ประมาณกำปั้นเด็ก และได้ถูกนำส่งตัวเข้าโรงพยาบาลแล้ว เบื้องต้นทราบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่วางไว้อยู่ใกล้ตู้น้ำแข็ง"
**ดักบึ้มขบวนนายกฯโชคดีมีการตัดสัญญาณ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ มีขบวนยาวกว่า 100 เมตร โดยนายกฯใช้รถเบนซ์ C 600 สีดำ กันกระสุน 2 คัน โดยใช้สลับสับเปลี่ยนในการเดินทางตลอด ซึ่งวันแรกรถคันนายกฯนั่งไม่ได้ติดทะเบียนรถ แต่วันที่สองของการลงพื้นที่ ได้มีการนำป้ายทะเบียนมาติด คือ กข 7845 นราธิวาส ซึ่งในการเดินทางแต่ละครั้ง หากนายกฯนั่งรถคันใด รถอีกคันหนึ่งของนายกฯก็จะมี พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ยุติธรรม นั่ง โดยลำดับของขบวนนายกฯนั้นจะเริ่มจากรถนำขบวน จากนั้นเป็นรถนายกรัฐมนตรี ต่อมาเป็นรถกระบะวีโก้ ที่บรรทุกอาวุธหนักปิดท้ายขบวนรถนายกฯ ซึ่งเป็นอาวุธที่ใส่ไว้ในกระเป๋าดำ เช่น อูซี่ 9 มม. เอ็ม 16 ปืนกล็อก และต่อด้วยรถตู้ของเจ้าหน้าที่ที่ติดตามอีก 6 คัน และต่อด้วยรถนำขบวนสื่อมวลชน ตามด้วยรถสื่อมวลชนอีก 18 คันและต่อด้วยรถตู้ของจังหวัดอีก 4 คัน จากนั้นปิดท้ายด้วยรถกระบะบรรทุกเจ้าหน้าที่และอาวุธปิดท้ายขบวน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการลงพื้นที่วันที่สองนั้น นายกฯได้เดินทางออกจากวัดเจาะไอร้องธรรมาราม ตั้งแต่เวลา 07.00 น.โดยได้ไปบ้านนายรอมลี อุตรสินธุ์ พี่ชายนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ เป็นที่แรก ซึ่งได้ผ่าน อ.สุไหงปาดี ด้วย แต่ระหว่างขบวนนายกฯ เคลื่อนนั้นจะมีการตัดสัญญาณโทรศัพท์อยู่เป็นระยะ
มีรายงานข่าวด้วยว่า จากการตัดสัญญาณโทรศัพท์เป็นระยะๆ ของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้เกิดระเบิดขึ้น 1 ครั้ง ขณะที่ขบวนรถของนายกฯออกจาก อ.สุไหงปาดี แต่ระเบิดทำงานภายหลังจากที่ขบวนของนายกฯวิ่งผ่านพ้นไปแล้วประมาณ 30 นาที จึงทำให้คณะของนายกฯ รอดพ้นจากเหตุระเบิดดังกล่าวไปได้อย่างหวุดหวิด
**เชื่อ3แกนนำใต้ไม่ได้อยู่ในไทย
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังถึงการเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อต้องการส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่า ทางราชการต้องการใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ดังนั้น ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับไม่ควรหลบหนี ควรมอบตัวสู้คดี เพื่อให้โทษหนักกลายเป็นเบา และเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น
ส่วนที่ลูกสาวนายสะแปอิง บาซอ ผู้ต้องหาคนสำคัญ เข้าใจว่าพ่อหายตัวไป เหมือนนายสมชาย นีละไพจิตร นั้นยืนยันว่า ไม่ใช่แน่นอน รวมทั้งกรณีของนายรอมลี อุตรสินธุ์ ผู้ต้องหาสำคัญอีกคนหนึ่งที่ชาวบ้านเขารู้ว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งแกนนำระดับสูงไม่ได้อยู่ในประเทศแล้ว
"แกนนำ 3 รายที่ไปหาที่บ้านในการลงพื้นที่ครั้งนี้ทั้ง นายมะแซ อูเซ็ง นายรอมลี อุตรสินธุ์ และสะแปอิง บาซอ ก็ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย มีรายงานมีการเข้า-ออกระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย" นายกรัฐมนตรี กล่าว พร้อมยอมรับว่า การประสานงานกับทางการมาเลเซียในเรื่องการส่งตัวผู้ที่มีคดีกลับมาดำเนินคดีในไทยยังไม่ค่อยดีนัก ซึ่งไม่ทราบว่าติดขัดปัญหาอะไร ทั้งที่เราส่งหมายจับ และพยายามแปลเอกสารข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ ไปให้มาเลเซียหมดแล้ว
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าการเดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ไม่มากก็น้อย แต่ยังต้องทำงานกันอีกมาก ตรงนี้เป็นเพียงขั้นแรกของเกมรุกเท่านั้น ส่วนการที่ประชาชนยังคงหวาดกลัวอยู่ เห็นว่าเป็นเพราะพื้นที่ดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ยังเข้าไปไม่ถึง ดังนั้น ต่อไปนี้เจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปในพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนรู้ว่า ภาครัฐพร้อมให้การดูแล
"การลงพื้นที่ครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานเชิงรุก เพื่อให้ประชาชนเข้าใจภาครัฐมากขึ้น ต่อไปเจ้าหน้าที่จะต้องลงไปทุกจุดที่มี เหตุการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในเขต จ.นราธิวาส ไม่ว่าจะเป็น อ.สุไหงปาดี อ.แว้ง และ อ.เจาะไอร้อง" นายกฯ กล่าว
ภารกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา (6 ต.ค.) ได้พักค้างคืนที่ วัดเจาะไอร้องธรรมาราม อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ร่วมกับพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ยุติธรรม พล.อ.คงศักดิ์ วันทนา รมว.มหาดไทย นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.มหาดไทย นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้ตื่นนอนตั้งแต่เวลา 06.00 น.วานนี้ ( 7 ต.ค.)พร้อมออกมาทักทายผู้สื่อข่าวว่า เมื่อคืนหลับสบายดี" จากนั้นจึงไปร่วมรับประทานอาหารเช้ากับรัฐมนตรีที่ติดตามและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
**ยกคณะบุกบ้าน"ตันหยงลิมอ"
เวลา 07.30 น. นายกรัฐมนตรี ออกเดินทางไปที่บ้านของนายรอมลี อุตรสินธุ์ หรือ "สาและ"พี่ชายของนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทย ที่ถูกทางการออกหมายจับ ในข้อหาผู้ก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 628/2 เขตเทศบาลปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส แต่เมื่อไปถึงบ้านก็ไม่พบใคร บ้านปิดเงียบ จึงเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 628/13 ห่างจากจุดเดิมประมาณ 100 เมตร เพื่อพบกับญาติของนายรอมลี และได้ฝากบอกว่า ขอให้นายรอมลี เข้ามอบตัว โดยพร้อมที่จะดูแลความเป็นธรรมและความปลอดภัยให้
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังโรงเรียนตาฎีกาอัลตัรบียะห์อิสลามมียะห์ หมู่ 7 บ้านตันหยงลิมอ ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่นาวิกโยธิน 2 นายถูกทำร้ายจนเสียชีวิตโดย พร้อมกับสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งชาวบ้านเฉพาะที่เป็นผู้ชาย กลับบอกว่าไม่ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยอ้างว่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้รับปากกับชาวบ้านตันหยงลิมอ ว่าจะพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เจริญไม่น้อยหน้าประเทศมาเลเซีย แต่ชาวบ้านจะต้องช่วยกันทำให้เหตุการณ์เกิดความสงบเสียก่อน และพร้อมที่จะดูแลเจ้าหน้าที่ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
"อยากให้ชาวบ้านร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ อย่าไปเป็นแนวร่วมกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ และปล่อยข่าวว่าเจ้าหน้าที่รังแกประชาชน โดยเฉพาะคนที่เอาศาสนามาอ้าง ถือว่าเป็นพวกที่นอกศาสนา ไม่มีพระเจ้า คนที่มีพระเจ้าจะต้องมีเมตตา ให้อภัย ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ สำหรับชาวบ้านที่ไม่กล้าให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าไปส่งเสริมคนร้ายก็แล้วกัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว
เมื่อมีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยปากของบประมาณในการก่อสร้างมัสยิด พ.ต.ท.ทักษิณ ได้หันไปมองดูที่มัสยิดกำลังที่สร้างอยู่แล้วพูดว่า "เอาให้จบก่อน เดี๋ยวลากคอไอ้พวกฆ่านาวิกโยธินทั้งสองคนนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากัน เดี๋ยวจะมาดูให้ เชื่อว่าคนร้ายที่ลอบยิงร้านน้ำชาในหมู่บ้านตันหยงลิมอ เป็นคนในหมู่บ้านอย่างแน่นอน และเป็นแผนลวงให้ 2 นาวิกโยธิน มาติดกับดับ เพราะผลการตรวจสอบปลอกกระสุนปืน พบว่าเป็นการยิงจากปืนกระบอกเดียวกันกับที่ใช้ยิงตำรวจใน อ.สุไหงปาดี อีกทั้งหลังเกิดเหตุ ทหารก็ได้เข้าปิดล้อมหมู่บ้าน ซึ่งก็ไม่พบว่ามีใครได้ออกจากหมู่บ้านไป ดังนั้น คนร้ายจะต้องเป็นคนในหมู่บ้านนี้อย่างแน่นอน และกำลังตามจับตัวมาลงโทษ"
หลังจากการพูดคุย นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปดูสถานที่ที่ชาวบ้านจับ 2 นาวิกโยธินเข้าไปควบคุมตัว และถูกทำร้ายจนเสียชีวิต โดยในห้องที่เกิดเหตุยังมีรอยเลือดให้เห็นปรากฏอยู่อย่างชัดเจน แล้วเดินเลยไปดูที่ร้านนำชาที่เกิดเหตุ โดยในระหว่างการเดินเจ้าหน้าที่ได้รายงานว่า ขณะนี้ได้ออกหมายจับไปแล้ว 34 คน สามารถควบคุมตัวไว้ได้ 16 คน แยกขังและอยู่ในระหว่างการสอบสวน นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สอบสวนตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเว้นเวลาสอบ
**กล่อมญาติแกนนำให้เข้ามอบตัว
เวลา 10.50 น.นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปบ้าน นายสะแปอิง บาซอ ครูใหญ่โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลา ที่ถูกออกหมายจับฐานเป็นแกนนำก่อความไม่สงบในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้พบกับนางซากีนะห์ สุหลง ภรรยาของนายสะแปอิง แม่ยาย และลูกๆ ของนายสะแปอิง ที่อยู่กันเกือบครบ โดยนายกฯได้บอกกับนางซากีนะห์ว่า "ถ้าสามารถติดต่อกับนายสะแปอิงได้ ก็ขอให้มามอบตัวสู้คดี ทางการพร้อมที่จะให้ความยุติธรรม และผมพร้อมจะให้ความปลอดภัย บอกเลยว่าผมมาเยี่ยมถึงบ้าน การที่เจ้าหน้าที่ออกหมายจับก็ทำไปตามหน้าที่ เนื่องจากมีหลักฐานพาดพิงไปถึง หากอยากมอบตัวก็ให้ติดต่อผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง หรือจะให้ผมไปรับที่ดอนเมืองก็ได้และจะไม่มีการใช้ศาลเตี้ยอย่างที่มีการเกรงกลัวกัน ผมเชื่อว่านายสะแปอิง สามารถต่อสู้คดีได้อยู่แล้ว เพราะเป้นคนมีฐานะ"
นางซากีนะห์ ได้กล่าวว่า เราไม่เคยคิดจะหนี เราจะตายที่นี่ เพราะบ้านอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร และถ้าจับนายสะแปอิง มาได้แล้วเรื่องราวความไม่สงบในภาคใต้จะจบหรือไม่ และก็กลัวว่าพอนายสะแปอิง มามอบตัวแล้วก็อาจจะจะต้องพบกับศาลเตี้ย ขณะที่ น.ส.ดีนา บาซอ บุตรสาวของนายสะแปอิง กล่าวทั้งน้ำตาว่า พ่อได้หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.47 และไม่เคยติดต่อกลับ แต่พ่อไม่เคยคิดหนี เพราะเคยบอกว่าจะอยู่ที่นี่ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกออกหมายจับ ก่อนหน้านี้ก็เคยถูกเชิญตัวไปสอบปากคำรอบหนึ่ง แล้วก็หายตัวไป กลัวว่าเรื่องของพ่อจะเป็นแบบทนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมสุลิมที่ถูกอุ้มหายตัวไป
จากนั้นเวลา 11.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางเยี่ยมชมขั้นตอนการทำบัตรสมาทการ์ด และมอบสมาทการ์ด ให้ประชาชนที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จ.ปัตตานี ก่อนที่จะเดินทางกลับไป จ.นราธิวาส ในช่วงบ่ายเพื่อเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก่อนที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯในช่วงกลางคืน
**ขว้างระเบิดใส่นักข่าวบาดเจ็บ3
กระทั่งเวลา15.20 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายขว้างระเบิดเข้าไปในร้านส้มตำ "เจ้สาว"ตั้งอยู่บริเวณด้านข้างโรงแรมอิมพีเรียล จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นโรงแรมที่ นายกรัฐมนตรี และคณะ รวมทั้งสื่อมวลชนที่ติดตามไปทำข่าวพักอยู่ แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 ราย ขณะที่กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ประกอบด้วย นายธนวัช แซ่อุ่น ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่อง 7 ประจำ จ.นราธิวาส,น.ส.ชาดา สมบูรณ์ขน ผู้สื่อข่าวช่อง 7 จากส่วนกลางทีมติดตามนายกฯ,นายวันชัย พงษ์สุวรรณ เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคโทรทัศน์ ช่อง 7,นายณรงค์ชัย เขียววิไล เจ้าหน้าที่เทคนิคดาวเทียมโทรทัศน์ ช่อง 7 โดนสะเก็ดระเบิดบริเวณแก้มก้น และนายสุธิน ยอดดี อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 ม.5 ต.บางขุนทอง อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
สอบสวนผู้เห็นเหตุการณ์ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน มาวนเวียนอยู่ด้านหน้าร้านหลายรอบ ก่อนจะขว้างระเบิดเข้ามาภายในร้านดังกล่าว ทั้งนี้ ช่วงเกิดเหตุ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้าไปพักในห้องพักของโรงแรม เพื่อบันทึกเทปรายการ "นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน" และเพื่อเตรียมตัวที่จะเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศ
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.อรรถกิจ ชาลีฉัตร หัวหน้านายตำรวจที่รักษาความปลอดภัย ได้สั่งการให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยภายในบริเวณโรงแรมพิมพีเรียลอย่างเข้มงวด พร้อมกับสั่งห้ามไม่ให้ผู้สื่อข่าวส่วนกลางที่ยังคงอยู่ภายในโรงแรมว่า "อย่าออกไปนอกพื้นที่ให้อยู่ในโรงแรมจนกว่าจะออกจาก จ.นราธิวาส"
**นักข่าวสาวเล่านาทีระทึกบึ้ม!
น.ส.ชาดา สมบูรณ์ผล ผู้สื่อข่าวช่อง 7 เล่าเหตุการณ์ระทึก ว่า หลังจากเสร็จภารกิจแล้วตนและทีมงานได้นำรถของสถานี ซึ่งมีโลโก้ช่อง 7 ไปจอดนั่งรับประทานอาหารประมาณ 20 นาที กำลังจะเช็คบิลก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น จึงรีบวิ่งหลบไปในร้าน และถามแม่ค้าว่าเห็นอะไรหรือไม่ แม่ค้าก็บอกว่าเห็นวัยรุ่น 5 คนที่นั่งติดอยู่กับร้านนั่งรับประทานอาหารอยู่แล้วพักหนึ่งก็หายไป 2 คน แต่พอเกิดเหตุก็หายไปหมด ทั้งนี้ บริเวณที่เกิดเหตุพบจักรยานยนต์และป้ายกระจัดกระจาย ส่วนตนก็หูอื้อและโดนสะเก็ดระเบิดเล็กน้อยที่บริเวณศีรษะและแขน
"ระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารก็มีคนมานั่งข้างหลัง แต่ไม่ได้สนใจอะไร รับประทานร่วมกับทีมงานจนอิ่ม ซึ่งนายณรงค์ศักดิ์ เขียววิไล เป็นช่างเทคนิค ได้รับบาดเจ็บจากการถูกสะเก็ดระเบิด ทำให้สะโพกโหว่ประมาณกำปั้นเด็ก และได้ถูกนำส่งตัวเข้าโรงพยาบาลแล้ว เบื้องต้นทราบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่วางไว้อยู่ใกล้ตู้น้ำแข็ง"
**ดักบึ้มขบวนนายกฯโชคดีมีการตัดสัญญาณ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ มีขบวนยาวกว่า 100 เมตร โดยนายกฯใช้รถเบนซ์ C 600 สีดำ กันกระสุน 2 คัน โดยใช้สลับสับเปลี่ยนในการเดินทางตลอด ซึ่งวันแรกรถคันนายกฯนั่งไม่ได้ติดทะเบียนรถ แต่วันที่สองของการลงพื้นที่ ได้มีการนำป้ายทะเบียนมาติด คือ กข 7845 นราธิวาส ซึ่งในการเดินทางแต่ละครั้ง หากนายกฯนั่งรถคันใด รถอีกคันหนึ่งของนายกฯก็จะมี พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ยุติธรรม นั่ง โดยลำดับของขบวนนายกฯนั้นจะเริ่มจากรถนำขบวน จากนั้นเป็นรถนายกรัฐมนตรี ต่อมาเป็นรถกระบะวีโก้ ที่บรรทุกอาวุธหนักปิดท้ายขบวนรถนายกฯ ซึ่งเป็นอาวุธที่ใส่ไว้ในกระเป๋าดำ เช่น อูซี่ 9 มม. เอ็ม 16 ปืนกล็อก และต่อด้วยรถตู้ของเจ้าหน้าที่ที่ติดตามอีก 6 คัน และต่อด้วยรถนำขบวนสื่อมวลชน ตามด้วยรถสื่อมวลชนอีก 18 คันและต่อด้วยรถตู้ของจังหวัดอีก 4 คัน จากนั้นปิดท้ายด้วยรถกระบะบรรทุกเจ้าหน้าที่และอาวุธปิดท้ายขบวน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการลงพื้นที่วันที่สองนั้น นายกฯได้เดินทางออกจากวัดเจาะไอร้องธรรมาราม ตั้งแต่เวลา 07.00 น.โดยได้ไปบ้านนายรอมลี อุตรสินธุ์ พี่ชายนายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์ เป็นที่แรก ซึ่งได้ผ่าน อ.สุไหงปาดี ด้วย แต่ระหว่างขบวนนายกฯ เคลื่อนนั้นจะมีการตัดสัญญาณโทรศัพท์อยู่เป็นระยะ
มีรายงานข่าวด้วยว่า จากการตัดสัญญาณโทรศัพท์เป็นระยะๆ ของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้เกิดระเบิดขึ้น 1 ครั้ง ขณะที่ขบวนรถของนายกฯออกจาก อ.สุไหงปาดี แต่ระเบิดทำงานภายหลังจากที่ขบวนของนายกฯวิ่งผ่านพ้นไปแล้วประมาณ 30 นาที จึงทำให้คณะของนายกฯ รอดพ้นจากเหตุระเบิดดังกล่าวไปได้อย่างหวุดหวิด
**เชื่อ3แกนนำใต้ไม่ได้อยู่ในไทย
นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังถึงการเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อต้องการส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่า ทางราชการต้องการใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ดังนั้น ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับไม่ควรหลบหนี ควรมอบตัวสู้คดี เพื่อให้โทษหนักกลายเป็นเบา และเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น
ส่วนที่ลูกสาวนายสะแปอิง บาซอ ผู้ต้องหาคนสำคัญ เข้าใจว่าพ่อหายตัวไป เหมือนนายสมชาย นีละไพจิตร นั้นยืนยันว่า ไม่ใช่แน่นอน รวมทั้งกรณีของนายรอมลี อุตรสินธุ์ ผู้ต้องหาสำคัญอีกคนหนึ่งที่ชาวบ้านเขารู้ว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งแกนนำระดับสูงไม่ได้อยู่ในประเทศแล้ว
"แกนนำ 3 รายที่ไปหาที่บ้านในการลงพื้นที่ครั้งนี้ทั้ง นายมะแซ อูเซ็ง นายรอมลี อุตรสินธุ์ และสะแปอิง บาซอ ก็ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย มีรายงานมีการเข้า-ออกระหว่างอินโดนีเซียกับมาเลเซีย" นายกรัฐมนตรี กล่าว พร้อมยอมรับว่า การประสานงานกับทางการมาเลเซียในเรื่องการส่งตัวผู้ที่มีคดีกลับมาดำเนินคดีในไทยยังไม่ค่อยดีนัก ซึ่งไม่ทราบว่าติดขัดปัญหาอะไร ทั้งที่เราส่งหมายจับ และพยายามแปลเอกสารข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ ไปให้มาเลเซียหมดแล้ว
นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าการเดินทางลงพื้นที่ครั้งนี้สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ไม่มากก็น้อย แต่ยังต้องทำงานกันอีกมาก ตรงนี้เป็นเพียงขั้นแรกของเกมรุกเท่านั้น ส่วนการที่ประชาชนยังคงหวาดกลัวอยู่ เห็นว่าเป็นเพราะพื้นที่ดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ยังเข้าไปไม่ถึง ดังนั้น ต่อไปนี้เจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปในพื้นที่ให้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนรู้ว่า ภาครัฐพร้อมให้การดูแล
"การลงพื้นที่ครั้งนี้ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานเชิงรุก เพื่อให้ประชาชนเข้าใจภาครัฐมากขึ้น ต่อไปเจ้าหน้าที่จะต้องลงไปทุกจุดที่มี เหตุการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในเขต จ.นราธิวาส ไม่ว่าจะเป็น อ.สุไหงปาดี อ.แว้ง และ อ.เจาะไอร้อง" นายกฯ กล่าว